เทียบกับความตึงเครียดหนักหน่วงด้านในเขตแดนอย่างเป่าโจวกับป้าโจวเป็นต้น แนวแม่น้ำจวี้หม่าชายแดนที่แท้จริงยังเป็นเหมือนเช่นก่อนหน้าเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา
แม่น้ำใหญ่สายหนึ่งแบ่งเหนือใต้แยกจากกันชัดเจนดุจแม่น้ำจิงเว่ย
สองฝั่งน้ำเป็นแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ที่สุด แต่ร้อยปีมานี้กลับไม่ได้กลายเป็นที่นาอุดมสมบูรณ์เพราะที่แห่งนี้ตลอดมาเป็นแผ่นดินที่ทหารแย่งชิงกัน ไม่เคยหยุดทำสงคราม
ตัวอย่างเช่นตอนนี้สองฝั่งแม่น้ำล้วนเป็นธงปักทั่ว กระโจมทหารมากมายถี่ยิบมองไปไม่สิ้นสุด ที่สายตามองเห็นไม่น้อยกว่าหลายหมื่นนาย
เวลานี้อสนีบาตวสันต์ฤดูคำราม หยาดฝนเท่าเม็ดถั่วร่วงลงจากฟ้า ชั่วพริบตาปกคลุมสองฟากฝั่งไว้ท่ามกลางหมอกฝนจนขมุกขมัวไปหมด
ด้านหน้ากระโจมหลังใหญ่สุดในค่ายทหารฝั่งใต้ของแม่น้ำ นายทหารยืนอยู่เต็ม พวกเขาล้วนสวมหมวกสวมเกราะ เม็ดฝนเท่าเม็ดถั่วกระทบบนเกราะดังเปาะแปะ บรรดานายทหารกลับยังคงนิ่งไม่ขยับประหนึ่งรูปสลักหิน
ผ้ากระโจมถูกเลิกขึ้น กั้นขวางด้วยหมอกฝนมองเห็นศีรษะคนสุมกันอยู่ด้านในได้ พวกเขาล้วนสวมชุดเกราะแม่ทัพ คนหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีเงินยวงนั่งสง่าอยู่ตรงกลางพอดี ผ้าคลุมสีแดงสดสว่างตาเป็นพิเศษ เพียงแต่สลัวอยู่บ้างจึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัด เสียงพูดเอะอะคล้ายโต้เถียงอะไรอยู่
“เป็นเช่นนี้สินะ”
เสียงอ่อนโยนทั้งยังมีความน่าเกรงขามเสียงหนึ่งทะลุผ่านหมอกฝนดังขึ้น ทำให้ความเอะอะในกระโจมฉับพลันสลายไป
“กำลังพลสามหมื่นนายล้วนถอนกำลังไปแล้ว น่าสงสารประชาชนในเขตสามเมืองต้องประสบเคราะห์”
ในกระโจมเงียบงันไปพักหนึ่ง นอกกระโจมเสียงฝนดังซู่ซ่า
“ท่านหญิงกับท่านชายน้อยช่วยคุ้มกันไปได้ไม่น้อย” มีเสียงแม่ทัพดังขึ้น “นับรวมแล้วมีประชาชนสิบหมื่นกว่าคนอพยพหนีไปที่ปลอดภัยแล้ว”
“แต่ยังมีชาวบ้านอีกมากมายรอคอยการปกป้องอยู่” เสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้น “กำลังพลสามหมื่นถอนกำลังแล้ว ชาวจินเกือบหมื่นจะแห่เข้ามา พวกเขาคงต้านไม่อยู่”
ในกระโจมเงียบงันพักหนึ่งอีกครั้ง
ชุดเกราะส่งเสียงดังเคร้งคร้าง แม่ทัพที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืน รูปร่างประหนึ่งขุนเขาขยับ
“อย่างไรก็ไม่อาจมองดูประชาชนทุกข์ร้อนเช่นนี้ได้ พวกเขาไม่มีคนช่วยแล้วก็ให้พวกเราช่วยกันเองเถอะ” เสียงอ่อนโยนทุ้มนุ่มดังขึ้นในกระโจม
สิ้นเสียง ผู้คนในกระโจมก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงพรึบพรับ ชุดเกราะส่งเสียงดังวุ่นวาย
“รับทราบ!”
เสียงดั่งอสนีบาต
เวลาใกล้พลบค่ำ สายฝนค่อยๆ เบาบางลง ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำจวี้หม่าทหารจินนายหนึ่งยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ฉับพลันดวงตาเบิกตาเปล่งประกาย จากนั้นรีบร้อนวิ่งลงมา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในค่ายทหารก็วุ่นวายพักหนึ่ง บุรุษร่างกายกำยำแข็งแกร่งประหนึ่งขุนเขาสวมชุดเกราะสีทองคนหนึ่งมาถึงหอสังเกตการณ์ท่ามกลางทหารจินฝีมือดีดุร้ายห้อมล้อม
“ต้าเผิงอ๋อง! ต้าเผิงอ๋อง!”
นี่ก็คือต้าเผิงอ๋องทั่วป๋าอูแห่งแคว้นจิน
ฝนหยุดแล้ว ท่ามกลางแสงอัสดงและม่านหมอก ค่ายทหารป้องกันแน่นหนาฝั่งตรงข้ามกำลังถอนออก กำลังพลหลายหมื่นขยับพร้อมเพรียงประหนึ่งขุนเขาเคลื่อนที่แผ่นดินสั่นไหว แต่กลับเป็นแถวเป็นแนวเป็นระเบียบ ไม่ได้วุ่นวายสักนิด
“กำลังถอนค่ายจริงๆ” ทั่วป๋าอูหน้าเคร่งขรึมเอ่ย
“ดูท่าจะถอยแล้ว” บุรุษคนหนึ่งข้างกายเขาอมยิ้มเอ่ย
หากหวงเฉิงอยู่ที่นี่คงจำคนผู้นี้ได้ เขาก็คืออวี้ฉือไห่ที่เขาเคยพบ
ยืนอยู่ข้างทั่วป๋าอูเขาแลดูผอมซูบบอบบบาง
“สิบปีลบความมุ่งมั่นของเขาไปแล้วหรือ?” ทั่วป๋าอูสีหน้าโกรธแค้น “ข้าศึกประชิดกลับผละหนี”
ประจันหน้ากันนานปานนี้ กองทัพใหญ่บุกสังหารหลายครา เจ้าไม่ใช่ก็ไม่กล้าสู้กับเขาเหมือนกันรึ? นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าถอยก่อนสิบลี้อีก
อวี้ฉือไห่อยู่ด้านข้างยิ้มๆ แน่นอนคำพูดนี้เขาโง่แค่ไหนก็ไม่มีทางเอ่ยออกมา
“ท่านอ๋อง ชาวฮั่นมีประโยคหนึ่งกล่าวว่าปรบมือข้างเดียวไม่ดัง” เขาเอ่ย “ฮ่องเต้มีพระบัญชาแล้ว ตะวันออกตะวันตกสองด้านกำลังพลสิบหมื่นล้วนถอย กำลังคนสามหมื่นคนเล็กๆ นี้ของเฉิงกั๋วกงจะเป็นคู่ต่อสู้ของกองทัพใหญ่ห้าหมื่นของพวกเราได้อย่างไร
พูดพลางก็หัวเราะอีกครั้ง
“นอกจากนี้ภรรยากับบุตรชายของเฉิงกั๋วกงวันนี้กำลังคุ้มครองประชาชนที่ป้าโจวกับเป่าโจวอพยพ วันนี้กองทหารชาวโจวถอนกำลังอีก เสียปราการที่ชายแดน พวกเขาย่อมอันตรายแล้ว”
ทั่วป๋าอูมองดูกองทัพใหญ่ด้านนั้นวิ่งจากไป
“นี่ก็คือที่พวกเจ้าชาวฮั่นเรียกว่าวีรบุรุษอายุสั้นความรักหนุ่มสาวยืนยาวสินะ?” เขาเอ่ย บนหน้ายิ้มหยันอยู่บ้าง
อวี้ฉือไห่ลูบเครายิ้มแล้ว
“นี่ก็เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้อ้างช่วยคุ้มครองประชาชนถอนทัพกลับป้องกันไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แล้วก็พอดีเชื่อฟังพระประสงค์ของฮ่องเต้ ยิงทีเดียวได้นกสองตัว” เขาเอ่ย
พูดถึงตรงนี้ก็ส่ายศีรษะอีก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย
“ข้ายังอยากให้เฉิงกั๋วกงขัดราชโองการไม่ทำตามจริงๆ หากได้เห็นเขามีจุดจบเป็นกบฏตายในมือคนของตนเอง คงทำให้คนที่ได้ยินปวดใจจนหลั่งน้ำตาจริงๆ”
แต่บนหน้าของเขาไม่มีความปวดใจจนหลั่งน้ำตาสักนิด แต่ลูบเคราหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา
“ที่แท้เฉิงกั๋วกงก็แค่นี้” เขาหุบยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “แต่ต่อให้เป็นเข่นนี้ ขัดบัญชาซ้ำแล้วซ้ำล่าแล้วไร้ความชอบกลับไป หลังกลับไปเขาต้องไม่ได้ผลดีแน่”
ทั่วป๋าอูจดจ่อมองดูกองทหารที่ถอนค่ายด้านนั้น ธงผืนใหญ่สูงผืนหนึ่งปลิวสะบัดช้าๆ ตัวอักษรคำว่าเฉินด้านบนแม้พลบค่ำมีม่านหมอกกั้นขวางด้วยแม่น้ำก็มองเห็นได้ชัดเจน เสียงกีบเท้าม้าย่ำประหนึ่งสายฟ้า
แม้ว่าทิศทางที่พวกเขามุ่งไปไม่ใช่ที่นี่ ทั่วป๋าอูก็อดไม่ได้หัวใจเต้นตึกตัก
ก็เป็นกองทหารเหล่านี้ที่ขวางเขาอยู่ที่นี่เนิ่นนาน หากไม่ใช่ทหารรอบด้านถอนกำลังกลับทำให้โอกาส วันนี้ก็คงยังไม่มีหนทางทะลุแนวป้องกันมาได้
กำลังพลในปกครองของเฉิงกั๋วกงไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ
ทั่วป๋าอูได้ยินคำพูดของอวี้ฉือไห่พลันหันหน้าไปมองเห็นรอยยิ้มของเขา
ตนเองสู้แม่ทัพเช่นนี้ไม่ได้ แต่ต้องอาศัยลูกไม้ตกุติก รอยยิ้มของอวี้ฉือไห่ทำให้เขารู้สึกคล้ายเย้นหยันตนเอง แน่นอนเขายังคงดีใจยิ่งที่เฉิงกั๋วกงเคราะห์ร้าย เพียงแค่ในใจอับอายหงุดหงิดบ้างเท่านั้น
“พวกเจ้าชาวฮั่นดาบจริงหอกจริงไม่ได้เรื่อง เล่นลูกไม้เช่นนี้ล่ะเก่งนัก” เขาเอ่ยเย็นชา สบถทีหนึ่งคล้ายทำเช่นนี้ถึงลดความไม่มั่นใจให้เบาบางลงได้
อวี้ฉือไห่สีหน้าไม่อับอายสักนิด
“ท่านอ๋องพูดผิดแล้ว” เขาเอ่ยอย่างเคารพจริงใจ “ไม่พวกเจ้า เป็นพวกเขา”
ยื่นมือวางตรงหน้าอก
“ข้าเป็นชาวจิน”
ทั่วป๋าอูอึ้งนิดหนึ่งจากนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่า
“ดี” เขาหัวเราะเสียงดังเอ่ย ยื่นมือชี้ด้านหน้า “พวกเราชาวจินร่วมใจ ลงใต้ชนะหมื่นศึก เหยียบราบทุกทิศ”
“ชนะหมื่นศึก!”
“ชนะหมื่นศึก!”
ทหารจินรอบด้านเหวี่ยงสะบัดอาวุธตะเบ็งตะโกนสุดเสียง เสียงดังขึ้นต่อเนื่องเริ่มสะท้อนก้องทั้งค่ายทหาร ถาโถมทรงพลังประหนึ่งคลื่นยักษ์อำนาจยิ่งใหญ่
พร้อมกับเสียงตะโกนนี้ กองทหารฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำที่กำลังถอนค่ายอยู่ดูไปแล้วจนตรอกขึ้นมาก
……………………………………….
“โจรจินมาอีกแล้ว!”
รอบด้านเสียงร้องประหลาดดังขึ้น พร้อมกับเสียงโห่ร้องประหลาด เสียงกีบเท้าม้าก็ดังเร็วรี่ ทหารจินนับพันวิ่งบ้าคลั่งประหนึ่งสายลมจู่โจมมาด้านหน้า
นี่เป็นการโจมตีครั้งที่เท่าไรแล้ว?
หลี่กั๋วรุ่ยมองดูนายทหารข้างกายที่น้อยลงไปครึ่งหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
การบาดเจ็บล้มตายครานี้เทียบกับเวลาอื่นน้อยลงมากแล้ว เพราะกระสุนหินกับรถยิงศรของกองทหารชิงซาน รวมถึงกระบวนทัพทหารที่ดุดันเคร่งครัดด้วย
พวกเขาถึงเฝ้าป้องกันชายแดนมาได้นานปานนนี้
ความเสียหายล้มตายบาดเจ็บไม่ใช่เพราะทหารแม่ทัพของพวกเขางุ่มง่ามสู้โจรจินไม่ได้ แต่เพราะโจรจินยิ่งมากขึ้นทุกที
“สุนัขดีสู้สุนัขเลวมากไม่ได้ล่ะนะ” เหลยจงเหลียนมองดูทหารจินที่โห่ร้องเข้ามาพลางถอนหายใจเอ่ยขึ้น
ทหารจินเหล่านั้นจากช้ากลายเป็นเร็ว ระหว่างวิ่งก็รวมตัวกลายเป็นสามกอง ชุดเกราะทิ่มแทงตา กีบเท้าเหล็กย่ำกระจุย เสียงร้องประหลาด เสียงคำรามโกรธเกรี้ยว อำนาจน่าครั้นคร้าม
พวกนี้เป็นทหารจินฝีมือดีที่ข้ามชายแดนมาใหม่ ไม่ว่าความสามารถในการต่อสู้หรืออาวุธล้วนแข็งแกร่งกว่าเดิม
ในดวงตาเหลยจงเหลียนไม่หวาดกลัวสักนิด เขาหันหน้ามองไปด้านข้าง
“ดูแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าคงหนีไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าเจ้าถึงกับมีโอกาสตายด้วยกันกับข้า”
จินสือปาสีหน้าเย็นชาเพียงมองไปด้านหน้า
“ข้าไม่ได้ตายด้วยกันกับเจ้า” เขาเอ่ย “ข้าตายด้วยกันกับผู้หญิงคนนั้น นางตาย ข้าก็ต้องตาย”
เหลยจงเหลียนหันหน้ามองไป หลังร่างไกลๆ ในกระบวนทัพสี่เหลี่ยม แม้มองไม่เห็นแต่เขารู้ว่าคุณหนูจวินสั่งการอยู่ข้างใน
“ที่จริงนางควรไปด้วยกันกับนายหญิงอวี้” เขาเอ่ยพึมพำ
ทว่าก็หัวเราะขึ้นมาอีก หากเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่ใช่นางแล้ว
……………………………………….
หน้าเขตเมืองเหอเจียน ประชาชนนับไม่ถ้วนสีหน้าหวาดหวั่นเดินเร็วรี่
ยกครอบครัวมา แบกพาดไหล่มือหิ้ว บนรถขนเด็กน้อยผู้เฒ่าสตรี
ประตูเมืองด้านหน้าเปิดกว้าง บรรดานายทหารสวมชุดเกราะสีหน้าเคร่งเครียดมองด้านหน้าพลางเร่งประชาชนทั้งหลายให้เร็วขึ้น
มองไปไกลๆ ขบวนแถวของชาวบ้านทอดยาวไม่ขาดคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด
ขบวนแถวย่อมมีสุดปลาย ตรงสุดปลายนี่เอง มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง รอบด้านทหารสิบกว่าคนรายล้อม สีหน้าเคร่งเครียดระแวดระวังมองไปรอบด้าน พูดให้ชัดมองด้านหลังร่าง
“ท่านหญิง ไม่มีคนแล้ว ไปเถิดขอรับ” เหลียงเฉิงต้งเอ่ย
ในรถม้านายหญิงอวี้เลิกม่านรถขึ้น
“ไม่รีบ” นางเอ่ย “รออีกสักหน่อย”
ยังรออีกหรือ ทหารจินอยู่แค่ด้านหลังแล้วนะ เหลียงเฉิงต้งสีหน้าร้อนรน
“ท่านหญิงพวกเราข้ามเขตเข้าเมืองไปก่อนค่อยรอเถิดขอรับ” เขาเอ่ย
นายหญิงอวี้สีหน้าเรียบเฉย
“ไม่ หากข้าเข้าเมืองไป ประตูเมืองฝั่งนี้ย่อมไม่มีทางเปิดให้ประชนชนเหล่านี้แล้ว” นางเอ่ย “อย่างน้อยฐานะของข้า พวกเขาก็ยังพะวงอยู่บ้าง”
นางเอ่ยพลางก้าวลงจากรถม้ามองไปทางทิศเหนือ
“เจ้าดูสิ ยังมีคนอีก” นางยื่นมือชี้พลางเอ่ย
บนทุ่งกว้างเงาคนสองคนสามคนดินกะเผลก
“สักคนก็ไม่อาจตกหล่นได้” นายหญิงอวี้เอ่ย สายตามองไกลออกไปอีก “ไม่อาจให้พวกเขายืนหยัดปกป้องสูญเปล่า”
ยืนหยัดปกป้อง
เหลียงเฉิงต้งก็มองไปทางทิศเหนือบ้าง สีหน้ายุ่งยากใจ
ยังปกป้องได้อีกหรือ?
ยังรอจนพวกเขากลับมาได้อีกหรือ?
……………………………………….
แรงสะเทือนใต้เท้ายิ่งรุนแรง เสียงคำรามยิ่งดุดัน
“มีทหารจินมาอีกแล้ว” เหลยจงเหลียนมองดูควันไฟที่ลอยขึ้นบนท้องนภาเบื้องหน้า หน้าถอดสี
มาอีกแล้ว นอกจากนี้จำนวนคนยังไม่น้อย
นี่วันที่เท่าไรแล้ว?
เขากวาดตามองรอบตัว กำลังคนของพวกเขาไม่มากแล้ว เกรงว่าครั้งนี้….