อวี้จิ่นรีบกลับไปยังโรงเตี๊ยมเล็กๆ ในเมือง พบว่ายังเป็นเวลาอีกเนิ่นนานกว่าจะถึงรุ่งสาง
เขาไม่ได้เดินเข้าไปในห้องโดยตรง แต่กลับไปล้างไม้ล้างมืออย่างละเอียดประณีต จากนั้นเช็ดหน้าเปลี่ยนชุดที่เมื่อครู่ใช้ฆ่าคนและจุดไฟเผาให้เรียบร้อยก่อน จึงเดินเข้าไปข้างใน
ภายในห้องยังคงมีไฟจุดอยู่
แสงไฟเล็กดุจดังเม็ดถั่วเขียวเปล่งแสงสลัวออกมา ทำให้เห็นคนที่นอนอยู่บนเตียงกำลังหลับสนิทอย่างไม่ชัดเจนนัก
อวี้จิ่นเดินเข้าไปอย่างแผ่วเบา ก่อนจะถอดรองเท้าขึ้นไปบนเตียงนอนข้างกายเจียงซื่อ
เจียงซื่อลืมตาขึ้น น้ำเสียงดูประหลาดใจเล็กน้อย “กลับมารวดเร็วเช่นนี้เชียวหรือ”
ท่ามกลางความมืดมน ดวงตาของอวี้จิ่นสว่างไสวราวกับมีดวงดาวประกายมากมายอยู่ในดวงตา
“ข้าทำให้เจ้าตื่นหรือ”
เจียงซื่อยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ข้าจะนอนหลับลึกได้อย่างไรเล่า”
อวี้จิ่นครุ่นคิดดูก็รู้สึกว่าถูกต้องแล้ว เขาออกไปฆ่าคนจะให้อาซื่อไม่เป็นกังวลใจได้อย่างไร
“หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าจุดไฟเผา…” อวี้จิ่นเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบา
เจียงซื่อฟังอย่างเงียบๆ ก่อนจะถามขึ้นในตอนสุดท้ายว่า “แน่ใจว่าถูกเผาจนตายแล้ว?”
อวี้จิ่นหัวเราะขึ้นอย่างโง่เขลา “วางใจเถิด เขาตายแล้วอย่างแน่แท้”
เขาชื่นชอบอาซื่อที่มีความเด็ดขาดเช่นนี้เหลือเกิน ไม่เหมือนกับสตรีคนอื่นที่วันๆ เอาแต่นั่งร้องไห้เช็ดน้ำตาเมื่อเห็นคนตาย ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก
แน่นอนว่าต่อให้อาซื่อกลัวเขาก็ไม่รังเกียจ เป็นโอกาสดีที่เขาจะแสดงท่าทางปลอบโยนนาง
เจียงซื่อมองไปข้างนอกหน้าต่างแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวส่งคนมาสังหารเจ้า ไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีกี่คนที่รับรู้ หากมีคนอื่นที่รู้อีกล่ะก็ พวกเขาพบว่าคนที่ส่งออกมาสังหารเจ้าไม่ได้กลับไป แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องมาสืบที่โรงเตี๊ยม…”
อวี้จิ่นครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ข้าให้หลงต้านเอาร่างนั้นไปโยนทิ้งที่หน้าผาแล้ว คนเหล่านั้นต้องใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะหาร่างพบ กว่าพวกเขาจะสงสัยว่าเป็นฝีมือข้า พวกเราคงจะเดินทางออกไปไกลจากที่นี่แล้ว และไม่จำเป็นต้องกลัวคลื่นลมใดๆ ถึงแม้จะมีปัญหาตามมาก็ตาม แต่มันคุ้มค่ายิ่งนักที่สามารถจัดการกับหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวทิ้งจนได้”
เมื่อมีปัญหา จัดการให้เสร็จสิ้นก็เพียงพอแล้ว จะให้เขาหวาดกลัวเสียจนหดหางปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งมาขี่คอได้อย่างไร
เจียงซื่อพยักหน้า “เช่นนั้นมาทำลายร่องรอยศพก่อนแล้วค่อยว่ากัน สำหรับวิธีจัดการศัตรูของเผ่าเสวี่ยเหมียวและเผ่าอูเหมียวนั้นคล้ายคลึงกันและข้าเองก็ไม่เกรงกลัว เพียงแค่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเจ้าเป็นคนทำ หากทางเผ่าเสวี่ยเหมียวไม่ประกาศเป็นศัตรูแก้แค้นราชวงศ์ต้าโจวก็พอ”
อวี้จิ่นได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้นเยาะเย้ย “อาซื่อเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องราวเหล่านี้ หากว่าเผ่าเสวี่ยเหมียวส่งสัญญาณจะเป็นปรปักษ์กับราชวงศ์ต้าโจว ข้าเพียงไปปรึกษากับหัวหน้าผู้อาวุโสเผ่าอู่เหมียวก็พอ”
“หัวหน้าผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียว?” ในตอนแรกเจียงซื่อไม่ทันได้ตอบสนอง เหตุใดจึงไปเกี่ยวข้องกับเผ่าอูเหมียวอีกเล่า
“บุตรแห่งมังกรคนที่เจ็ดจะนำพามาซึ่งรุ่งอรุณ และปัดเป่าความมืดมิดของเผ่าอูเหมียว” อวี้จิ่นกล่าวคำทำนายนั้นออกมาอย่างมั่นใจ “การที่หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวต้องการจัดการฆ่าข้าทิ้งไปนั้น ท้ายที่สุดก็เพื่อจัดการกับเผ่าอูเหมียว ไม่มีเหตุผลใดที่จะให้เผ่าอูเหมียวได้ผลประโยชน์โดยไม่ออกแรงไม่ใช่หรือ”
เขาดูเป็นคนที่จะยอมให้ผู้อื่นมาเอาเปรียบทุกด้านแล้วไม่ร้องเรียกให้ผู้อื่นมารับผิดชอบหรือ
หากเผ่าเสวี่ยเหมียวกล้าเป็นปรปักษ์กับราชวงศ์ต้าโจว เผ่าอูเหมียวก็อย่าคิดว่าจะได้เพียงนั่งมองจากด้านข้าง
แท้จริงแล้วหลายปีมานี้ แม้ว่าความแข็งแกร่งทางด้านอำนาจของเผ่าอูเหมียวค่อยๆ ลดน้อยลง แต่ก็ยังสามารถกดดันกดขี่เผ่าเสวี่ยเหมียวได้ เพียงแค่เผ่าอูเหมียวออกมาเคลื่อนไหว เผ่าเสวี่ยเหมียวก็คงยุ่งเสียจนไม่มีเวลาไปแก้แค้นเขา
อวี้จิ่นได้หาทางออกไว้แล้วก่อนหน้า ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปจัดการปลิดชีพหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวเสีย เพราะหากเดินทางกลับเมืองหลวงแล้วอาจดำเนินการไม่สะดวกนัก
เมื่อได้ยินคำอธิบายจากอวี้จิ่น เจียงซื่อก็รู้สึกเห็นใจหัวหน้าผู้อาวุโสและพยักหน้าเล็กน้อย
อวี้จิ่นลุกขึ้นเดินไปยังห้องข้างๆ เพื่อกำชับหลงต้าน
หลงต้านผู้กำลังอยู่ในความงัวเงียได้ยินว่าตนจะต้องจัดการศพใหม่อีกครั้ง ซึ่งเมื่อครู่กว่าเขาจะทำการฝังได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบูดบึ้ง
เมื่อเขาเดินไปยังที่ที่ซ่อนศพเอาไว้ ความรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนและบ่นพึมพำเมื่อครู่ก็จางหายไปเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่
“ศพ ศพ ศพเล่า ศพหายไปแล้ว!”
เมื่อมองไปยังที่ว่างเปล่าถึงซ่อนศพไว้เมื่อครู่ ความเยือกเย็นก็ผุดขึ้นในหัวใจเขา ทำให้หลงต้านถึงกับขนหัวลุก
หลังหายจากอาการตกตะลึง หลงต้านก็รีบไปรายงานอวี้จิ่นทันที
“อะไรนะ ศพหายไปแล้ว?” เห็นได้ชัดว่าอวี้จิ่นได้หลับไปแล้ว เขาเดินออกมาพร้อมกับสวมเสื้อคลุมบางๆ เมื่อได้ยินรายงานจากหลงต้าน เขาก็ตกใจยิ่งนัก
น้ำเสียงอันอ่อนนุ่มดังขึ้นจากทางด้านหลัง “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”
อวี้จิ่นหันกลับมาพูดกับเจียงซื่อว่า “เมื่อครู่ลงต้านเพิ่งจะนำศพไปซ่อน ต่อมากลับพบว่าศพหายไปแล้ว”
เจียงซื่อได้ยินดังนั้นก็เดินตรงไปที่โต๊ะแล้วหยิบตะเกียงน้ำมันขึ้นมาส่อง เดินไปที่ประตู “ไปดูกันเถอะ”
“อืม” อวี้จิ่นพยักหน้าแล้วกำชับหลงต้านว่า “ไปเรียกเหล่าฉินมาถามดู”
หลงต้านรีบเข้าไปปลุกเหล่าฉินและเจียงจั้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าเจียงจั้นจะได้นอนอย่างสงบสุขแต่ตอนนี้เขากลับถูกปลุกขึ้น ดวงตาของเขาแดงเรื่อเอ่ยถามด้วยงัวเงียว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ความตื่นตระหนกที่พบว่าศพหายไปของหลงต้านเมื่อครู่ เปลี่ยนไปเป็นความเคารพนับถือ “คุณชายรอง สถานการณ์เช่นนี้ยังสามารถหลับลึกได้…”
ใบหน้าของเจียงจั้นร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อยแล้วอธิบายว่า “พักผ่อนให้เพียงพอจึงจะมีแรงเดินทาง ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือ เอ๊ะ หรือเกิดเรื่องกับท่านอ๋อง”
เขาก็ยังคิดอยู่ การสังหารหัวหน้าเผ่าจะทำอย่างสะเพร่าเช่นนี้ไม่ได้ ไม่ใช่เหมือนอยู่ในสนามรบที่นึกจะหยิบดาบหยิบมีดออกไปแทงใครก็ได้ทันที
เรื่องเช่นนี้จำเป็นต้องวางแผนให้ดีก่อน
“เจ้านายของข้ากลับมาตั้งนานแล้วและไม่ได้พบกับเรื่องวุ่นวายใด แต่ศพที่ข้านำไปซ่อนนั้นบัดนี้หาไม่เจอแล้ว เจ้านายสั่งให้พวกเราทุกคนไปดูพร้อมๆ กัน”
เจียงจั้นได้ยินดังนั้น ความงัวเงียก็หายไปเป็นปลิดทิ้งแล้วรีบตามหลงต้านไปทันที
หลงต้านชี้ไปที่ดินกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ ข้าพบว่าบริเวณซอยแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลออกไปจากโรงเตี๊ยม มีบ้านร้างอยู่หลังหนึ่งและข้างในมีบ่อน้ำแห้ง วันนี้ท่านอ๋องกำชับให้ข้าเอาศพไปทิ้ง ข้าคิดว่าที่นี่เหมาะสมยิ่งนัก จึงได้นำศพมายัดลงไปในบ่อน้ำและยังถ่วงหินเอาไว้ก้อนหนึ่ง แต่จู่ๆ เหตุใดศพจึงหายไปได้”
อวี้จิ่นใช้แสงจากตะเกียงน้ำมันส่องไปรอบข้างด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาจ้องมองไปยังก้อนหินที่หลงต้านกล่าวว่าใช้กดหลุมบ่อเอาไว้ “หินถูกใครบางคนเคลื่อนย้าย คนที่เคลื่อนย้ายหินนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ”
“เด็กหนุ่ม?” หลงต้านได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง “เหตุใดนายท่านจึงตัดสินใจว่าเป็นเด็กหนุ่ม”
อวี้จิ่นชี้ไปยังร่องรอยที่เกิดขึ้นจากเห็นด้านบนฝาบ่อ “เจ้าดูร่องรอยเหล่านี้สิ เห็นได้ชัดว่าหินถูกลากและกลิ้งลงมา นั่นหมายความว่าคนที่เอาหินออกไปยังมีเรี่ยวแรงไม่มากพอ หินขนาดนี้หากชายหนุ่มที่เป็นผู้ใหญ่คงมีเรี่ยวแรงพอที่จะโยกย้าย ไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากขนาดนั้น”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” หลงต้านพยักหน้าเห็นด้วย
เจียงจั้นเอ่ยแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างไป “อาจไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กหนุ่ม บางทีเป็นสตรีก็ได้”
อวี้จิ่นกล่าวออกมาว่า “รอยเท้า”
“รอยเท้า?” เจียงจั้นอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองดู และพบรอยเท้าจางๆ บนพื้นดิน
ไม่ต้องให้อวี้จิ่นอธิบาย เขาก็เข้าใจได้ทันที
แม้ว่าร้อยเท่านั้นไม่ใหญ่ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่รอยเท้าของรองเท้าสตรีที่ทิ้งเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ รอยเท้าที่อยู่บนพื้นจึงเป็นหลักฐานยืนยันถึงการคาดเดาของอวี้จิ่น ผู้ที่โยกย้ายหินก้อนนั้นคาดว่าคงจะเป็นเด็กหนุ่มอย่างแน่นอน หรือบางทีอาจจะเป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายผอมซูบและเตี้ยแคระ
ดวงตาของเจียงจั้นหดเกร็งขึ้นทันที เขาชี้ไปยังที่แห่งหนึ่งกล่าวว่า “ดูรอยเท้านี่สิ รอยเท้าคู่นี้จะต้องเป็นชายรูปร่างกำยำอย่างแน่นอน!”
เจียงซื่อเหลือบมองไปแล้วกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “นี่น่าจะเป็นรอยรองเท้าของศพที่ทิ้งเอาไว้”