บทที่ 622 ประธานจรณ์ก็คือนัทธี

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ที่สำคัญก็คือ เธออยากเปลี่ยนห้องทำงานเป็นบริษัท ตอนที่ไม่มีเงิน ก็มีประธานจรณ์ที่คอยลงทุนอยู่ตลอดเวลา ทำให้เธอเปลี่ยนห้องทำงานเป็นบริษัทได้สำเร็จ

 

ดังนั้น เธอจึงรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของประธานจรณ์ที่ทั้งลึกลับและไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนมาก

 

แต่ไม่คิดว่า ประธานจรณ์จะหายไปกะทันหัน

 

“วารุณี ตอนนี้เอายังไงดี? หาประธานจรณ์ไม่เจอ เงินปันผลก็โอนไปไม่ได้ ต่อไปถ้าบริษัทต้องมีการประชุม ยังติดต่อเขาไม่ได้อีก ต่อไปถ้าเขามาที่นี่ ต่อว่าพวกเราไม่บอกอะไรเขาเลย งั้นก็วุ่นวายเลยน่ะสิ” ปาจรีย์เกาหัวอย่างหนัก

 

วารุณีเม้มปากบาง ไม่ได้พูดอะไร เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

 

ปาจรีย์ถามขึ้นอีกว่า “วารุณี เธอลองขอร้องให้ประธานนัทธี ช่วยสืบหาตัวประธานจรณ์ดีไหม?”

 

ด้วยอิทธิพลของนัทธีแล้ว การตามหาประธานจรณ์ไม่ใช่ปัญหาเลย

 

ถ้ายังไม่ได้อีก ก็ยังมีอารัณอีกคน

 

อารัณก็ช่วยสืบได้นี่

 

วารุณีแววตาประกาย ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นอารัญก็วางของเล่นในมือลง แล้วเดินไปหาพวกเธอ “แม่บุญธรรมครับ ไม่ต้องร้อนใจหรอกครับ เงินก้อนนี้โอนให้หม่ามี๊ก็ได้แล้ว เงินของพ่อ ก็เป็นเงินของหม่ามี๊ไม่ใช่เหรอครับ?”

 

“ว่าไงนะ?” ปาจรีย์อึ้ง

 

วารุณีเหมือนจะเข้าใจอะไรได้แล้ว เธอเบิกตาโพลงโต ก้มหน้ามองเจ้าตัวเล็ก “อารัณ ลูกว่านี่เป็นเงินของพ่อเหรอ? หรือลูกหมายความว่า ประธานจรณ์ก็คือพ่องั้นเหรอ?”

 

ปาจรีย์ได้ยินแล้วก็อุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไม่หรอกมั้ง?”

 

อารัณหัวเราะแหะๆแล้วพูดว่า “หม่ามี๊ แม่บุญธรรม ไม่ต้องตกใจไปหรอกครับ ประธานจรณ์ที่แม่พูดถึง ก็คือพ่อนั่นแหละครับ อย่าลืมสิครับว่าคุณยายก็มีนามสกุลนี้เหมือนกัน”

 

ได้ยินแล้ว วารุณีก็เข้าใจทุกอย่างสักที

 

ประธานจรณ์ ก็คือนัทธี

 

เขาใช้นามสกุลของแม่

 

“อะไรกันเนี่ย!” ปาจรีย์ก็เข้าใจสักที เธอฟาดขาตัวเองแรงๆ “ที่แท้ประธานจรณ์ก็คือประธานนัทธีนี่เอง ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะ? ทำไมถึงต้องปลอมตัวเป็นประธานจรณ์ด้วย?”

 

อารัณกอดอกตอบว่า: “ก็ต้องทำเพื่อจีบหม่ามี๊ไงครับ ตอนนั้นหม่ามี๊กับพ่อยังไม่ได้แต่งงานกัน หม่ามี๊ไม่อยากรับความช่วยเหลือจากพ่อ ดังนั้นพ่อถึงต้องวางแผน ใช้ตัวตนประธานจรณ์มาช่วยหม่ามี๊ แบบนี้หม่ามี๊จะได้ไม่ปฏิเสธไงครับ”

 

อารัณพูดอย่างเรียบเฉย แต่วารุณีแล้วปาจรีย์กลับตะลึงไม่หาย

 

โดยเฉพาะวารุณี

 

ปลายจมูกเธอแสบเล็กน้อย เธอรู้สึกซาบซึ้งใจมากจริงๆ “ตาบ้านี่……ปิดบังฉันมาตั้งนานเลย!”

 

ปาจรีย์ก็พยักหน้าตาม “นั่นสิ แต่ฉันว่า ก็โรแมนติกดีนะ”

 

เธอหัวเราะแล้วพูดว่า “เมื่อกี้อารัณบอกแล้วไง ตอนนั้นประธานนัทธีกำลังตามจีบเธออยู่ และยังจีบไม่ติดอีก ในตอนที่จีบไม่ติด ก็ใช้เงินลงทุนกับเธอเยอะขนาดนี้ ความกล้านี้ มีน้อยคนที่จะทำได้ ต้องรู้ว่าผู้ชายส่วนใหญ่ ในตอนที่ยังจีบฝ่ายหญิงไม่ติด ไม่มีทางใจกว้างขนาดนี้ได้หรอก วารุณี ฉันอิจฉาเธอจัง ประธานนัทธีดูเป็นคนเย็นชามาก แต่บทจะโรแมนติกขึ้นมาก็หวานจนหมดขึ้นเลยล่ะ”

 

วารุณีหัวเราะแล้วพูดว่า “นั่นสิ ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาทำถึงขั้นนี้เลย”

 

“ใช่สิ อารัณ หนูรู้ได้ยังไงจ๊ะ ว่าประธานจรณ์ก็คือประธานนัทธี?” ปาจรีย์โน้มตัวลงไปถามอารัณ

 

อารัณหัวเราะแหะๆแล้วพูดว่า “ก็บังเอิญไปรู้เข้าน่ะครับ แต่พ่อบอกให้ผมรูดซิปปากเอาไว้ ผมก็เลยไม่ได้บอกน่ะครับ”

 

วารุณีบีบแก้มเขาเบาๆ “ให้มันได้งี้สิ ไปฝึกหลอกแม่มาจากไหนกันนะ”

 

“พ่อให้ผมทำนะครับ หม่ามี๊ไปบีบแก้มพ่อสิครับ” อารัณเอาหน้าออกจากมือของวารุณี จากนั้นก็หัวเราะแล้ววิ่งออกไป

 

วารุณีหัวเราะแล้วส่ายหน้า “เด็กคนนี้ จริงๆเล้ย”

 

“วารุณี ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างก็กระจ่างแล้ว ประธานจรณ์ก็คือประธานนัทธี งั้นเงินปันผลฉันจะโอนไปให้เธอนะ” ปาจรีย์มองวารุณีแล้วพูด

 

วารุณีปฏิเสธ “ทำบัตรขึ้นมาแล้วโอนไปในนั้นดีกว่า แม้ฉันกับนัทธีจะเป็นสามีภรรยากัน แต่เรื่องงาน โดยเฉพาะเรื่องเงิน แบ่งออกจะดีกว่า”

 

ในความคิดของเธอก็คือ ระหว่างสามีภรรยา เงินสามารถใช้ด้วยกันได้ แต่ถ้าเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับการงาน ทางที่ดีแยกกันจะดีกว่า นี่ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย

 

ถ้าเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ จะได้ไม่วุ่นวาย

 

แม้เธอไม่รู้ว่าตัวเองกับนัทธีจะเกิดเรื่องไหม

 

แต่ระวังหน่อยก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

 

ปาจรีย์เป็นเพื่อนกับวารุณีมาหลายปี ก็ต้องรู้ว่าทำไมวารุณีถึงพูดแบบนี้ และกังวลเรื่องอะไรบ้าง เธอก็เลยส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “เธอมีสติดีจริงๆนะ ก็ได้ งั้นฉันจะทำบัตรแล้วโอนเข้าบัตรนั้นแล้วกัน เธอเอากลับไปให้ประธานนัทธีด้วยล่ะ”

 

วารุณีตอบ “ได้”

 

ปาจรีย์เดินออกไป รอจนถึงก่อนเลิกงาน เธอก็เอาบัตรมาให้วารุณี

 

วารุณีรับมาแล้วก็พาเด็กสองคนออกจากบริษัท แล้วกลับคฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์ทันที

 

นัทธียังประชุมอยู่ ก็เลยไม่ได้มารับสามแม่ลูก และกลับไปพร้อมพวกเธอ

 

และเขาประชุมเสร็จ ยังต้องจัดการกองเอกสารด้วย

 

พอจัดการเอกสารได้พอประมาณแล้ว ก็สองทุ่มพอดี ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดมากแล้วด้วย

 

นัทธีวางปากกาในมือลง บริหารข้อมือเสร็จแล้วถึงลุกขึ้นแล้วออกจากห้องทำงาน

 

มารุตเดินตามหลังเขา และรายงานกิจกรรมที่ต้องทำของพรุ่งนี้ให้เขาฟัง

 

ทั้งสองเดินมาถึงลานจอดรถ มารุตหยิบกุญแจรถออกมาแล้วกดเปิดประตูรถ ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งออกมาจากมุมลานจอดรถ แล้วขวางทางพวกเขาสองคนไว้

 

น่าจะบอกว่า ขวางหน้านัทธีไว้ดีกว่า

 

นั่นคือจุ๊บแจง

 

นัทธีเห็นเธอแล้วก็ขมวดคิ้วเป็นปมขึ้นมาทันที

 

มารุตก็เหมือนกัน แต่เขายังไม่ลืมว่าตัวเองเป็นผู้ช่วย เขาเดินไปข้างหน้า แล้วขวางหน้านัทธีไว้ มองจุ๊บแจงด้วยสีหน้าไม่พอใจ “คุณจุ๊บแจง ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงาน คุณไม่กลับบ้านแล้วมาทำอะไรตรงนี้?”

 

“ฉันมาหาประธานนัทธีค่ะ” จุ๊บแจงเดินไปข้างๆ แล้วมองนัทธีด้วยแววตาลึกซึ้ง

 

นัทธีขมวดคิ้วเป็นปมแน่นกว่าเดิม “มีเรื่องอะไร?”

 

“ประธานนัทธีคะ คือว่า……” จุ๊บแจงพูดจาตะกุกตะกัก สุดท้ายก็ทำใจกล้าแล้วพูดออกมาว่า: “ในเมื่อคุณไม่รักคุณวารุณีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องจัดงานแต่งกับเธอนี่คะ คุณไม่ต้องเสียสละตัวเองหรอกค่ะ”

 

“ว่าไงนะ?” มารุตอึ้งไปทันที

 

ผู้หญิงคนนี้รู้ตัวไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?

 

ท่านประธานจะไม่รักคุณหญิงได้ยังไงกัน ท่านประธานรักคุณหญิงจนแทบบ้าคลั่งเลยต่างหากล่ะ!

 

นัทธีก็อึ้งไม่เข้าใจกับคำพูดของจุ๊บแจงเหมือนกัน พอตั้งสติได้แล้ว เขาก็พูดด้วยสีหน้ารำคาญว่า “ใครบอกเธอว่าฉันไม่รักภรรยาของฉัน?”

 

จุ๊บแจงเห็นแววตาที่รำคาญของเขา หัวใจก็รู้สึกเจ็บปวดและรู้สึกน้อยใจขึ้นกว่าเดิม

 

เธอรอเขาที่นี่หลายชั่วโมง ก็เพื่อบอกเขาว่า เขาไม่ต้องเสียสละตัวเองก็ได้

 

แต่ไม่คิดว่า เขาจะมองเธอด้วยสายตาแบบนี้

 

จุ๊บแจงกัดริมฝีปาก แล้วตอบอย่างเสียใจว่า: “ไม่มีใครบอกค่ะ ฉันเดาเอาเองค่ะ”

 

มารุตมองบน

 

เดาเอาเองงั้นเหรอ?

 

กลับเดาว่าท่านประธานไม่รักคุณหญิงเนี้ยนะ

 

ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วแน่ๆ

 

นัทธีก็รู้สึกรำคาญมากขึ้น เขาขมวดคิ้วเป็นปมแล้วพูดว่า “ถ้าฉันไม่รักภรรยาตัวเอง แล้วทำไมฉันต้องแต่งงานกับภรรยาด้วยล่ะ?”

 

จุ๊บแจงอึ้งกับคำถามนี้

 

นั่นสิ ถ้าไม่รักวารุณี แล้วทำไมต้องแต่งงานกับวารุณีด้วย?

 

หรือว่า เขารักวารุณีจริงๆ ถึงได้แต่งงานกับวารุณี?

 

ไม่สิ ไม่มีทาง

 

ถ้าเขารักวารุณี ก็คงจัดงานแต่งไปนานแล้ว ไม่มีทางรอจนถึงตอนนี้หรอก เขาจะต้องหลอกเธออยู่แน่ๆ ใช่แล้ว เขาตั้งใจแน่ๆ!

 

คิดได้แบบนี้แล้ว จุ๊บแจงก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เธอตั้งสติใหม่ แล้วถามนัทธีกลับว่า “เพราะเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีด้วยการแต่งงานหรือเปล่าคะ?”

 

ในละครก็บอกแล้วนี่ ว่าคนเศรษฐีชอบเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีด้วยการแต่งงาน

 

นัทธีหางตากระตุก

 

มารุตทนไม่ไหวแล้ว เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “คุณจุ๊บแจง มีหลายตระกูลที่เชื่อมสัมพันธ์ไมตรีด้วยการแต่งงาน แต่ท่านประธานของพวกเราไม่ต้องใช้วิธีนั้นหรอกนะ และไม่จำเป็นต้องเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีด้วยการแต่งงานด้วย ท่านประธานกับคุณหญิงคบกันเพราะความรักล้วนๆ ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ คุณเข้าใจหรือยังครับ? ดังนั้นต่อไปอย่าพูดเรื่องที่ว่าท่านประธานไม่รักคุณหญิงอีก ถ้าท่านประธานไม่รักคุณหญิง แล้วใครจะรักล่ะ? คุณจะรักเหรอ?”