หมู่บ้านแห่งนั้นอยู่ไม่ไกลจากค่ายและไม่ไกลจากเผ่าเสวี่ยเหมียวสักเท่าไหร่
อวี้จิ่นมีความสามารถไม่ธรรมดา อีกทั้งพละกำลังอันแข็งแกร่งที่โดดเด่น การที่เขาวิ่งไปเช่นนี้เขาแทบไม่รู้สึกเหนื่อยหอบแม้แต่น้อย
เขายืนเอามือกอดอกอยู่ด้านนอกค่าย สายตามองไปท่ามกลางความมืดมิดดุจดั่งสายน้ำ
เผ่าเสวี่ยเหมียวที่มักจะเลี้ยงหนอนและแมลงพิษเอาไว้ สิ่งป้องกันบุคคลภายนอกไม่ใช่กำแพงสูงหรือเสาหนา แต่กลับเป็นแมลงและงูอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านั้น
อวี้จิ่นเดินไปมา จากนั้นก็เลือกที่จะปีนไปตรงที่ต่ำกว่าเข้าไปในค่าย
ด้วยถุงหอมที่เจียงซื่อให้ไว้ในมือ จึงทำให้แมลงมีพิษเหล่านั้นหลบซ่อนตัว ไม่มีตัวใดที่กล้าออกมาสร้างความไม่สงบ จึงทำให้อวี้จิ่นเข้าไปในบ้านของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวได้อย่างไร้ปัญหา
ท่ามกลางบ้านเรือนมากมายหลายหลัง ที่พักของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวงดงามที่สุด
อวี้จิ่นมั่นใจว่าเขาไม่ได้มาผิดที่ หลังจากที่เขาแอบเข้าไปด้านในอย่างเงียบๆ แล้วพบเห็นห้องหนึ่งที่ยังคงมีไฟติดสว่างอยู่
เวลานี้แล้วยังไม่นอนอีก?
อวี้จิ่นครุ่นคิดและเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด
การที่ส่งคนออกไปลอบสังหารเขา แต่บัดนี้ยังไม่ได้รับรายงานจากใต้ผู้บังคับบัญชา แน่นอนว่าหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวนอนไม่หลับ
เมื่อเอามือแตะไปตรงหน้าต่าง อวี้จิ่นก็ได้แต่ส่ายหน้า
เรื่องเท่านี้ก็ทำให้เขานอนไม่หลับแล้ว หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวไม่ได้เรื่องเสียจริง
หลังจากที่รู้สึกได้เปรียบทางด้านจิตใจหลายเท่า อวี้จิ่นจึงไม่ได้วางแผนจะเข้าไปทางหน้าต่าง แต่กลับเดินไปเคาะประตูโดยตรง
เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรง สีหน้าของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวดูเหมือนกำลังรอคอยอย่างรีบร้อน
เมื่อพบว่าเหยื่อที่เขาจะฆ่าปรากฏกายขึ้นตรงหน้า หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวก็ได้แต่อุทานออกมาอย่างตกใจ ในขณะที่เขากำลังจะตะโกนนั้น ก็ถูกอวี้จิ่นปิดปากเอาไว้แล้วผลักเข้าไปด้านใน
อวี้จิ่นใช้เท้าเกี่ยวประตูเพื่อปิดมันลง ประตูนั้นก็ส่งเสียงออกมาเพียงเล็กน้อย นับว่าให้ความร่วมมืออย่างดี
ภายใต้แสงไฟอันสว่างจ้า หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวมองเห็นใบหน้าการดูถูกของผู้มาเยือนอย่างชัดเจน
อวี้จิ่นบีบคางของหัวหน้าเสวี่ยเหมียวเอาไว้แล้วใช้ผ้าขนหนูสำหรับซับเหงื่อยัดเข้าไปในปาก ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ว่า “เพียงเท่านี้ก็กรีดร้องดุจดั่งสตรีไปได้ ในฐานะหัวหน้าเผ่า ท่านไม่ละอายใจหรือ”
หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง เนื่องจากไม่สามารถส่งเสียงใดออกมาได้ เขาจึงทำได้เพียงกะพริบตาด้วยความโมโหและกังวล
เขากรีดร้องดุจดั่งสตรีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
เอาเถอะ ตอนที่เขาพบว่าผู้ที่มาเคาะประตูไม่ใช่คนที่ตนส่งออกไปฆ่าศัตรู เขาสะดุ้งจนตะโกนออกมาอย่างไม่รู้ตัวก็จริง แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ทันได้ตะโกนสิ่งใดกลับถูกปิดปากเอาไว้แล้ว ไม่ทันจะได้ส่งเสียงอือออสักเล็กน้อย เหตุใดชายหนุ่มผู้นี้จึงกล่าววาจาไร้สาระนักหนา
อวี้จิ่นกุมตัวหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวได้อย่างง่ายดาย จากนั้นลากเขาเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ เอ่ยด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยามว่า “จ้องข้าทำไมหรือ จ้องข้าเพียงใดตาคู่นั้นของเจ้าก็ใหญ่เพียงเท่าเมล็ดถั่วเขียว มันจะงอกดอกไม้ออกมาได้หรืออย่างไร”
ดวงตาของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวเบิกกว้างขึ้นอีกสามเท่าในทันใด
ตาถั่วเขียว? เหตุใดเขาจึงไม่เข้าใจว่าชายคนนี้กล่าวถึงเรื่องอะไรอยู่
อวี้จิ่นขมวดคิ้วขึ้นด้วยความขยะแขยง “โชคดีที่ผ้าขนหนูคอยซับเหงื่อผื่นนี้มันยาวพอที่จะปิดปากคางคกของเจ้าเอาไว้ได้ ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าสภาพของเจ้านั้นน่าเกลียดเสียจนทำให้คนต้องตกใจ เจ้าเป็นผู้ปกครองอยู่ในเผ่าเสวี่ยเหมียวดีๆ ไม่ชอบหรือ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ องค์ชายเจ็ดที่หน้าตาหล่อเหลาไร้ที่ติก็กวาดมองหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะพยักหน้ายืนยันอีกครั้งว่า “ช่างน่าเกลียดเหลือเกิน”
สีหน้าการแสดงออกของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว เปลี่ยนจากความตกใจกลัวเป็นมืดมนลง
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาบัดนี้คือองค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์ต้าโจวจริงหรือ
พวกคนชั้นต่ำในเผ่าอูเหมียวเชี่ยวชาญด้านการปลอมตัว คนผู้นี้คงไม่ใช่คนจากเผ่าอูเหมียวแปลงกายมาใช่หรือไม่
ไม่สิ ถ้าเป็นคนจากเผ่าอูเหมียวอันน่ารังเกียจเหล่านี้ สมองของพวกเขามักจะเป็นปกติ ไม่มีใครมาจับจ้องมองตนแล้วโจมตีว่าเป็นคนหน้าตาน่าเกลียดเช่นนี้
เมื่อคิดได้ดังนี้หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วอยากจะตบปากของตนเองเหลือเกิน
เขาขี้เหร่ตรงไหนกัน เขาถูกชายหนุ่มอันบ้าคลั่งคนนี้ชักจูงล้างสมองเสียได้
อวี้จิ่นกำหมัดของเขาแน่นแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เดิมทีเจ้าส่งคนงี่เง่าไปสังหารข้า ข้าก็ไม่อยากจะสนใจเจ้าเท่าไหร่นัก แต่ว่าหน้าตาของเจ้ามันน่าเกลียดเสียจนดึงดูดความสนใจจากภรรยาข้า ดังนั้นเจ้าจึงสมควรตาย!”
“อู้อี้ๆ” หัวหน้าเสวี่ยเหมียวตะโกนร้องอย่างสิ้นหวัง แม้ว่าเขาจะทำได้เพียงส่งเสียงออกมาจากในลำคอ แต่ความกระสับกระส่ายนั้นก็เห็นได้ชัดเจน
บางทีอาจเรียกได้ว่าเขาค่อนข้างจะอารมณ์ร้อน
หัวหน้าเสวี่ยเหมียวจะไม่อารมณ์ร้อนด้วยความหงุดหงิดได้อย่างไร
เขาจะต่อสู้กับเจ้าเด็กคนนี้สุดชีวิต!
การที่เจ้าหมอนี่ถูกลอบสังหารจึงกลับมาแก้แค้นเขาพอจะรับได้ แต่การที่เจ้าหมอนี่เอาแต่ด่าว่าเขาหน้าตาน่าเกลียดนี่มันเรื่องอะไรกันแน่
การลอบสังหารเป็นเรื่องร้ายแรง แต่เจ้าหมอนี่กลับมาดูถูกเขาอยู่นั่น แน่จริงให้ออกมาอธิบายเรื่องความคับข้องใจที่มีต่อเขาอย่างชัดเจนสิ
ความรู้สึกคับแค้นใจด้วยความหึงหวงซึ่งอยู่ในใจของอวี้จิ่นถูกระบายออกมาพอสมควรแล้ว บัดนี้เขามีความสุขแล้วยิ้มขึ้นว่า “อย่าหงุดหงิดไปเลย ถึงอย่างไรการที่เจ้าหน้าตาน่าเกลียดก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้า อาจเป็นเพราะตอนที่เจ้ามาเกิดใหม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นเล็กน้อย แต่จะทำอะไรได้เล่า มีบทเรียนจากครั้งนี้แล้ว คาดว่าครั้งหน้าคงไม่เป็นเช่นนี้อีก…”
เมื่อหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวได้ยินประโยคนี้ เส้นเลือดฝาดบนหน้าของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความสยดสยองแล้วจ้องไปทางอวี้จิ่น
อวี้จิ่นเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมหรือ เจ้าคิดว่ามีเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งคนไปลอบสังหารข้าได้? ข้าจะนำมีดมาฆ่าเจ้าถึงที่นี่บ้างไม่ได้รึไง ใครให้ความมั่นใจนี้แก่เจ้า! ข้าจะบอกเจ้าให้ว่านี่ไม่ได้เรียกว่าความมั่นใจ นี่เรียกว่าความโง่เขลา และความโง่มักจะฆ่าคนให้ตายได้ เข้าใจหรือไม่!”
หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสับสนจากการที่ถูกอวี้จิ่นเอาผ้าปิดปากและบีบคางตนเอาไว้ หรือเป็นเพราะความตายที่กำลังมาเยือนตรงหน้า ทำให้เขาพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
อวี้จิ่นยิ้มเยาะขึ้น “หากเจ้าเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ก่อนหน้านี้ก็คงดี เหตุใดจึงรนหาที่ตายเล่า”
พบว่าเจ้าคางคกที่ดูเหมือนไม่ใช่ศัตรูหัวใจคนนี้ถูกเยาะเย้ยเสียจนหมดท่า อวี้จิ่นก็รู้สึกพึงพอใจแล้วกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อเจ้าตระหนักแล้วถึงความผิดอันร้ายแรงของเจ้าที่ทำลงไป เช่นนั้นบัดนี้เรามาเจรจาเรื่องราวของเราเถอะ”
วินาทีนี้ หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวผู้บ้าคลั่งกลับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
การเจรจากันเป็นเรื่องดี นั่นหมายความว่าเขายังมีโอกาสพูด เขายังมีโอกาสพลิกผันสถานการณ์ได้ เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะให้เจ้างูซ่อนพิษนี่ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น!
ใครจะไปรู้เล่าว่าความคิดนี้เพิ่งจะแวบผ่านเข้าไปในสมอง ก็พบว่าอีกฝ่ายหนึ่งยกมีดขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วแทงไปที่คอของเขา
ไหนว่าจะเจรจากัน? เจ้าหมอนี่โกหก… ก่อนที่จะหมดสติไป ในสมองของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวมีความคิดนี้แวบเข้ามา
หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวหมดสติไปพร้อมกับความโมโหและคับข้องใจอันหาที่เปรียบมิได้ ในขณะที่ความรู้สึกของอวี้จิ่นกลับผ่อนคลายมากขึ้น
เขามองไปทางหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวแล้วส่ายหน้าเบาๆ “แน่นอนว่าการเจรจาของข้านั้นก็คือการฆ่าเจ้า ดูเจ้าสิช่างโง่เง่าเหลือเกิน คิดว่าข้าจะเสียเวลามาสนทนากับเจ้างั้นหรือ หากข้ามีเวลานั้นกลับไปกอดภรรยาฆ่าไม่ดีกว่าหรือไร”
เขาอุ้มหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวไปที่โต๊ะจากนั้นวางลงในท่านอนแล้วโรยน้ำมันราดไปที่ร่างของเขา ก่อนจะจุดไฟปล่อยให้ลุกลาม
ในไม่ช้าไฟก็ลามไปบนเสื้อผ้าของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว
ก่อนที่ไฟจะจุดส่องสว่าง อวี้จิ่นได้เดินทางออกไปจากห้องนั้นแล้ว แต่เขาไม่ได้รีบร้อนกลับโรงเตี๊ยม เขาซ่อนตัวอยู่ในความมืดเพื่อเฝ้าดู
เขาต้องยืนยันให้แน่ชัดก่อนว่าหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวตายแล้วจริงๆ จากนั้นค่อยเดินจากไป เขาไม่อยากได้ยินเรื่องตลกว่าได้ฆ่าใครแล้วฟื้นขึ้นคืนชีพอีก
คนจากเผ่าเสวี่ยเหมียวพบว่าไฟไหม้ ไฟนี่ลามช้ากว่าที่อวี้จิ่นคิดเอาไว้
“ไฟไหม้…!”
เสียงฆ้องและกลองดังขึ้น ทุกครัวเรือนวิ่งออกมาพร้อมกับตักน้ำใส่ถังใส่อ่างเพื่อดับไฟ เมื่อพวกเขาเห็นว่าไฟกำลังไหม้ลุกลามที่บ้านท่านหัวหน้าเผ่า ความโกลาหลก็เกิดขึ้น มีเสียงร้องไห้โหวกเหวกโวยวายดังอื้ออึง
หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวเป็นดุจดั่งกระดูกสันหลังของคนเหล่านี้ และเมื่อเกิดเรื่องขึ้น จึงไม่ต่างอันใดกับฟ้าถล่มดินทลาย
อวี้จิ่นเห็นกับตาตนเองว่ามีหลายต่อหลายคนวิ่งเข้าไปโดยไม่คำนึงถึงความร้อน จากนั้นก็ตามมาด้วยน้ำเสียงกรีดร้อง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ชายคนหนึ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยไฟได้ลากร่างของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวออกมา ส่วนคนอื่นๆ ที่เข้าไปในนั้นไม่มีผู้ใดกลับออกมาอีกเลย
เมื่อมองไปเห็นร่างเจ้าคางคกถูกไฟมอดไหม้ อวี้จิ่นจึงได้ยิ้มกรุ้มกริ่มจากไปท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านั้น