บทที่ 530 กลับมาพานพบ
คนที่กลับมาด้วยกันกับทหารทั้งสามยังมีรถม้าของท่านเหล่าโหว รวมถึงรถม้าขององค์หญิงหนิงอันด้วย
ท่านเหล่าโหวแขนขาถูกตัดขาด ต่อให้กู้เจียวต่อคืนได้ ก็ฟื้นตัวได้ช้าอยู่ดี หลังจากเข้าเมืองหลวงมาเขาจึงกลับจวนโหวทันที
กู้ฉังชิงจึงคุ้มกันส่งรถม้าองค์หญิงหนิงอันเข้าวังด้วยกันกับถังเย่ว์ซาน
ฮ่องเต้ทรงซาบซึ้งยิ่ง ซาบซึ้งที่ทหารทั้งสามนำทัพกลับราชสำนักพร้อมชัยชนะไม่พอ ยังซาบซึ้งที่ในที่สุดองค์หญิงหนิงอันที่จากกันนานหลายปีได้กลับมาอยู่ข้างกายพระองค์แล้ว
ฮ่องเต้ไปพบถังเย่ว์ซาน กู้ฉังชิงและผู้บัญชาการทั้งหลายที่ห้องทรงอักษร ชื่นชมพวกเขาในสงครามครานี้อย่างไม่มีเก้อเขินแม้แต่น้อย “…เลิกประชุมแล้ว เราจะประทานรางวัลให้อย่างงาม!”
การออกราชโองการแต่งตั้งขุนนางที่มีความดีความชอบนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเกี่ยวโยงกับดวงใจของพสกนิกรและศักดิ์ศรีของราชวงศ์ จึงต้องอ่านราชโองการต่อหน้าเหล่าขุนนางทุกภาคส่วนในตำหนักจินหลวน
“กระหม่อมมิกล้าถือว่าเป็นความดีความชอบพ่ะย่ะค่ะ!” ถังเย่ว์ซานประสานมือ เอ่ยอย่างจริงจัง “กระหม่อมพ่ายแพ้ที่เมืองเยี่ย ทำให้กองทัพของราชสำนักเสียหายเรือนหมื่น กระหม่อมมีโทษ ขอฝ่าบาททรงลงโทษด้วย”
เขาเอ่ยจบก็เลิกชายอาภรณ์คุกเข่าลงนั่ง
ฮ่องเต้เดินอ้อมโต๊ะทรงอักษรมาหยุดตรงหน้าเขาแล้วประคองเขาให้ลุกขึ้นด้วยพระองค์เอง “ท่านจอมพลอย่าทำเช่นนี้ แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติในสงคราม ยิ่งไปกว่านั้นกบฏเดนราชวงศ์ก่อนก็จงใจซุ่มโจมตี ตอนออกจากเมืองหลวงมีใครคาดคิดบ้างว่ากองทัพแคว้นเฉินจะรุกรานชายแดนทางเหนือของแคว้นเจา”
หากเซวียนผิงโหวอยู่ตรงนี้ด้วย เรื่องนี้อาจจะจบลงแล้ว เซียวผิงโหวหน้าด้าน ต่อให้พ่ายศึกก็ไม่ละอาย ถังเย่ว์ซานทำใจไม่ละอายไม่ได้
เขายอมรับไม่ได้ว่าตัวเองพ่ายแพ้
เขารู้สึกขายหน้า
ฮ่องเต้ปวดหัว จะให้พระองค์ลงโทษอะไรเล่า ถังเย่ว์ซานแพ้ที่เมืองเยี่ยก็จริง แต่นั่นเป็นการใช้กำลังทหารหนึ่งหมื่นนายจัดการกับกำลังทหารแคว้นเฉินแปดหมื่นนาย ใครมันจะไปสู้ได้
ฮ่องเต้อยากจะด่าถังเย่ว์ซานว่าเจ้ารับผิดชอบมากเกินไปหรือไม่ มีสิทธิอะไรมาคิดว่าหนึ่งหมื่นสู้กับแปดหมื่นแล้วไม่ควรแพ้ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเทพสงครามเซวียนหยวนลี่แห่งแคว้นเยี่ยนหรือไร
เซวียนผิงโหวยังไม่กล้าคุยโวขนาดนี้เลย
หากแต่ถ้อยคำดังกล่าวฮ่องเต้แค่คิดในใจก็พอแล้ว หากพูดออกไปจริงๆ จะไม่เหมาะสม
หลายวันมานี้พระองค์เอาแต่ขบคิดถึงวิถีใช้คนของเสด็จแม่ คิดได้หลายเรื่องทีเดียว อย่างเช่นความรับผิดชอบเกินไปของถังเย่ว์ซานยามนี้ในสายตาพระองค์ไม่มีอะไรคุ้มค่าเลย
ความรับผิดชอบเกินไปของถังเย่ว์ซานมาจากการกระทำ ไม่ใช่รับผิดชอบแค่ปาก เขาพยายามเพื่อเรื่องนี้ และวาดหวังตัวเองอย่างเข้มงวดยิ่งกว่านี้
เหตุใดมือธนูตระกูลถังจึงสามารถโด่งดังไปทั้งหกแคว้นได้ และสามารถโด่งดังเท่ามือธนูแคว้นเยี่ยนเลย ก็เพราะถังเย่ว์ซาน
“อะแฮ่ม ไม่ต้องโทษหรอก เจ้าเพิ่งจะสร้างคุณปการใหญ่ หากเราลงโทษเจ้ายามนี้ จะไม่ทำให้ทหารทั้งสามและพสกนิกรต้องผิดหวังหรือ”
ถังเย่ว์ซานเอ่ยอย่างเจ็บใจ “กระหม่อมละอายใจ! ขอฝ่าบาทลงโทษด้วย!”
กู้ฉังชิงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ท่านจอมพลถังอย่าทำฝ่าบาทลำบากใจเลย ท่านเป็นขุนนางที่มีความดีความชอบ ฝ่าบาทลงโทษเจ้าไปหาใช่สิ่งที่กษัตริย์ผู้ปรีชาทรงกระทำไม่ หากท่านอยากจะรับผิดชอบจริงๆ ไม่สู้ไปรับโทษเองดีกว่า ข้าว่าการฝังเข็มของเจียวเจียวไม่เลวเลย”
ถังเย่ว์ซานปิดปากฉับทันที
ตั้งแต่ออกจากวังหลวง ทั้งคู่ก็ขี่ม้าตัวเอง
กู้ฉังชิงกำลังจะขี่ม้าจากไป ถังเย่ว์ซานก็โพล่งเรียกเขาไว้ “เรื่องแม่เจ้า ทางที่ดีจัดการให้ดีดีกว่า”
กู้ฉังชิงขมวดคิ้วมองเขา
ถังเย่ว์ซานเอ่ย “แม่เจ้าเป็นคนตระกูลหลิง หากนางเป็นไส้ศึก เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าคนตระกูลหลิงก็อาจจะเป็นไส้ศึกด้วย”
กู้ฉังชิงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ย “ท่านปู่ข้าก็เคยสงสัยในความเป็นไปได้นี้ แต่หลายปีมานี้เขาตรวจสอบตระกูลหลิงมาโดยตลอด และไม่เจอข่าวคราวอะไรเลย รู้แค่ว่าแม่ข้าพลัดหลงตอนเด็กมากๆ หนึ่งปีต่อมาจึงเจอตัวพากลับมา”
ถังเย่ว์ซานเอ่ยด้วยความสงสัย “เจ้าหมายความว่าคุณหนูตระกูลหลิงในตอนนั้นเปลี่ยนคนแล้ว เปลี่ยนเป็นคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกันอย่างแม่เจ้า”
กู้ฉังชิงพยักหน้า “ตั้งแต่ท่านปู่ข้าได้หลักฐาน นี่เป็นความเป็นไปได้ที่สมเหตุสมผลที่สุด”
ถังเย่ว์ซานดึงบังเหียน “ข้าว่าเจ้าจับตามองตระกูลหลิงให้ดีหน่อยดีกว่า กันไว้ดีกว่าแก้ ยามนี้ข้ารู้ความลับของพวกเจ้าแล้ว ถือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของพวกเจ้าเช่นกัน พวกเจ้าอย่าได้ลากข้าเข้าไปเกี่ยวข้อง”
กู้ฉังชิงเอ่ยเรียบๆ “หากมีวันนั้นจริง เจ้าแสร้งไม่รู้เรื่องก็สิ้นเรื่องแล้ว”
ถังเย่ว์ซานแค่นเสียงเอ่ย “เช่นนั้นใครจะรับรองได้ว่าพวกเจ้าจะไม่แว้งกัดข้า”
กู้ฉังชิงไม่สนใจเขาอีก ขี่ม้าจากไปทันที
ถังเย่ว์ซานจุ๊ปากส่ายหน้า “คนหนุ่มนี่เจ้าอารมณ์กันจริงๆ”
บังเอิญในขณะนั้น นางกำนัลหามของที่ซื้อกลับเข้าวังมา ไม่ทันระวังไปชนม้าถังเย่ว์ซานเข้า ม้าตกใจ
ถังเย่ว์ซานถูกดีดกระเด็นดุจสายฟ้า “ไม่มีตาหรือไร! รนหาที่ตายใช่หรือไม่!”
นางกำนัล “…”
ระหว่างทางกลับ กู้ฉังชิงครุ่นคิดอย่างจริงจังถึงสถานการณ์นั้นที่ถังเย่ซ์ซานพูดถึง เขาไม่สนถังเย่ว์ซานเพราะเขากับกู้เฉิงเฟิงไม่มีทางแว้งกัดถังเย่ว์ซานอยู่แล้ว นอกเสียจากถังเย่ว์ซานจะหักหลังพวกเขาก่อน
หลายวันมานี้ที่ชายแดน ท่านปู่เอ่ยเรื่องมารดาเขากับเขาไม่น้อย
ท่านปู่ก็เคยห่วงว่าตระกูลหลิงอาจจะมีไส้ศึกคนอื่นซุกซ่อนอยู่อีก หลายปีมานี้จึงเอาแต่แอบตรวจสอบตระกูลหลิง แต่ก็ไร้ความคืบหน้ามาตลอด
เพียงแต่ในจวนมีบ่าวและสาวใช้สองสามคนที่มือไม่ค่อยสะอาดนัก ท่านปู่สืบเจอหลังจากเรื่องจิ้งไท่เฟยเปิดโปง และจัดการทีละคนแล้ว
ในสายตาเขานั้น ความเป็นไปได้ที่ตระกูลหลิงจะเกิดปัญหามีไม่มาก
เพียงแต่มีความละเอียดอ่อน สุขุมรอบคอบจึงกุมเรือหมื่นปีได้ ถังเย่ว์ซานพูดถูก ระมัดระวังไว้หน่อยก็ไม่เสียหาย
หลังจากกู้ฉังชิงกลับมาถึงจวน ก็เรียกองครักษ์ลับจำนวนหนึ่งให้แอบจับตามองตระกูลหลิงไว้ จากนั้นจึงไปคารวะกู้เหล่าฮูหยินและท่านโหวกู้
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ฮ่องเต้พบถังเย่ว์ซานกับกู้ฉังชิงแล้วก็รีบไปตำหนักเหรินโซ่วทันที
พระองค์มาพบองค์หญิงหนิงอันที่ไม่ได้พบหลายปีที่เรือนอุ่นของตำหนักเหรินโซ่ว องค์หญิงหนิงอันยังสวมอาภรณ์ของชายแดน เพิ่งจะเข้าเฝ้าจวงไทเฮาเสร็จ ขอบตานางจึงแดงก่ำ แววตาเหลือหยาดน้ำตาแวววาว
ยี่สิบปีแล้ว นางไม่ใช่เด็กสาวสดใสชวนไหวหวั่นในตอนนั้นแล้ว นางเป็นสตรีออกเรือนแล้ว อายุและลมทะเลทรายในชายแดนทิ้งร่องรอยเอาไว้บนใบหน้านางอย่างไร้ปรานี
ใบหน้านางเหี่ยวแห้ง รูปร่างผ่ายผอม
ฮ่องเต้แทบไม่กล้าเรียกนาง
หนิงอันผู้งดงามดุจลูกท้อคนนั้นเล่า
น้องสาวผู้ใสซื่อไร้ความห่วงกังวลคนนั้นเล่า
เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่จับแขนของพระองค์และดุพระองค์อย่างแง่งอนที่ไม่อยู่เป็นเพื่อนนางนานๆ คนนั้นเล่า
หายไปแล้ว
ไม่มีแล้ว
ความระทมทุกข์ที่นางได้รับในชายแดนเขียนอยู่บนใบหน้านางหมดแล้ว หากไม่บอกว่านี่เป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ เกรงว่าคงนึกว่าเป็นสตรีออกเรือนชาวบ้านคนไหนเสียอีก
ฮ่องเต้ปวดพระทัยราวกับเข็มตำใจ
จวงไทเฮาที่นิสัยสุขุมเยือกเย็น ยังอดจะน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้
“ฝ่าบาท…” องค์หญิงหนิงอันสะอื้นคุกเข่าคำนับให้ฮ่องเต้
ฮ่องเต้ประคองนางไม่ให้คุกเข่า “เจ้าลุกขึ้นมา!”
องค์หญิงหนิงอันน้ำตาคลอส่ายหน้า ยืนกรานจะคุกเข่า “ข้าควรคุกเข่าเพคะ…หนิงอันมีโทษ…หนิงอันมีตาหามีแววไม่ แต่งผิดคน ชักศึกเข้าบ้าน นำสงครามและหายนะเช่นนี้มาให้ชายแดนและปวงชนแคว้นเจา ล้วนเป็นความผิดของหนิงอัน หนิงอันมีโทษสมควรตายหมื่นหน…”
น้ำตาหยดโตไหลรินลงมาใส่กระโปรงยับย่นของนางแล้วหยดลงบนพื้นเงาวับ
ฮ่องเต้จับไหล่นางแน่น ลำคอปวดหนึบ “ไม่ต้องพูดแล้ว…เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว…”
องค์หญิงหนิงอันเอ่ยตำหนิตัวเองอย่างไม่ปิดบัง “หนิงอันจะพูด! เสด็จแม่กับฝ่าบาทห้ามหนิงอันคราแล้วคราเล่า…หนิงอันทำโดยพลการ…หนิงอันไม่เชื่อฟังเสด็จแม่กับฝ่าบาท…หนิงอันตายก็ไม่เสียดาย…”
ฮ่องเต้เห็นน้ำตาหนิงอันแล้วดุจหทัยโดนหมื่นมีดเฉือน “เจ้าเป็นน้องสาวเรา! เราไม่อนุญาตให้เจ้าพูดเช่นนี้ เรื่องในตอนนั้นมันผ่านไปหมดแล้ว และเจ้าก็โดนหลอกใช้ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า…เจ้าอย่าได้โทษตัวเอง…ข้ากับเสด็จแม่ไม่เคยโกรธเคืองเจ้าเลย…เจ้าก็อย่าได้ดูแคลนตัวเองเลย…เจ้าลุกขึ้นเร็วเข้า!!”
ฮ่องเต้ฝืนดึงองค์หญิงหนิงอันขึ้นมา
องค์หญิงหนิงอันร้องห่มร้องไห้หนัก
ฮ่องเต้มองไปยังเด็กชายวัยสิบสองสิบสามปีที่นั่งบนรถเข็นข้างๆ พระเนตรสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนถาม “นี่คือ…”
องค์หญิงหนิงอันหันมาสะอื้นเอ่ยกับเด็กชาย “เสียนเอ๋อร์ รีบคำนับท่านลุงเจ้า”
เมื่อเทียบกับองค์หญิงหนิงอันที่ใจสลายแล้ว หวงฝู่เสียนสุขุมกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ร้องสักแอะ และไม่มีความรู้สึกหรือความตื่นเต้นของการกลับมาพบกันอีกครั้งเลยสักนิด
เขามองฮ่องเต้ตรงๆ ราวกับไม่รู้ว่าการจ้องตรงๆ เช่นนี้เสียมารยาทเพียงใด
“ท่านลุง”
เขาเอ่ยเรียกเสียงเย็นเยียบ
คำทักทายนี้ไม่อบอุ่นหรือให้ความเคารพเลยสักนิด ไม่ว่าจะในฐานะลุงหรือกษัตริย์แห่งแคว้น ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางพอใจกับการทักทายนี้
ทว่าฮ่องเต้ทรงใจกว้างต่อองค์หญิงหนิงอันมาโดยตลอด จึงไม่ได้ถือสาที่หวงฝู่เสียนเสียมารยาท
สายตาฮ่องเต้ตกลงบนรถเข็นของหวงฝู่เสียน ก่อนจะเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกับขาของเสียนเอ๋อร์ บาดเจ็บหรือ ตามหมอหลวงหรือไม่”
“เหอะ” หวงฝู่เสียนหัวเราะเสียงเย็น
“เสียนเอ๋อร์!” องค์หญิงหนิงอันสีหน้าเคร่งขรึม “อย่าเสียมารยาทกับฝ่าบาท!”