“ฉัน……ฉัน……” จุ๊บแจงหน้าแดงระเรื่อ และอยากจะส่ายหน้าปฏิเสธ
แต่พอเห็นแววตาที่เย็นชาจนไม่ไร้ความรู้สึกนั้นของนัทธี เธอก็ตั้งสติใหม่ เธอก้มหน้าลงแล้วตอบเสียงเบาว่า “ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะ”
มารุตหัวเราะ “ขอให้เธอไม่ได้คิดแบบนั้นแล้วกัน อีกอย่างนะ ไม่ว่าท่านประธานจะรักหรือไม่รักคุณหญิง นั่นก็เรื่องระหว่างท่านประธานกับคุณหญิง เธอเป็นคนนอกไม่มีสิทธิ์เข้ามาวุ่นวาย”
“ฉัน……ฉันไม่ใช่คนนอกนะ!” จุ๊บแจงรีบพูด
ในสมองของมารุตเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
เธอไม่ใช่คนนอก แล้วจะเป็นคนในงั้นเหรอ?
“ฉัน……ฉันเป็นคนช่วยชีวิตท่านประธานไว้” จุ๊บแจงมองนัทธีอย่างเขินอาย
นัทธีขมับกระตุก ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็ไม่อยากให้เธอช่วยชีวิตฉันไว้เลยจริงๆ!”
“ว่าไงนะคะ?” สีหน้าบนใบหน้าของจุ๊บแจงชะงัก เธอมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไม่……ไม่อยากให้ช่วยงั้นเหรอ?”
เขาพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงกัน?
เขารู้ไหม เขาพูดแบบนี้ มันทำร้ายจิตใจเธอมากแค่ไหน?
“บุญคุณในการช่วยชีวิตของเธอ ทำให้ลูกน้องของฉันต้องตามหาฉันอยู่หลายวัน บุญคุณการช่วยชีวิตของเธอ ทำให้บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปเกือบถูกศัตรูด้านนอกโจมตี ที่สำคัญคือ บุญคุณการช่วยชีวิตของเธอ ทำให้ภรรยาของฉันแท้งเมื่อรู้ข่าวว่าฉันหายตัวไป บุญคุณการช่วยชีวิตของเธอทำให้ลูกชายคนเล็กของฉันที่ตอนนี้ทำได้แค่นอนอยู่ในตู้อบ นี่คือ บุญคุณการช่วยชีวิตของเธองั้นเหรอ!”
นัทธีจ้องเขม็งจุ๊บแจง คำพูดพวกนั้นทำเอาสีหน้าของเธอซีดเซียวและถอยหลังไปหลายก้าว
มารุตเห็นแล้วก็พูดเสริมไปอีกว่า “ดังนั้นคุณจุ๊บแจง ตอนนี้คุณยังคิดว่าคุณเป็นคนช่วยชีวิตท่านประธานไว้อีกไหม และกำลังทำความดีจริงเหรอ?”
“ฉันไม่รู้ว่าฉันช่วยคุณแล้วจะเกิดเรื่องพวกนี้กับคุณ ฉันแค่อยากจะช่วย ถ้าไม่มีฉัน คุณ……”
“ถ้าเธอไม่อยู่ตรงนั้น ฉันก็คงได้กลับบ้านนานแล้ว ตอนที่เธอช่วยฉัน ลูกน้องของฉันก็กำลังตามหาฉันอยู่ ถึงแม้ไม่มีเธอ ฉันก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก กลับกันพวกเขาจะหาตัวฉันได้เร็วกว่านี้ ภรรยาของฉันก็จะไม่แท้งเพราะไม่เจอฉันหรอกนะ!” นัทธีตะคอกใส่จุ๊บแจงสุดเสียง
จุ๊บแจงสองขาอ่อนแรง ทรุดลงไปกองกับพื้น สีหน้าเธอเหม่อลอย
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!
ทั้งที่เธอช่วยเขาไว้ ทำไมสุดท้าย เขากลับโทษที่เธอช่วยเขาล่ะ แถมยังบอกว่าการช่วยของเธอมันไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ!
เหมือนจะรู้ว่าจุ๊บแจงคิดอะไรอยู่ มารุตก็เบะปากแล้วพูดว่า: “คุณจุ๊บแจง คุณก็อย่าโทษที่พวกเราพูดตรงเกินไปเลย เพราะนี่ก็คือความจริง บุญคุณที่คุณช่วยปท่านระธานไว้ กลับนำความวุ่นวายมาให้พวกเราเยอะมาก ตอนนี้พวกเรารับรู้บุญคุณที่คุณช่วยท่านประธานไว้ ก็ถือว่าดีมากแล้ว คุณเข้าใจไหมครับ?”
ขนตายาวเป็นแพของจุ๊บแจงสั่นกระตุก
เธอเข้าใจไหมงั้นเหรอ?
เธอจะเข้าใจได้ยังไง จะยอมเข้าใจได้ยังไง?
เธอรู้แค่ว่า พวกเราปฏิเสธเรื่องที่เธอช่วยชีวิตนัทธีไว้!
ร่างกายของจุ๊บแจงสั่นเทาเล็กน้อย ผลลัพธ์นี้เธอยอมรับไม่ได้จริงๆ
มารุตขยับแว่นแล้วพูดว่า: “ถ้าตอนนั้นคุณเจอท่านประธานแล้วรีบโทรแจ้งความ ผมว่าพวกเราก็คงไม่ต้องมาทะเลาะกันอยู่แบบนี้หรอก แต่ตอนนี้พูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะคุณจุ๊บแจง ผมขอเตือนคุณไว้นะครับ เลิกคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เถอะครับ ในเมื่อทำงานที่นี่แล้ว ก็ตั้งใจทำงานไปเถอะครับ เดี๋ยวสุดท้ายจะเสียงานโดยไม่รู้ตัวนะครับ และบุญคุณที่ท่านประธานและคุณหญิงให้จะหายไปด้วย”
ได้ยินแบบนี้แล้ว จุ๊บแจงใจสั่นกระตุก เธอรีบหันไปมองนัทธี
นัทธีไม่มองเธอด้วยซ้ำ เขาดูนาฬิกาบนข้อมือด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “พอแล้วล่ะ มารุต กลับกันเถอะ”
“ครับ” มารุตตอบรับ แล้วเดินตามหลังเขาไป
ชายหนุ่มสองคนเดินออกไปทันที
จุ๊บแจงยังคงยืนอึ้งอยู่กับที่
ผ่านไปสักพัก เธอก็ทรุดลงไปนั่งยองอยู่กับพื้น ปิดหน้าร้องไห้เสียงดัง
เกินไปแล้ว นัทธีทำเกินไปแล้วจริงๆ
เธอช่วยเขาไว้ ตั้งใจมาบอกเขา ก็เพราะหวังดีต่อเขา
สุดท้ายเขากลับไม่ขอบคุณไม่พอ แถมยังเย็นชากับเธอแบบนี้อีก
ถ้าเป็นไปได้ เธอก็ไม่อยากรักเขาเลย
แต่มันไม่ทันแล้วน่ะสิ เธอรักเขาจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว!
ภายในรถ นัทธีนั่งอยู่เบาะหลัง นวดระหว่างคิ้วอย่างอ่อนเพลีย “นายไปแจ้งแผนกทำความสะอาดหน่อย เอางานให้จุ๊บแจงทำเยอะๆ อย่าให้เธอวิ่งเล่นไปทั่ว ถ้าเธอทำไม่เสร็จ ก็ไล่ออกได้เลย”
“รับทราบครับ” มารุตพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “แต่ผมว่า ถึงจุ๊บแจงจะไม่อยากทำงานเยอะขนาดนี้ แต่เธอจะต้องกัดฟันอดทนทำให้เสร็จแน่นอนครับ เพื่อจะได้ไม่โดนไล่ออกจากบริษัทหลัก เพื่อจะได้เจอหน้าประธานทุกวัน เธอ……”
“หุบปาก!” นัทธีขมวดคิ้วเป็นปม และสบถเสียงแข็ง
มารุตหัวเราะและเงียบปากไป
แววตาของนัทธีเต็มไปด้วยความรังเกียจ
ถ้ารู้ว่าจุ๊บแจงจะสะบัดออกยากขนาดนี้ เขาน่าจะสั่งให้คนขังเธอไว้ในหมู่บ้านนั้น ไม่ให้เธอออกมาอีก
แต่ตอนนี้สายไปแล้วล่ะ ขอให้หลังจากวันนี้เป็นต้นไป จุ๊บแจงจะรู้ตำแหน่งของตัวเอง ไม่งั้นก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจเลย
ตลอดทางไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่นานก็มาถึงคฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์แล้ว
ห้องแขกในคฤหาสน์ไม่มีคนอยู่เลย พอถามคนรับใช้ก็รู้ว่าเด็กสองคนเล่นอยู่ในห้อง วารุณีก็กำลังทำงานอยู่ในห้องตัวเอง
นัทธีส่งกระเป๋าทำงานให้คนรับใช้ แล้วเดินขึ้นไปบนห้องทำงานชั้นสอง
เขาไม่ได้เคาะประตู แล้วเปิดประตูเข้าไปทันที
วารุณีนั่งอยู่หลังโต๊ะเครื่องจักรเย็บผ้าหันหลังให้เขาอยู่ เธอยุ่งมากจนไม่ทันสังเกตว่ามีคนเข้ามาเลย
นัทธีเดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวลง โอบตัวหญิงสาวจากด้านหลัง
หญิงสาวตกใจจนเหยียบเครื่องจักรเย็บผ้าผิด
นัทธีก็รู้ตัวว่าตัวเองทำผิด เลยรีบปล่อยตัวเธอออก แล้วรีบขอโทษ “ขอโทษนะที่รัก คือฉัน……”
“ช่างเถอะ ฉันแค่กำลังฝึกทำน่ะ ไม่เป็นไรหรอก” วารุณีหยิบกรรไกรขึ้นมา ตัดส่วนที่เย็บผิดออกไป “ฉันกำลังลองเย็บแบบใหม่น่ะ ดังนั้นฉันไม่ได้ทำเป็นเสื้อจริงๆหรอก ไม่เป็นไร ใช่สิ นายกลับมาเมื่อไหร่เนี่ย?”
เธอวางกรรไกรลงแล้วมองชายหนุ่ม
ชายหนุ่มกอดเธอไว้อีกครั้ง หน้าผากคลอเคลียอยู่ที่ไหล่เธอไม่หยุด “เมื่อกี้นี้เอง”
วารุณีรู้สึกจั๊กจี้ อดไม่ได้หดไหล่ตัวเองลง “กลับมาแล้วยังแอบเข้ามาอีก ไม่พูดอะไรสักคำ ฉันตกใจหมด”
นัทธีหัวเราะเสียงเบา “ฉันอยากดูว่าเธอทำอะไรอยู่น่ะ”
“ตอนนี้ก็เห็นแล้วนี่ รีบปล่อยฉันเร็ว ฉันยังต้องทำอีกนิดหน่อย” วารุณีมองบนแล้วพูด
นัทธีปล่อยมือตัวเองออกเล็กน้อย “อยู่แบบนี้ดีกว่า ฉันไม่ก่อกวนเธอหรอก เธอเย็บของเธอไป ฉันก็กอดของฉันไป”
“นาย……” วารุณีรู้สึกตะลึงกับความหน้าหนาของเขา ต่อมาก็เธอก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ช่างเถอะๆ นายกอดไปเถอะ แต่อย่าก่อกวนนะ เดี๋ยวเย็บผิดอีก”
“อืม” นัทธีพยักหน้า
วารุณีไม่สนใจเขาอีก แล้วรวบรวมสมาธิ เหยียบเครื่องจักรเย็บผ้าต่อไป
นัทธีก็ทำตามที่สัญญาไว้ แค่กอดเธอเอาไว้ไม่ขยับหรือก่อกวนเธอเลย
ไม่นาน วารุณีก็เย็บเสร็จสักที กำลังจะเอาผ้าออกจากเครื่องจักรเย็บผ้ามาตรวจดูอย่างละเอียด ก็มีมือหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของเธอแล้วบีบคางเธอไว้ จากนั้นก็ดึงหน้าเธอหันหลังไป
จากนั้นวารุณีก็เห็นชายหนุ่มโน้มหัวลงมา และจูบเธอเอาไว้
“อื้อ……” วารุณีครางออกมา ต่อมามุมปากของเธอก็กระตุกขึ้นอย่างหมดคำจะพูด
เธอรู้อยู่แล้ว เขาไม่มีทางอยู่นิ่งได้นานหรอก ตอนนี้อยู่นิ่งแล้ว อีกเดี๋ยวต้องก่อเรื่องแน่นอน
นี่ไง พูดไม่ทันขาดคำเลย!
วารุณีแทบจะถอนหายใจและร้องไห้หัวเราะในใจ เธอปล่อยเสื้อในมือลง โอบคอของนัทธีไว้แล้วจูบตอบเขา