ภาค 4 ตอนที่ 26 ใจร้อนยากอดกลั้นความร้อนใจ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เทียบกับความหนาวเย็นที่แดนเหนือ เมืองหลวงฤดูใบไม้ผลิมาเยือนบ้างแล้ว

บรรดานางกำนัลเปลี่ยนเป็นชุดฤดูใบไม้ผลิ เดินตัดผ่านในพระราชวังประหนึ่งผีเสื้อบุปผา เพิ่มความงดงามให้พระราชวังที่เคร่งขรึมอยู่หลายส่วน

น่าเสียดายก็แต่ฮ่องเต้ไม่มีพระทัยชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามนี้

ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่นอกประตูตำหนัก ได้ยินเสียงฮ่องเต้ใช้ฎีกาฟาดโต๊ะดังมาจากด้านใน

“ไม่ใช่คุยกันเรียบร้อยแล้วหรือว่าจะเจรจาสงบศึก ชาวจินเหล่านี้ยังโวยวายอะไรอีก? หวงเฉิงกำลังทำอันใดอยู่?”

“ใต้เท้าหวงพยายามสุดกำลังหารือกับชาวจินเพื่อให้ต้าโจวของเรายื้อแย่งผลประโยชน์ได้มากกว่าเดิมอยู่ตลอดพ่ะย่ะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นชาวจินยังโวยวายอะไรอีก?”

“แดนเหนือด้านนั้นพักนี้เกิดเรื่องบางอย่าง ชาวจินไม่พอใจอย่างมาก”

“แดนเหนือเกิดเรื่องอะไรได้อีก? จูซานก่อเรื่องอีกแล้วรึ?”

องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งรีบร้อนก้าวเข้าไปชิด ขัดลู่อวิ๋นฉีที่กำลังฟังคำพูดของฮ่องเต้ด้านใน

“ใต้เท้า แดนเหนือมีข่าวแล้ว” เขาก้มศีรษะต่ำคำนับแล้วก้าวเข้ามาอีกก้าวเอ่ยเสียงเบา

ลู่อวิ๋นฉีเดินไปข้างนอกหลายก้าว ยืนอยู่ใต้เสาทางเดินมององครักษ์เสื้อแพรคนนี้

“นางอยู่ที่ไหน?” เขาเอ่ย

“ที่เซินโจวขอรับ” องครักษ์เสื้อแพรเอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย

“จากเมืองชิ่งหยวนไปถึงเซินโจวแล้ว? จินสือปาทำไมไม่ส่งข่าวกลับมา?” เขาเอ่ยถาม

องครักษ์เสื้อแพรอึ้งไปนิดนหึ่ง เงยหน้ามองลู่อวิ๋นฉี

“ใต้เท้า ข้าพูดถึงข่าวของบุตรชายเฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีคิ้วคลายออก

“ข่าวของเขาก็ควรปรากฏแล้วเหมือนกัน” เขาเอ่ยราบเรียบ “ไปเซินโจวอย่างที่คิดจริงๆ”

ใต้เท้ารู้อยู่ก่อนแล้ว? องครักษ์เสื้อแพรตกตะลึงอยู่บ้าง

ลู่อวิ๋นฉีก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว ลมใบไม้ผลิในพระราชวังวนเวียนพัดชายแขนเสื้อสีแดงสดของเขา

“ท่านหญิงเฉิงกั๋วกับภรรยาของท่านชายไปป้าโจวแล้ว” เขาเอ่ยเรียบเฉย “ในฐานะลูกชายกับสามี อย่างไรก็ไม่อาจหลบอยู่ข้างหลังให้ผู้หญิงถูกสอบสวนและรบกวนได้”

องครักษ์เสื้อแพรเข้าใจแล้ว เมื่อภรรยาของเฉิงกั๋วกงกับภรรยาของท่านชายปรากฏตัวที่เมืองเหอเจียน พวกเขาย่อมรู้ตั้งแต่แวบแรก และต้องไปเหอเจียนกับป้าโจวตามหาแน่นอน

ตอนนี้ในเมื่อบุตรชายเฉิงกั๋วกงปรากฏตัวที่เซินโจว องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายย่อมไม่ต้องไปหาท่านหญิงเฉิงกั๋วอีกต่อไปแล้ว

“นอกจากนี้ผู้หญิงทั้งหลายล้วนไปทำเรื่องยิ่งใหญ่อย่างการปกป้องประเทศคุ้มครองประชาชนแล้ว ท่านชายจะหลบๆ ซ่อนๆ ได้อย่างไร” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยนิ่งๆ “ผู้คนที่กล้าหาญภักดีทำเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชนเหล่านี้ทำให้คนนับถือและเลื่อมใสจริงๆนะ”

คำพูดนี้คล้ายออกมาจากใจแต่ก็เฉยชาห่างเหินด้วย องครักษ์เสื้อแพรชั่วขณะไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร

พวกเขาเพียง

“จับไหมขอรับ?” องครักษ์เสื้อแพรเอ่ยถาม

“ไม่ต้องจับแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

เพราะจูจั้นกล้าหาญภักดีทำเพื่อประเทศเพื่อประชาชนจะช่วยเซินโจวคุ้มครองประชาชนเป่าโจวลงใต้หรือ? เรื่องเช่นนี้อย่างไรก็เป็นคุณธรรมใหญ่หลวง

ในใจองครักษ์เสื้อแพรความคิดหนึ่งแล่นผ่าน

“ฆ่าเขาซะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยแล้วหมุนตัวไป

องครักษ์เสื้อแพรในหัวใจหนาววูบ ก้มศีรษะตอบขอรับ จากนั้นหมุนตัวก้าวเร็วไวจากไป

ลู่อวิ๋นฉีเดินไปทางหน้าประตูตำหนักอีกครั้ง มีคนเลี้ยวอ้อยอิ่งมาจากด้านข้าง

“อั้ยย่ะ หัวหน้ากองพันลู่”

เสียงเกินจริงอยู่บ้างลอยตามเขามา

ลู่อวิ๋นฉีมองไป เห็นบุรุษสวมอาภรณ์พิธีการของชินอ๋องไม่ทราบว่ายิ้มอยู่หรืออ้วนจนมองไม่เห็นตาก้าวเข้ามา

“เสียนอ๋อง” เขาค้อมกายคำนับ

เสียนอ๋องยื่นมือคว้าแขนของเขาไว้แล้ว

“หัวหน้ากองพันลู่เกรงใจแล้ว” เขาเอ่ย ตาหยีๆ หรี่ตามองมาที่เขา “ไม่ถูกสิ ควรเรียกท่านผู้บัญชาการแล้ว”

ลู่อวิ๋นฉีก่อนปีใหม่ก็กลายเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรอย่างเป็นทางการแล้ว แม้ตำแหน่งของเขาเป็นเช่นนั้นมานานแล้วก็ตาม

ลู่อวิ๋นฉีก้มศีรษะต่ำคำนับอีกครั้ง

“ฝ่าบาททรงกำลังทำสิ่งใดอยู่?” เสียนอ๋องกดเสียงเบาเอ่ยถามท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่บ้าง

“กำลังทรงปราศรัยกับพวกใต้เท้าหลิวจากสภาอำมาตย์อยู่พ่ะย่ะค่ะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

เสียนอ๋องดวงตาเป็นประกาย แต่เบิกตาอีกเท่าใดก็เบิ่งได้เพียงรอยแยกเส้นหนึ่งเท่านั้น

“ดีเหลือเกิน” เขาเอ่ย “ชาวจินจะให้เงินหรือไม่?”

พูดจบไม่รอลู่อวิ๋นฉีเอ่ยวาจาอีกก็รีบร้อนเดินเข้าไปในตำหนัก ยิ้มตาหยียื่นศีรษะเข้าไปด้านใน

“ฝ่าบาท” เขาร้องเรียก

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้ห้ามปราม ได้ยินเสียงหารือด้านในถูกขัด

“เจ้ามาทำอะไร?” ฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์ตวาด

เสียนอ๋องไม่ถูกท่าทางของฮ่องเต้ทำให้กลัว ยิ้มเริงร่าเดินเข้าไป

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ชาวจินจะให้เงินมาเมื่อไรเล่า?” เขาเอ่ยถาม

ฮ่องเต้ถลึงตา

“เจ้าก็รู้จักแต่เงิน” พระองค์ตรัส มองเขาทีหนึ่งคิดอะไรขึ้นได้ “เจ้าไปหาไทเฮาที่นั่นทำอะไรอีก? จะเอาเงินอีกรึ?”

เสียนอ๋องนั่งลงตรงหน้าฮ่องเต้ โบกมือส่งๆ ให้บรรดาขุนนางใหญ่ที่คำนับ

“เปล่านะ” เขาร้องด้วยสีหน้าน้อยใจ “วันนี้ประเทศเผชิญสงคราม พระสนมทั้งหลายยังลดค่าใช้จ่าย ข้าจะมาขอเงินให้ชายาได้อย่างไร”

ฮ่องเต้ทรงถอนหายใจยาว มองบรรดาขุนนางใหญ่

“คนที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้ความ เวลาเช่นนี้รู้ความแล้ว” พระองค์ตรัสท่าทางอับจนหนทางอยู่บ้าง “คนที่ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนบอกว่ามีเหตุผล ตอนนี้กลับยังทะเลาะกับข้าอยู่”

ที่พูดถึงนี่ย่อมคือเฉิงกั๋วกง

บรรดาขุนนางใหญ่พากันพยักหน้า

“ดังนั้นชาวจินตอนนี้จึงโกรธจัด” ขุนนางใหญ่คนหนึ่งเอ่ยต่อ “ถามพวกเราว่าที่แท้มีความจริงใจจะเจรจาสงบศึกหรือไม่ หากไม่มีก็ช่างมันแล้ว…”

ช่างมันแล้วย่อมคือจะรบต่อ ฮ่องเต้เคร่งเครียดทันที กำลังจะเอ่ยวาจา เสียนอ๋องก็ยื่นตัวมาเอ่ยปากก่อนแล้ว

“ข้าได้ยินว่าเมืองเหอเจียนด้านนั้นกองทหารกำลังคุ้มครองประชาชนจากที่ต่างๆ อย่างป้าโจวลงใต้” เขาเอ่ย พลางวาดมือวาดไม้หน้าตาเริงร่า “ตีชาวจินหนีกระเจิงเข้าป่า”

บรรดาขุนนางใหญ่พยักหน้า

“ใช่แล้ว คุยกันแล้วชัดๆ ว่าจะหยุดรบแล้ว เฉิงกั๋วกงกลับให้ภรรยาของเขาพาคนปลุกปั่นทหารที่เหอเจียนให้กระทำเรื่องเช่นนี้ ช่าง…” พวกเขาพูดพลางส่ายศีรษะใบหน้ากังวล

เสียนอ๋องร้องฮั้ยแล้ว

“นี่เป็นเรื่องดีต่างหาก” เขาตบมือเอ่ยขึ้น “แสดงว่าพวกเราร้ายกาจมากเท่าไร”

ร้ายกาจ? คนที่ร้ายกาจคือเฉิงกั๋วกงกระมัง กระทั่งดำรัสของฮ่องเต้ยังไม่ฟัง ฮ่องเต้กลับแลดูแล้วขี้ขลาด

บรรดาขุนนางใหญ่สีหน้าคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“พอแล้ว ตอนนี้เวลาใดแล้วยังร้ายกาจไม่ร้ายกาจอีก” ฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์ตรัส

“ฝ่าบาท” เสียนอ๋องโบกมือพลางเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่สิ ตอนนี้เวลาใด เวลาเจรจาสงบศึก พวกเราร้ายกาจสักหน่อย ไม่ใช่ทำให้ชาวจินยิ่งหวาดกลัวได้รึ เงื่อนไขย่อมยิ่งเป็นประโยชน์กับพวกเรา…”

เขาพูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะคิกคัก ขยับเข้ามาใกล้ฮ่องเต้

“ฝ่าบาท ไม่สู้ให้น้องไปเจรจราสงบศึกกับชาวจินเถอะ อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เงินต้องเอามามากสักหน่อย”

เสียนอ๋องผู้นี้ในดวงตามีแต่เงิน

ฮ่องเต้แค้นเสียงเฮอะ

“ที่แท้เจ้าก็คิดจะเอาเงินจากชาวจินแล้ว” พระองค์ตรัส “บ้าบอจริงๆ”

ตรัสพลางกุมหน้าผาก

“เงินนับเป็นเรื่องใหญ่อะไร ประเทศร่มเย็นเป็นสุขประชาชนได้เสพสุขกับความสงบถึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” พระองค์ตรัส สีหน้าเคร่งขรึมใส่บรรดาขุนนางใหญ่ “บอกหวงเฉิง ชาวจินมีความจริงใจ พวกเราก็มีความจริงใจบ้าง รีบจัดการเรื่องนี้เสีย”

มีความจริงใจ ถ้าอย่างนั้นก็ทำง่ายแล้ว

บรรดาขุนนางใหญ่คำนับขานรับ

บรรดาขุนนางใหญ่เดินออกจากตำหนักยิ้มแย้มพูดคุยจากไป เสียนอ๋องซุกมือไว้ในเสื้อยิ้มตาหยีรั้งอยู่ท้ายสุด

“ใต้เท้าลู่ยังไม่ไปหรือ?” เขายังทักทายลู่อวิ๋นฉีอีกหน

ลู่อวิ๋นฉีหลุบตาลงคำนับ

เสียนอ๋องเดินผ่านข้างตัวเขาไป รอยยิ้มบนหน้าพลันสลาย เขามองดูพระราชวังสูงตระหง่าน

“ประเทศร่มเย็นเป็นสุข ประชาชนสงบสุข” เขาเอ่ยพึมพำ ดวงตาตี่เป็นขีดเบิกโตขึ้นช้าๆ ค่อยๆ เผยแววเยาะหยันออกมา

……………………………………….

“แน่นอนเพื่อประเทศร่มเย็นเป็นสุข ประชาชนสงบสุขสิ!”

ในจวนว่าการเมืองเซินโจว จูจั้นเอ่ยขึ้น ยื่นมือวนชี้แม่ทัพทั้งหลายในห้องโถง

“นี่เป็นการกระทำของพวกเจ้า”

แล้วยื่นมือชี้ตนเอง

“ส่วนข้าย่อมทำความชอบชดใช้ความผิด”

เขาพูดพลางผายมือ

“ทุกคนล้วนรู้ ตอนนี้ข้าถูกประกาศจับ ข้าก็รู้ว่าข้ามีความผิด แต่ข้ารู้สึกว่าแทนที่ข้าจะอยู่เมืองหลวงสิ้นเปลืองข้าวสาร ยังไม่สู้ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์บ้าง ต่อให้ตายในมือชาวจินก็ต้องฆ่าโจรจินเพิ่มให้ได้สักหลายคน ก็นับว่าชดใช้ความผิดแล้ว”

ผู้คนด้านในโถงสบตากันทีหนึ่ง ที่จริงเฝ้าดูมานานปานนี้ มองดูกองทหารเมืองเหอเจียนเหยียบราบทุกทิศที่ป้าโจว รวมถึงคำพูดของท่านหญิงเฉิงกั๋วที่พูดถึงคุณงามความชอบยิ่งใหญ่เหล่านั้นก็แพร่ออกมาแล้ว ทุกคนล้วนเคยคิด ขาดก็แต่จังหวะ

จังหวะที่ว่านี้ย่อมเป็นมีคนออกคำสั่ง หรือก็คือคนรับผิดชอบถ้าอนาคตเกิดปัญหา

อย่างไรท่านหญิงเฉิงกั๋วก็ยังไม่มาออกคำสั่งกับพวกเขาที่นี่

ตอนนี้ดีแล้ว บุตรชายเฉิงกั๋วกงมาแล้ว นอกจากนี้ยังบอกว่าเชิญพวกเขาไปเป่าโจวช่วยคุ้มครองประชาชนเคลื่อนถอยอีก

ส่วนเรื่องบุตรชายเฉิงกั๋วกงเป็นนักโทษในประกาศจับของราชสำนัก ช่วงเวลาพิเศษย่อมปฏิบัติด้วยเป็นพิเศษสิ

เจียงเฉิงหัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันของเซินโจวสีหน้าขึงขังพยักหน้า

“พวกเราก็กำลังจะดำเนินการตามนี้” เขาเอ่ย “ในเมื่อท่านชายยินดีทำความชอบชดใช้ความผิด” ถ้าอย่างนั้นก็ทำด้วยกันเถอะ แต่ท่านชายต้องเชื่อฟังคำสั่งของพวกเรา อย่าหนีไปเอง อย่างไรตอนนี้ท่านก็มีความผิดตัว รอพวกเราแจ้งราชสำนักรอรับการลงโทษ”

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ ระยะเวลาแจ้งไปกลับนานสักหน่อยก็มีเหตุผลอภัยได้

จูจั้นพยักหน้า

“จะเชื่อฟังคำสั่งใต้เท้าอย่างเคร่งครัด” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ย

เจียงเฉิงสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย แล้วคิดอะไรได้มองไปทางจูจั้น

“ที่แท้ท่านชายหมั้นแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม

จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

“ใช่แล้ว” เสียงหัวเราะของเขาหยุดไป สีหน้าจริงจัง “ข้าหมั้นแล้ว”