บทที่ 531 โอหัง (1)

“ไม่เป็นไรหรอก” ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่ถือสา “เสียนเอ๋อร์ยังเด็ก”

พระองค์ไม่ไปถือสาหาความกับเด็ก มิฉะนั้นพระองค์คงโมโหเจ้าเด็กอ้วนโอรสตัวเองตายไปหลายหนแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น…

สายตาฮ่องเต้ตกลงบนขาของหวงฝู่เสียน ร่างกายไม่ดี จะอารมณ์ไม่ดีก็ไม่แปลก

“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าพาเสียนเอ๋อร์ออกไปผิงแดดก่อนไป” องค์หญิงหนิงอันเอ่ยกับเหลียนเอ๋อร์

“เพคะ” เหลียนเอ๋อร์ขานรับอย่างเคารพ เดินมาด้านหลังหวงฝู่เสียนอย่างระมัดระวัง ก่อนเข็นรถเข็นเดินออกไป

“ฝ่าบาท” องค์หญิงหนิงอันเอ่ยอธิบาย “เสียนเอ๋อร์ถูกข้าตามใจจนเสียนิสัยแล้ว ขอฝ่าบาทอภัยด้วย”

“ยังเรียกข้าว่าฝ่าบาทอยู่อีกหรือ” ฮ่องเต้จดจ้องนางพลางตรัสถาม

องค์หญิงหนิงอันยิ้มขื่นเอ่ยแก้ “เสด็จพี่”

ฉินกงกงเดินมาหา ยิ้มทูล “ไทเฮา ตำหนักขององค์หญิงหนิงอันและคุณชายเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เสด็จแม่…” องค์หญิงหนิงอันมองจวงไทเฮาอย่างนิ่งอึ้ง

จวงไทเฮาตรัส “ก่อนเจ้าจะออกเรือนตำหนักปี้สยาสงวนไว้ให้เจ้ามาตลอด เจ้ากับเสียนเอ๋อร์ไปพักที่นั่นชั่วคราวก่อนเถิด”

“ข้า…” องค์หญิงหนิงอันแววตาขยับไหว หลบตาลงพลันเอ่ยถาม “ข้ายังพักในวังหลวงได้อยู่หรือ”

องค์หญิงที่ยังไม่ออกเรือนกลับมาพักที่วังหลวงได้ แต่ความจริงแล้วโดยปกติแล้วองค์หญิงจะไม่มีตำหนักส่วนตัว พวกนางจะพำนักกับพระมารดาตัวเองเป็นส่วนมาก องค์หญิงหนิงอันเป็นข้อยกเว้น จวงไทเฮากับฮ่องเต้รักเอ็นดูนางยิ่ง จึงสร้างตำหนักปี้สยาให้นางคนเดียว

แต่นางแต่งไปชายแดนหลายปีเพียงนี้ ตำหนักปี้สยาก็ไม่ได้ยกให้คนอื่นพัก

ฮ่องเต้รีบตรัส “ในเมื่อเป็นเจตนาของเสด็จแม่ เจ้าก็เข้าพักเสียเถิด”

ฮ่องเต้ก็หวังว่าองค์หญิงหนิงอันจะพักอยู่ในวัง แบบนี้สะดวกในการดูแลฮ่องเต้และไทเฮา

ฮ่องเต้มีอะไรจะคุยกับหนิงอันเยอะแยะ พระองค์เดาว่าเสด็จแม่ก็เช่นกัน เพียงแต่ทั้งสามคนอยู่ร่วมกันเรื่องบางเรื่องค่อนข้างยากที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาได้

“เราไปตำหนักปี้สยาด้วยกันกับเจ้าดีกว่า” ฮ่องเต้ตรัส

องค์หญิงหนิงอันพยักหน้า คำนับให้จวงไทเฮา “ภายหน้าลูกจะมาถวายพระพรเสด็จแม่ใหม่”

จวงไทเฮาพยักหน้า มองส่งฮ่องเต้กับองค์หญิงหนิงอันออกจากตำหนักเหรินโซ่ว

ฉินกงกงยกชามาหา เห็นจวงไทเฮาสีหน้าโศกเศร้า จึงอดถอนใจเอ่ยปลอบไม่ได้ “องค์หญิงชะตาตกทุกข์ หากตอนนั้นฟังคำท่าน จะเป็นเช่นนี้หรือ แต่โชคดีที่กลับมาอย่างปลอดภัย ภายหน้าก็ไม่มีใครทำให้องค์หญิงต้องทนทุกข์อีกต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จวงไทเฮาหลับตาหันหน้าหนี น้ำตาไหลลงข้างแก้ม

ฮ่องเต้เดินเคียงไหล่กับองค์หญิงหนิงอันไปยังตำหนักปี้สยา

เหลียนเอ๋อร์เข็นหวงฝู่เสียนตามหลังไม่ใกล้ไม่ไกล

องค์หญิงหนิงอันหันกลับมามองหวงฝู่เสียนที่สีหน้าเย็นชา ก่อนถอนหายใจอย่างจนปัญญา

ฮ่องเต้สังเกตเห็นสายตานาง จึงเอ่ยถามเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้นกับขาเสียนเอ๋อร์รึ บาดเจ็บเพราะศึกครานี้หรือ”

องค์หญิงหนิงอันสายหน้าอย่างขื่นขมพลันเอ่ย “เป็นเรื่องเมื่อตอนเด็กๆ แล้ว ตอนเสียนเอ๋อร์ห้าขวบ ที่ชายแดนเกิดหิมะตกห่าใหญ่ในรอบสิบปี”

ฮ่องเต้ส่งเสียงอืมราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ “เรื่องนี้เราจำได้ ราชสำนักยังจัดสรรเงินเพื่อบรรเทาภัยพิบัติที่ชายแดนด้วย จิ้ง…”

จิ้งไท่เฟยทำเสื้อผ้ากันหนาวให้องค์หญิงหนิงอันด้วยตัวเอง นางได้รับความไว้วางใจในการบรรเทาภัยพิบัติให้ไปชายแดนด้วย

ยามนี้ฮ่องเต้ไม่อยากเอ่ยถึงชื่อนี้เลย พระองค์สะอิดสะเอียนสุดแสน แต่นางดันเป็นเสด็จแม่แท้ๆ ของหนิงอัน ช่างกระอักกระอ่วนจริงๆ

องค์หญิงหนิงอันเผยยิ้มจางๆ “เพคะ ตอนนั้นเสด็จแม่ยังมอบเสื้อผ้ากันหนาวให้ข้าด้วย”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับขาของเสียนเอ๋อร์หรือ”

“ตอนนั้นข้ากับ…พ่อของเขาไปบรรเทาทุกข์ เขาที่อยู่ในจวนองค์หญิงเลยออกไปเดินเล่นคนเดียว เด็กคนนี้ซุกซนตั้งแต่เล็ก อยู่ไม่สุขเลยสักครั้ง องครักษ์ต่างคุมเขาไม่อยู่ ทำให้เขาหนีออกไปได้สำเร็จ ตอนพวกเราเจอเขาก็หลังจากนั้นหนึ่งวันหนึ่งคืน เขาตกลงมาจากเนินเขา นอนอยู่บนพื้นหิมะเย็นเยียบ ขาสองข้างของเขาแข็งจนเนื้อตายแล้ว เพื่อรักษาชีวิตเขาไว้ หมอจึงต้องตัดขาเขาทิ้ง”

องค์หญิงหนิงอันเอ่ยถ้อยคำดังกล่าว พยายามทำให้ตัวเองดูสงบนิ่ง ทว่าลมหายใจของนางและอาการบีบมือก็ยังปิดบังอารมณ์ของนางไว้ไม่ได้อยู่ดี

ใจฮ่องเต้กระตุกไหว อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าสงสารหวงฝู่เสียน หรือสงสารองค์หญิงหนิงอันที่ลูกชายเจอเรื่องแบบนี้

พระองค์จับมือองค์หญิงหนิงอันเหมือนตอนเด็กๆ “เราไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้กับเจ้ากับเสียนเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าไม่เขียนมาในจดหมายเล่า”

องค์หญิงหนิงอันเอ่ยเสียงเบา “เรื่องแบบนี้…ไม่ควรพูดเพคะ”

เอ่ยถึงหนหนึ่งก็เหมือนใจโดนมีดกรีดทีหนึ่ง ถูกปลอบโยนคราหนึ่งก็เหมือนใจโดนมีดกรีดอีกทีหนึ่ง เมื่อคนคนหนึ่งเจ็บปวดจนถึงขีดสุดจะไม่ไปร้องขอความเห็นใจไปทั่ว แต่จะกันตัวเองออกจากโลกภายนอกแทน

ฮ่องเต้ย่อมรู้ดีแก่ใจ ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งสงสารองค์หญิงหนิงอัน

พระองค์แอบสาบานว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพระองค์จะไม่มีทางให้องค์หญิงหนิงอันห่างข้างกายพระองค์อีก และไม่ให้นางกับเสียนเอ๋อร์ต้องตกทุกข์ได้ยากอีกต่อไป

“เสียนเอ๋อร์เขา…” องค์หญิงหนิงอันเอ่ยแล้วชะงักไป

ฮ่องเต้เป็นพี่ชายนาง ต่อให้ไม่ได้พบกันนานเพียงนี้ แต่ในใจนางกำลังกังวลสิ่งใดพระองค์ก็ยังพอคาดเดาได้อยู่ดี

พระองค์หยุดฝีเท้าลง มองนางอย่างจริงจังพลางตรัส “ไม่ว่าพ่อของเสียนเอ๋อร์จะเป็นผู้ใด เขาก็ยังเป็นลูกชายเจ้าอยู่ดี เป็นหลานชายเราอยู่ดี เราจะปกป้องเขาอย่างสุดกำลัง”

องค์หญิงหนิงอันกลับเมืองหลวงมีคนต่อต้านไม่มาก หวงฝู่เสียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่างไรเสียเขาก็มีเลือดของราชวงศ์ก่อนไหลเวียนอยู่ในตัว ขุนนางหัวรุนแรงทั้งหลายคงจะเอาเรื่องสายเลือดของหวงฝู่เสียนมาพูด

องค์หญิงหนิงอันเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “สร้างปัญหาให้เสด็จพี่เสียแล้ว”

“ไม่ใช่ปัญหาหรอก” ฮ่องเต้ตรัส

หากหวงฝู่เสียนมีร่างกายสมบูรณ์พร้อม อาจจะเกิดปัญหาจริงๆ ได้ แต่เขามีร่างกายไม่สมบูรณ์แล้วจะมีจุดใดให้ต้องกลัวเล่า

คนในวังพวกนั้นมีโทสะในใจไร้ทางระบายจึงได้เอาเด็กคนนี้มาแก้ขัด เมื่อรู้ความจริง คำวิพากษ์วิจารณ์ก็จะน้อยลงไปมาก

ฮ่องเต้ตรัส “หนิงอัน เราอยากคุยเรื่องของจิ้งไท่เฟยกับเจ้า”

องค์หญิงหนิงอันยิ้มจาง “เสด็จพี่ไม่ต้องมากความ หนิงอันทราบดี เสด็จแม่นาง…เป็นไส้ศึกของพวกราชวงศ์ก่อน ตั้งแต่นางทุ่มเทให้ราชวงศ์ก่อนก็กำหนดจุดจบสุดท้ายไว้แล้ว”

“เจ้าเกลียดนางหรือไม่” ฮ่องเต้ถาม

องค์หญิงหนิงอันเอ่ย “ยามนี้คุยเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์”

ฮ่องเต้ “นางเคยส่งองครักษ์หลงอิ่งไปหาเจ้าที่ชายแดน เพื่อจับตัวเจ้าไว้เป็นตัวประกันหรือ”

องค์หญิงหนิงอันส่ายหน้า “พวกเขาอยากพาข้าหนี พวกเขามาด้วยกันกับองครักษ์ลับคนหนึ่ง องครักษ์ลับคนนั้นบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นที่เมืองหลวง เกรงว่าชายแดนจะไม่สงบ ให้ข้าหนีไปกับพวกเขาก่อน แต่พวกเขาสู้หน่วยกล้าตายของหวงฝู่เจิงไม่ได้ สุดท้ายจึงบาดเจ็บ องครักษ์ลับคนนั้นตายไปโดยไม่ยอมรักษา”

ฮ่องเต้คิดไม่ถึงว่าตู้เจิง…ไม่สิ ตู้เป็นแซ่ปลอม ชื่อจริงของเขาคือฝู่เจิง

คิดไม่ถึงว่าในมือเขาจะมียอดฝีมือเก่งกาจเพียงนี้

โชคดีที่องค์หญิงหนิงอันปลอดภัย มิฉะนั้นฮ่องเต้คงได้เสียใจแย่

ไม่รู้ว่าวันนี้องค์หญิงหนิงอันแสดงความรู้สึกผิดออกมากี่หนแล้ว “ขออภัยเพคะ ที่ทำองครักษ์หลงอิ่งของเสด็จพี่บาดเจ็บหนัก”

“พวกเขาหายดีแล้ว” ฮ่องเต้บอก องครักษ์หลงอิ่งกลับเมืองหลวงมากับกองทัพใหญ่แล้ว กำลังพักรักษากันโดยเฉพาะ

หากบอกว่าไม่ปวดใจก็คงโกหก แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับหนิงอัน ทั้งหมดเป็นความคิดของจิ้งไท่เฟย

องค์หญิงหนิงอันเดินไปข้างหน้าต่อ “ข้าว่าเสด็จแม่คงจะเดาได้ว่าตัวเองคงปิดบังอยู่ได้ไม่นาน วิธีการของอี้อ๋องกับหวงฝู่เจิงนั้นอุกอาจ นางกลัวว่าเมื่อเรื่องราวเปิดโปงแล้วข้าจะตกอยู่ในอันตราย จึงส่งคนมาช่วยข้า นางหลอกใช้ทั้งชีวิตข้า สุดท้ายถึงคิดได้ว่าต้องทำเพื่อข้าบ้าง”

เอ่ยมาถึงตรงนี้ องค์หญิงหนิงอันก็เย้ยหยันตัวเอง “เพราะอะไรกัน”

ฮ่องเต้สีพระพักตร์ซับซ้อน ไม่ได้ตรัสอะไร