หมั้นแล้วจริงๆ ดูท่าไม่ใช่เรื่องหลอก พวกเจียงเฉิงวางความหวาดระแวงสายสุดท้ายลง
คำพูดของจูจั้นกลับยังไม่หยุด
“…ยังไม่ทันบอกกับทุกคน อย่างไรทุกคนก็ทราบ ผู้ที่ความสามารถรูปโฉมโดดเด่นสง่างาม แดนเหนือสตรีทั้งหลายเทใจให้ หากบอกว่าหมั้นแล้ว ไม่รู้ว่าคนเท่าไรจะเสียใจ นี่มีผลกับความสงบมั่นคงของแดนเหนือ…”
เสียงหัวเราะแห้งๆ ดังขึ้นในห้องโถง
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
“ท่านชายท่านยังไม่ได้กินข้าวสินะ?”
“ท่านวิ่งมาทางไกลเช่นนี้ คงเหนื่อยแล้วสินะ ไปพักผ่อนก่อนเถิด”
เสียงของบรรดาแม่ทัพดังขึ้นต่อกัน แต่นี่ไม่ได้ขัดคำพูดของจูจั้น
“ไม่รีบร้อนหรอก ข้าก็ไม่เหนื่อยด้วย”
“คำพูดของข้ายังเอ่ยไม่ทันจบเลยนะ พวกเจ้ารู้สินะ เคยมีสตรีแขวนคอตายเพราะข้า นี่น่ากลัวนัก…”
“คนรูปงามหล่อเหลาเช่นนี้อย่างข้า ไม่อาจตกลงหมั้นง่ายๆ ได้…”
“แน่นอนพวกเจ้าไม่เคยสัมผัสเรื่องเช่นนี้ คงไม่เข้าใจความน่าหงุดหงิดแบบนี้…”
……………………………………….
ข่าวจูจั้นมาถึงเซินโจวแพร่ไปถึงป้าโจวอย่างรวดเร็วยิ่ง
นี่ไม่ใช่เพราะจูจั้นพากำลังคนมาทำเรื่องยิ่งใหญ่ร้ายกาจอะไร ความจริงแล้วเป่าโจวด้านนี้มั่นคงกว่าป้าโจวมาก เพราะกองทัพใหญ่ของเฉิงกั๋วกงอยู่แถวด่านกำแพงหมื่นลี้จนถึงแม่น้ำจวี้หม่า ปิดตายป้องกันแน่นหนาขวางกำลังหลักห้าหมื่นของทหารจิน
หลังจูจั้นเกลี้ยกล่อมแม่ทัพที่เซินโจวก็เขียนจดหมายให้ม้าเร็วส่งไปที่เหอเจียนทันที
เมืองเหอเจียนได้รับจดหมายแล้ว ม้าก็ไม่ได้หยุดกีบเท้าส่งไปป้าโจวทันที
แม้เถียนเหยาพยายามอย่างที่สุดอยากให้นายหญิงอวี้รั้งอยู่ที่เมืองเหอเจียน เช่นนี้ถึงรับประกันความปลอดภัยได้ แต่นายหญิงอวี้ยังคงยืนยันจะติดตามพวกคุณหนูจวินไป แม้ไม่ลงสนามรบ แต่จะรั้งอยู่ในตัวอำเภอที่ใกล้กับพวกเขาที่สุด ช่วยจัดการประชาชนผู้ประสบภัยที่ช่วยกลับมา
ได้รับจดหมายของจูจั้น นายหญิงอวี้เบิกบานใจยิ่งนัก
“เอ้อร์เสี่ยวของบ้านข้ามาแล้วจริงๆ” นางเอ่ย
เอ้อร์เสี่ยว! คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ
จูจั้นผู้ถือดีหยิ่งทะนงหลงตนเองถึงกับมีชื่อเล่นเชยๆ เช่นนี้
อีกอย่างมีบุตรเพียงคนเดียวชัดๆ ทำไมเรียกขานเป็นลำดับที่สอง?
“ก่อนให้กำเนิดเขา ข้าเคยให้กำเนิดบุตรคนหนึ่ง น่าเสียดายที่ลี้ยงไม่รอด” นายหญิงอวี้เอ่ย “แต่ดีร้ายก็ลืมตาขึ้นมาดูโลกครั้งหนึ่งแล้ว ในบ้านจึงมีตำแหน่งของเขาอยู่เหมือนกัน ดังนั้นต่อมาให้กำเนิดจูจั้นจึงเป็นบุตรคนที่สอง”
พูดพลางก็ยิ้มทีหนึ่ง
“ชื่อต่ำต้อยเลี้ยงรอดง่าย”
สำหรับเฉิงกั๋วกงสามีภรรยาที่เสียบุตรคนหนึ่งไปแล้ว บุตรคนที่สองคนนี้จะเป็นที่รักมากเท่าใด ตั้งชื่อต้อยต่ำก็เพื่อหวังให้เขามีชีวิตดีๆ ได้ ทว่ากลับพาเขาออกรบ เลี้ยงดูในสถานการณ์ที่อันตรายที่สุด ให้เขาเดินทางลำพังพันลี้เข้าเมืองหลวงได้ ให้เขาวิ่งหนีท่ามกลางการไล่ล่าสังหาร
วันนี้ยังพากองทหารที่เซินโจวไปช่วยปกป้องประชาชนอีก
ตั้งแต่เล็กจนโตตัวเขาล้วนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงรอดไม่ง่าย ทำเรื่องที่อันตราย
คุณหนูจวินมองดูนายหญิงอวี้ด้วยสีหน้าปั้นยาก
นายหญิงอวี้ไม่ได้สนใจสีหน้าของนาง เพียงอมยิ้มมองจดหมายของจูจั้น
“ท่านแม่ เป่าโจวกับสยงโจวยกให้ข้า ป้าโจวเป็นของท่าน” นางอ่านออกเสียง เงยศีรษะมองไปทางคุณหนูจวิน “ถ้าอย่างนั้นครานี้พวกเราก็งานน้อยลงแล้ว”
คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้า
นายหญิงอวี้ก้มศีรษะถือจดหมายอีกฉบับขึ้นมา มองเห็นตัวอักษรด้านบนรอยยิ้มก็ยิ่งกว้าง ส่งต่อมาให้คุณหนูจวิน
“นี่ให้เจ้า” นางยิ้มเอ่ย
คุณหนูจวินสีหน้าประหลาดใจ
“มีของข้าด้วยรึ?” นางเอ่ย
จูจั้นรู้ว่านางอยู่ที่นี่หรือ?
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้องครักษ์เสื้อแพรค้นพบร่องรอย นอกจากนายหญิงอวี้ นางจึงไม่ได้บอกตัวตนของนางกับผู้อื่น
จูจั้นเพิ่งมาจากเมืองหลวง เขารู้ได้อย่างไร?
“เจ้าเป็นคู่หมั้นของเขานี่” นายหญิงอวี้ยิ้มเอ่ย “ถามไถ่ถึงมารดาแล้ว ย่อมต้องถามไถ่ถึงภรรยาด้วย”
ไม่เช่นนั้นใยไม่ใช่เผยไต๋แล้ว
คุณหนูจวินเข้าใจก็ยิ้ม แต่เขาเขียนยจดหมายมาจริงๆ รึ? นางสงสัยใคร่รู้รับไปเปิดออก ด้านในถึงกับเขียนจดหมายมาจริงๆ พร่ำพรรณนาบอกความเป็นห่วงเป็นใยและความคิดถึงเต็มเปี่ยม
แม้ดูจริงจังจริงใจ แต่ที่จริงช่องโหว่เต็มไปหมด มองปราดเดียวก็รู้ว่าหลับตาหรือกลอกตาเขียนขึ้นมา
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม
“จดหมายนี่ข้าจะเก็บไว้ให้ดีเชียว” นางเอ่ยพลางดึงแขนของนายหญิงอวี้ ดวงตาเป็นประกาย “ท่านหญิง ท่านไม่ต้องบอกเขาว่าข้าเป็นใคร รอพบหน้ากันให้เขาตกใจสะดุ้งโหยง”
นายหญิงอวี้หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ได้” นางตบเบาๆ บนมือของคุณหนูจวิน “ข้าจะไม่บอกเขา ถึงเวลาให้เขาตกใจสะดุ้งโหยง”
ทั้งสองคนกำลังคยุเล่นหัวเราะกันอยู่ เหลยจงเหลียนก็รีบร้อนเดินเข้ามา
“คุณหนูจวิน นายน้อยส่งจดหมายด่วนมาขอรับ” เขาเอ่ย
นายน้อยคำเรียกขานนี้ นางหญิงอวี้ไม่แปลกหูแล้ว หลายวันนี้ชื่อนี้มักจะปรากฏขึ้นมาบ่อยๆ ถึงขั้นบอกได้ว่าเกี่ยวพันไม่ขาดกับพวกนาง อาหารการกิน การสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ล้วนขาดเขาไม่ได้ นอกจากเงินยังมีข่าวสารที่ฉับไวที่สุดจากเมืองหลวงอีกด้วย
นายหญิงอวี้มองคุณหนูจวินเปิดกระบอกสาส์น
จดหมายแบบนี้คือจดหมายด่วน ใช้ประโยคสั้นกระชับที่สุดส่งมาเร็วที่สุด จากหยางเฉิงถึงป้าโจวด้านนี้เร็วยิ่งกว่าม้าเร็วของกรมกลาโหม ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร
คุณหนูจวินเปิดกระบอกสาส์น ใบหน้าที่เดิมทีอมยิ้มแข็งทื่อทันที มือที่กำกระบอกไม้ไผ่ก็กำแน่น
“เจรจาสงบศึกสิ้นสุดแล้ว” นางเอ่ย “สามเมืองยกให้บรรลุข้อตกลงแล้ว กองทัพจินเข้าสู่สามเมือง กองทหารประจำการที่แดนเหนือทั้งหมดผละถอย หากฝ่าฝืน….”
นางมองไปทางนายหญิงอวี้
“จะลงโทษโทษฐานกบฏ”
คนที่ฝ่าฝืนจะลงโทษโทษฐานกบฏคนนี้หมายถึงใคร ในใจทุกคนล้วนรู้ชัด
คุณหนูจวินมองนายหญิงอวี้ด้วยสีหน้าโศกเศร้าโกรธแค้น
นายหญิงอวี้กลับสีหน้านิ่งสงบ
“เร็วปานนี้เชียว” นางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นประชาชนมากมายเกรงว่าคงอพยพไม่ทันแล้ว”
นางกังวลแค่เรื่องนี้หรือ คุณหนูจวินมองนางด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ยังดีพวกเราด้านนี้อพยพคนได้พอประมาณแล้ว” นางเอ่ยพลางเค้นรอยยิ้มออกมาจางๆ “พวกเราเพิ่มความเร็วหน่อย”
เพิ่มความเร็วก็สู้ความเร็วที่ทหารจินทุ่มกำลังแห่เข้ามาไม่ได้ สู้ความเร็วการถ่ายทอดคำสั่งของราชสำนักไม่ได้ ต้องมีประชาชนมากมายมาไม่ทันแน่นอน
……………………………………….
ชายแดนเป่าโจว
ควันสัญญาณลอยขโมงขึ้นมาไม่หยุด โลกคร่ำครวญโศกเศร้า
ชาวบ้านนับไม่ถ้วนวิ่งเตลิด
แดนเหนือในฤดูใบไม้ผลิยังคงรกร้าง หญ้าป่าเพิ่งโผล่ยอดเขียวออกมาพริบตาก็ถูกคนเหยียบแหลก ในทุ่งกว้างทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นผู้คนร่ำไห้ร้องตะโกนวิ่งเตลิด คนที่ล้มลงถูกคนข้างหลังเหยียบต่อเนื่องหลายครั้งก็ลุกไม่ขึ้นอีกแล้ว
ด้านหลังร่างพวกเขามีควันสัญญาณลอยขึ้นไม่ขาดต่อเนื่องไม่ขาดสาย ส่งสัญญาณว่าทหารจินจำนวนมากกำลังบุกมา
วิ่งสิ รีบวิ่งสิ
ด้านหน้าปรากฏทหารแถวแล้วแถวเล่าแล้ว ฝูงชนที่วิ่งรี่มองเห็นความหวังแล้ว พวกเขาร่ำไห้ตะโกนชูมือพุ่งเข้าไป
แต่ทหารเหล่านั้นก็มองเห็นควันสัญญาณลอยสูงถึงฟ้าไกลๆ แล้วเช่นกัน สีหน้าปรากฏความหวาดกลัว
“ทหารจินสามหมื่นกำลังจะข้ามเขตเข้ามาแล้ว” แม่ทัพที่ที่เป็นหัวหน้าตะโกน “พวกเรา พวกเรารีบถอนกำลัง”
บรรดานายทหารหน้าหลังหันหัวม้าทันที ประชาชนทั้งหลายที่วิ่งมาเห็นดูทหารเหล่านี้กำลังจะไปก็ตะโกนร่ำไห้คุกเข่าลงทันที ขวางกีบเท้าม้าของพวกเขาไว้
แม่ทัพที่เป็นหัวหน้ามองดูประชาชนที่ร่ำไห้ตะโกนเหล่านี้ก็สีหน้าทนไม่ได้
“พวกเจ้าไม่ต้องกลัว” เขาเอ่ยเสียงสั่น “ที่จริงพวกเจ้าไม่ต้องหนี หลังจากนี้พวกเจ้าจะเป็นชาวจินแล้ว อยู่ที่นี่พวกเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ได้”
เสียงร้องไห้ของชาวบ้านทั้งหลายดังระงม ผู้เฒ่าคนหนึ่งคุกเข่าเดินไปข้างหน้า
“ใต้เท้า ภาษาต่างกัน หน้าตาต่างกัน จะกลายเป็นชาวจินได้อย่างไรเล่า” เขาร่ำไห้เอ่ย “สิบปีก่อนพวกเราต้อนรับท่านแม่ทัพ ช่วยสังหารโจรจิน ตอนนี้พวกท่านจะไปแล้ว ชาวจินจะต้อนรับพวกเราได้อย่างไร”
สีหน้าของแม่ทัพก็ปั้นยากเช่นกัน
“ไม่ใช่พวกเราต้องการไป ที่จริงเพราะราชโองการฮ่องเต้ยากขัด” เขาเอ่ย “กระทั่งเฉิงกั๋วกงก็กำลังถอนทหารแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ของต้าโจวเราแล้ว พวกเราไม่อาจรั้งอยู่ได้”
เสียงร้องไห้ของชาวบ้านยิ่งดัง ผู้เฒ่าชูมือโขกศีรษะ
“ขอใต้เท้าพาพวกเราปด้วย” เขาร่ำไห้เอ่ย
บรรดาชาวบ้านคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด
“พาพวกเราไปด้วย”
“พาพวกเราไปด้วย”
เสียงร่ำไห้สะเทือนทุ่ง
นายทหารบนม้าไม่น้อยล้วนอดไม่ได้หลั่งน้ำตา แม่ทัพที่เป็นหัวหน้ายิ่งหนังหน้าสั่นระริก มองดูชาวบ้านที่คุกเข่าอยู่เต็มพื้น แล้วมองดูควันสัญญาณที่มืดฟ้ามัวดินอีก ท้ายที่สุดก็กัดฟัน
“พวกเจ้า รักษาตัวด้วย” เขาเอ่ยเสียงแหบ ชูแส้เร่งม้า “ไป”
กำลังพลคนอื่นก็ควบม้าตามเขาจากไปทันที
ชาวบ้านเต็มพื้นร่ำไห้ตะโกนอย่างสิ้นหวัง มีคนลุกขึ้นไล่ตาม แล้วก็มีคนคุกเข่ากับพื้นนิ่งอึ้ง
สองขาของคนจะวิ่งทันสี่ขาของม้าได้อย่างไร
ไม่นานทหารทั้งหลายก็เร็วขึ้นทุกทีๆ ผู้คนที่ไล่ตามถูกทิ้งแล้ว พวกเขาล้มคว่ำสิ้นหวังมองดูกองทหารในสายตาไกลออกไป
แต่กองทหารที่วิ่งอยู่ฉับพลันก็หยุดลง ด้านหน้าของพวกเขาก็ปรากฏกองทหารอีกกองหนึ่ง
อะไร?
“ห้ามถอย”
เสียงเข้มดังขึ้น
แม่ทัพที่เป็นหัวหน้ามองดูบุรุษที่ชูธงคำสั่งขวางทางไปไว้ สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว
“ท่านชาย” เขาเอ่ย “พระบัญชาฮ่องเต้ยากขัด”
จูจั้นมองดูเขา
“สิ่งที่ฮ่องเต้สละคือแผ่นดิน หาใช่ประชาชน” เขาเอ่ย “ขอเพียงมีประชาชนสักคนพวกเราก็ไม่อาจทอดทิ้ง”
แม่ทัพสีหน้าปั้นยาก
“ท่านชาย” เขาชี้ด้านหลังร่าง “โจรชั่วกำลังมาก พวกเราเกรงว่าจะไร้กำลังต่อต้าน”
“สู้ไม่ได้ก็ต้องสู้” จูจั้นเอ่ยเรียบเฉย มองดูควันสัญญาณไกลออกไป “ก็แค่ตายหนเดียวเท่านั้น”
แม่ทัพกำบังเ**ยนแน่น
“ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่าเป็นทหารเป็นแม่ทัพเพื่ออะไร?” เสียงของจูจั้นดังขึ้นอีกครั้ง สายตาวาวโรจน์มองไปทางพวกเขา “ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่าประเทศกับประชาชนเลี้ยงดูพวกเจ้ามาสิบปีเพื่ออะไร?”
พูดถึงตรงนี้เสียงฉับพลันตะเบ็งดังขึ้น
“เพื่อให้ยามโจรชั่วรุกรานพวกเจ้าเห็นศัตรูแต่ไกลก็หนีรึ?”
“เพื่อให้ยามพวกเจ้าเห็นประชนชนตายใต้กีบเท้าโจรชั่วทำเป็นไม่เห็นรึ?”
“ให้ชุดเกราะพวกเจ้า ให้อาวุธพวกเจ้า ให้ม้าศึกพวกเจ้าก็เพื่อให้ยามโจรชั่วมา พวกเจ้าวิ่งหนีได้ว่องไวงั้นรึ?”
“หรือพวกเจ้าเหล่านี้เป็นขุนนาง เป็นแม่ทัพ เป็นทหารก็เพื่อเป็นไอ้ขี้ขลาดงั้นรึ?”
แต่ละประโยคๆ ฟาดเข้าใส่ ฟาดเสียทหารแม่ทัพด้านนี้หน้าแดงหูแดง
จูจั้นไม่มองพวกเขาอีกต่อไป เก็บธงคำสั่งในมือลง ทะยานม้าไปข้างหน้า
“ไสหัวไปเถอะ พวกเจ้าพวกขี้ขลาดเหล่านี้ ไสหัวไปมีชีวิตอยู่ให้ดีเถอะ” เขาเอ่ยเย็นชา ชักดาบยาวข้างเอวออกมา สะบัดไปด้านหน้า “ผู้กล้าทั้งหลาย ติดตามข้าต้านศัตรู”
ทหารแม่ทัพทั้งหลายที่ติดตามหลังร่างเขาชักดาบออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ต้านศัตรู!”
พร้อมกับเสียงตะโกนโห่ร้อง ฝูงอาชาก็วิ่งทะยาน ประหนึ่งขุนเขาร่ำร้องมหาสมุทรคำรามแซงทหารแม่ทัพเหล่านี้ไป
แม่ทัพด้านนี้มองดูพวกจูจั้นโห่ร้องผ่านไป สีหน้าพลันเป็นสีม่วง
“มารดามัน ไม่ใช่แค่ตายครั้งเดียวรึ?” เขาตะโกน หันหัวม้า ชักดาบยาวออกมา “ต้านศัตรู”
ทหารแม่ทัพทั้งหลายข้างกายก็พากันหันกลับ
“ต้านศัตรู!”
เสียงตะโกนดังกระหึ่มกึกก้อง
กองทหารประหนึ่งคลื่นสมุทรถาโถมผ่านข้างกายไป
ชาวบ้านทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ที่ยืนอยู่ยังคงนิ่งอึ้งไม่อยากเชื่อ แรงสั่นสะเทือนที่พื้นดินทำให้พวกเขาตัวสั่นระริก
ผู้เฒ่าหลั่งน้ำตาคุกเข่ากับพื้นโขกศีรษะสามครั้ง ตอนนี้ถึงเช็ดน้ำตาลุกขึ้นประคองคนข้างกายโซซัดโซเซไปด้านหน้า
ด้านหลังพวกเขา กองทหารควบม้าเร็วรี่ไปทิศทางตรงกันข้าม ธงทหารดังพรึบพรับ ดาบยาวประหนึ่งผืนป่า
ดาบไม่ร่วง ป่าไม่ล้ม
……………………………………….
ชายแดนป้าโจว
ชาวบ้านบนทุ่งกว้างวิ่งเร็วรี่ไปด้านหน้า หลังร่างพวกเขามีทหารทั้งหลายเรียงแถวประหนึ่งกำแพง มองดูควันสัญญาณที่ลอยขโมงขึ้นมาไกลออกไปเบื้องหน้า
รถสัมภาระไม่ตั้งหม้อทำอาหารอีกต่อไปแล้ว ผู้หญิงทุกคนกึ่งนั่งยองอยู่หลังโล่ป้องกันหนา เบื้องหน้าวางกระสุนหินมากมายยุบยับ หอกยาวแต่ละด้ามๆ มัดไว้บนรถยิงศร เอนเฉียงขึ้นข้างบน ใต้แสงตะวันงดงามของวสันต์ฤดูวาบวับเย็นเยียบ
หลังร่างพวกเขาคือกระบวนทัพสี่เหลี่ยมมากมายถี่ยิบ ศึกดุเดือนนานเข้าชุดเกราะก็ไม่วาววับอีกต่อไป หอกยาวยังคงประหนึ่งผืนป่า ธงผืนใหญ่หลายผืนพลิ้วสะบัดตามสายลม
กองทหารชิงซาน
กองทหารซุ่นอัน
ทหารดั่งขุนเขา เขาไม่ล้ม
……………………………………….