บทที่ 712 จ้าวชูโดนโจมตี

เมื่อเห็นว่าองค์ชายหกกลับมาได้และมีชีวิตชีวาเหลียงตงก็รู้สึกโล่งใจ

“องค์ชายเข้ามาในเมืองหลวงเงียบๆ ได้อย่างไร” เหลียงตงถาม

“ฮูหยินอู่ช่วยข้าไว้”

“ฮูหยินของอู่อวี้หรือ?” เหลียงตงถาม

“เพื่อช่วยชีวิตข้านางต้องเสี่ยงมาก องครักษ์เงาของนางพาข้ากลับมาที่เมืองหลวงเงียบๆ เพื่อความปลอดภัย” จ้าวจิ่งซวนกล่าว เหลียงตงเองก็เห็นด้วยว่าทางที่ดีควรเงียบไว้จะดีกว่า ไม่เช่นนั้นองค์ชายหกย่อมตกอยู่ในอันตรายอีกเป็นแน่

หากเว่ยฉิงและถังหลี่อยู่ที่นี่ เหลียงตงคงไม่ลังเลที่จะโค้งคำนับพวกเขาสักสามครั้ง ทั้งสองไม่เพียงแค่ช่วยเหลือองค์ชายหกเท่านั้นแต่ยังช่วยสกุลเหลียงอีกด้วย

เดิมทีไม่มีใครรู้ว่าองค์ชายหกเป็นตายร้ายดีอย่างไร แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าได้สิ้นพระชนม์แล้วแต่ทุกคนก็คิดว่าเขาคงไม่รอดชีวิตกลับมา นี่ทำให้คนฝีมือดีของสกุลเหลียงถูกตัดสินลงโทษเพราะคุ้มครององค์ชายหกไม่ได้

ตอนนี้องค์ชายหกกลับมาช่วยชีวิตพวกเขาและคืนชีพให้กับสกุลเหลียงอีกครั้ง

เหลียงตงตบบ่าของจ้าวจิ่งซวน

“ตอนนี้ประตูวังปิดแล้ว องค์ชายหก ท่านเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ไปพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้กระหม่อมจะพาท่านเข้าวังหลวงเอง” จ้าวจิ่งซวนเพลียมากเช่นกัน

“ทูลเสด็จแม่ให้ข้าด้วย นางคงกังวลเกี่ยวกับข้ามาก” เหลียงตงพยักหน้า

จ้าวจิ่งซวนอาบน้ำ กินอาหาร ก่อนจะไปพักผ่อนบนเตียง ในขณะที่เหลียงตงนอนไม่หลับ เขาเขียนจดหมายส่งไปหาสนมเหลียงที่วังหลวง เมื่อนางได้รับจดหมายนี้ก็แทบอยากลุกจากเตียงเพื่อไปหาบุตรชาย

“ซวนเอ๋อร์ ซวนเอ๋อร์ของข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะไปหาเขา” นางกำนัลข้างกายต้องรีบรั้งเอาไว้

“พระสนมตอนนี้ประตูวังปิดแล้วเพคะ องค์ชายหกทรงปลอดภัยดี พระสนมไม่ต้องรีบร้อน พรุ่งนี้เช้าใต้เท้าเหลียงจะพาองค์ชายหกมาที่วังหลวงเพคะ” นางกำนัลพูดพร้อมกับช่วยพระสนมเหลียงเอนกายลง

“ข้าไม่ได้ฝันใช่หรือไม่” นางสนมเหลียงพูดด้วยความใจเย็น นางอดไม่ได้ที่จะอ่านจดหมายซ้ำอีกครั้ง

“เพคะ เป็นเรื่องจริงแน่นอนเพคะ” นางกำนัลกล่าว

“ดียิ่ง ซวนเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ เขายังไม่ตาย” พระสนมเหลียงทั้งร้องไห้และหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ แม้ใบหน้าของนางจะซีดเซียวแต่นางก็รู้สึกได้ถึงพลังที่เปี่ยมล้น

เช้าวันรุ่งขึ้น

เหลียงตงเข้ามาที่วังหลวงพร้อมกับจ้าวจิ่งซวน เมื่อฮ่องเต้โจวทราบข่าวเรื่องการกลับมาขององค์ชายหก พระองค์ก็แทบไม่เชื่อหู

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

“ฝ่าบาท ตอนนี้องค์ชายหกทรงประทับรออยู่ที่ด้านนอกพระตำหนักพะย่ะค่ะ”

“ให้เขาเข้ามาเร็วๆ” พระสุรเสียงเต็มไปด้วยความยินดี หลังจากนั้นไม่นานเหลียงตงก็เข้ามาพร้อมกับจ้าวจิ่งซวน

“ลูกขอถวายพระพรเสด็จพ่อ” จ้าวจิ่งซวนกำลังจะก้มลงคุกเข่าแต่ฮ่องเต้โจวทรงรั้งไว้ พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์แตะไปยังร่างของจ้าวจิ่งซวนอย่างตื่นเต้น หลังจากใช้สายพระเนตรพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว พระองค์จึงตรัสว่า

“ลูกข้า..เจ้าลำบากมากเลยสินะ”

“เสด็จพ่อ แม้จะลำบากแต่ก็ทำให้หม่อมฉันได้เติบโตขึ้นมากพะย่ะค่ะ” จ้าวจิ่งซวนทูลตอบ

ฮ่องเต้โจวทอดพระเนตรพระโอรส จ้าวจิ่งซวนดูแตกต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเขาจะศึกษาหาความรู้มากเพียงใดก็ยังไม่ทิ้งร่องรอยของบุรุษเจ้าสำราญไป แต่ตอนนี้แววตาของจิ่งซวนดูสงบและมั่นคงมากยิ่งขึ้น ทำให้เขาดูเปลี่ยนไป หลังจากผ่านความยากลำบากและต้องเอาตัวรอดจากความตายอย่างหวุดหวิด ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

ฮ่องเต้โจวทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก

ในตอนนั้นเอง ร่างของพระสนมเหลียงก็พุ่งเข้ามา

พระนางทอดพระเนตรไปยังพระโอรสของตน เมื่อเห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ความปีติยินดีก็พุ่งขึ้นมา

เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน!

“เสด็จแม่..” จ้าวจิ่งซวนร้องเรียกนาง เขาพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของพระมารดา สองแม่ลูกกอดกันแน่น

“เสด็จแม่ ข้ากลับมาแล้ว ข้าทำให้ท่านเป็นห่วง” จ้าวจิ่งซวนพูดปลอบประโลม

“ดียิ่งนัก ลูกชายข้ากลับมาแล้ว ดีๆ” พระสนมเหลียงพูดซ้ำไปมา พระอัสสุชลไหลนองเป็นสาย เป็นเวลานานกว่าทั้งสองจะผละออกจากกัน

ฮ่องเต้โจวทรงทอดพระเนตรด้วยความพอพระทัย

สวรรค์ยังคงเมตตา ไม่ต้องให้พระองค์ต้องทรงเป็นคนผมขาวส่งคนผมดำ

จ้าวจิ่งซวนเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ โดยไม่ได้เอ่ยถึงเผ่าอู๋ซานเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงบอกว่าตัวเองอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ล้าหลัง จากนั้นจึงได้รับการช่วยเหลือจากฮูหยินอู่ที่บังเอิญมาเยี่ยมญาติเท่านั้น ด้วยความช่วยเหลือของฮูหยินอู่เขาจึงกลับมาที่เมืองหลวงได้

“เป็นฮูหยินอู่นั่นเองที่ช่วยเจ้าไว้ นางสมควรได้รับรางวัลจากข้า!” ฮ่องเต้โจวกล่าว พระสนมเหลียงเช็ดน้ำตาตัวเอง เป็นถังหลี่ที่ช่วยจิ่งซวน นางทำได้จริงๆ! สนมเหลียงซาบซึ้งในความมีน้ำใจของถังหลี่ในครั้งนี้ พระนางตั้งใจว่าจะไปกล่าวขอบคุณด้วยตัวเอง

“ฮูหยินอู่กลับมาด้วยหรือไม่?”

“ไม่พะย่ะค่ะ นางไปเยี่ยมญาติแล้วจะตามกลับมาในภายหลัง” จ้าวจิ่งซวนโกหก

“อยู่กับแม่ของเจ้าไปเถิด” ฮ่องเต้โจวตบบ่าของจ้าวจิ่งซวน แล้วพระสนมเหลียงก็พากลับไปที่ตำหนักทันที

พระสนมเหลียงแทบไม่ละสายตาจากบุตรชาย แม้ว่าเขาจะขอตัวออกไปนางก็ยังคงตามติดเขา

“เสด็จแม่ ลูกโตขึ้นมากแล้ว ท่านยังเห็นลูกเป็นเด็กอยู่อีกหรือ?” จ้าวจิ่งซวนพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ นางจึงหยุดรอที่ประตู

เมื่อเห็นสีหน้าของมารดาไม่สู้ดี เขาจึงบังคับให้นางนอนลง พระสนมเหลียงไม่สามารถข่มตาหลับได้ นางเอาแต่มองจ้าวจิ่งซวนอยู่เช่นนั้น ทำให้เขารู้สึกเป็นกังวล แม้ว่าเสด็จแม่จะเป็นคนเข้มงวด และเคร่งครัดมาก แต่เขารู้ดีว่า นางรักเขามากที่สุด ช่วงที่เขาหายตัวไป คงเป็นเวลาที่ยากลำบากมากสำหรับเสด็จแม่ เขาจับมือของมารดาไว้

“เสด็จแม่ท่านทรงพักผ่อนก่อนเถิด ลูกจะอยู่ข้างกายท่านเอง”

….

ในที่สุดข่าวการกลับมาของจ้าวจิ่งซวนก็ไปถึงตำหนักของหวังกุ้ยเฟยและจ้าวชู

“จ้าวจิ่งซวนกลับมาแล้ว? เป็นไปได้อย่างไร?” หวังกุ้ยเฟยทรงตกพระทัยเป็นอย่างมาก

เกือบสามเดือนแล้วที่จ้าวจิ่งซวนหายไป เขาควรต้องตายไปแล้ว เหตุใดเขายังมีชีวิตรอดกลับมา?

“เป็นเรื่องจริงพะย่ะค่ะหวังกุ้ยเฟย กระหม่อมเห็นด้วยตาของตัวเอง องค์ชายหกเข้าวังมาพร้อมกับใต้เท้าเหลียง ตอนนี้เสด็จไปยังพระตำหนักของพระสนมเหลียงแล้วพะย่ะค่ะ” ขันทีรายงานยืนยัน ยิ่งทำให้สีพระพักตร์ของหวังกุ้ยเฟยเผือดลง

จ้าวจิ่งซวนยังมีชีวิตอยู่ ช่างดวงแข็งเสียจริง

เมื่อข่าวไปถึงหูของจ้าวชู ท่าทางที่เคยสงบมั่นใจของเขาก็พังทลายลง

เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อจ้าวจิ่งซวนตายไปแล้ว อย่างไรเสียตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ต้องตกเป็นของเขา เขาจึงตั้งใจรออย่างสงบ ยิ่งตอนนี้พระวรกายของฮ่องเต้ก็ทรงไม่แข็งแรง ไม่ช้าก็เร็วบัลลังก์ย่อมตกเป็นของเขา

แต่ใครจะคิดว่าน้องชายของเขายังคงมีชีวิตอยู่!

ไอ้พวกขยะ! ทำให้จ้าวจิ่งซวนหนีรอดจนกลับมายังเมืองหลวงได้สำเร็จ

จ้าวชูกัดฟันกรอด เขวี้ยงถ้วยชาลงพื้นเพื่อระบายความโกรธ สายตาจ้องเขม็งเต็มไปด้วยความดุร้าย

เมื่อจ้าวจิ่งซวนกลับมาแล้ว แน่นอนว่าเสด็จพ่อต้องแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท ตอนนี้เขาไม่อาจนิ่งเฉยรอได้อีกต่อไป!