บทที่ 531-2 โอหัง (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 531 โอหัง (2)

พวกเขามาถึงตำหนักปี้สยากันอย่างรวดเร็ว

คนจากสำนักพระราชวังเคยชินกับการยกย่องผู้สูงส่งและเหยียบย่ำคนต่ำต้อย เห็นองค์หญิงหนิงอันเป็นแค่หญิงม่ายไร้สามีเช่นนี้ แต่นางมีฮ่องเต้และจวงไทเฮารักเอ็นดู สิ่งของที่ซื้อให้นางล้วนหรูหรา ประณีต และล้ำค่าที่สุด

อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่ม่านเตียงอย่างเดียวก็ทำจากผ้าใยสังเคราะห์ แม้แต่เซียวฮองเฮากับองค์หญิงซิ่นหยางยังไม่ได้รับการปฏิบัติเพียงนี้เลย

นางกำนัลที่ปรนนิบัติรับใช้นางสำนักพระราชวังก็เป็นคนเลือกให้อย่างใส่ใจ ขันทีผู้ดูแลหนึ่งคน แม่นมผู้ดูแลหนึ่งคน นางกำนัลใหญ่สี่คน นางกำนัลเล็กสิบคนและขันทีเล็กสิบคน

นี่เป็นสิ่งที่องค์หญิงคนหนึ่งไม่มีวันได้

“เสด็จพี่” องค์หญิงหนิงอันแววตาซับซ้อน นางถอนใจเอ่ย “ข้าใช้ของแพงๆ พวกนี้ไม่ได้หรอกเพคะ และไม่ต้องใช้คนมากมายเพียงนี้ด้วย”

ฮ่องเต้ได้ยินก็สีพระพักตร์หม่นหมอง “เจ้าเป็นน้องสาวที่เรารักที่สุด เราบอกว่าเจ้าใช้ได้ก็ใช้ได้สิ!”

“ข้า…” องค์หญิงหนิงอันอยากเอ่ยบางอย่างแต่ไม่พูด

ฮ่องเต้ประคองไหล่นางไว้ จ้องมองใบหน้าที่ผ่านความลำบากมาโชกโชนของนางนิ่ง ก่อนตรัสโทษตัวเองอย่างปวดใจ “ตอนนั้นเราปกป้องเจ้าไม่ได้ ทำให้เจ้าลำบากมาหลายปี ภายหน้าเราจะชดใช้ให้เจ้าอย่างดี เจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ให้เป็นหน้าที่เราทั้งหมดก็พอ ไม่มีใครกล้าวิจารณ์เจ้า หากมีเราจะตัดหัวมันผู้นั้น!” องค์หญิงหนิงอันกำลังจะเอ่ยบางอย่างอีก จนใจที่คำปฏิเสธยังไม่ทันเอื้อนเอ่ย ก็มีเสียงเล็กๆ เจี๊ยวจ๊าวของเด็กลอยมาจากนอกตำหนักปี้สยาแล้ว

องค์หญิงหนิงอันปรากฏความสงสัยขึ้นบนสีหน้า ฮ่องเต้แย้มยิ้มตรัส “เสียงเจ้าเจ็ดกับเพื่อนร่วมชั้นเขาน่ะ”

เสี่ยวจิ้งคงเพิ่งจะเข้าวังมา เขาเป็นเด็กน้อย ไม่ได้รู้ว่าในวังมีใครมา เขามาเพื่อจะขึ้นค่าเช่าโดยเฉพาะ วันนั้นเขาเอ่ยเรื่องขึ้นค่าเช่ากับพี่เขยแล้ว พี่เขยบอกว่าข้อเรียกร้องของเขาไม่สมเหตุสมผล เขาจึงอยากมาถามท่านย่าว่าจะขึ้นค่าเช่าให้สมเหตุสมผลอย่างไรดี

น่าเสียดายที่อารมณ์ท่านย่าเหมือนจะซึมๆ เขาเป็นเด็กที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น จึงได้ตัดสินใจพักเรื่องขึ้นค่าเช่าไว้ชั่วคราวก่อน แล้วกลายร่างเป็นตัวน่ารักพยายามออดอ้อนอยู่นาน สุดท้ายจึงโดนท่านย่าโยนออกมาอย่างไร้ปรานี

หนวกหู…

จากนั้นเขาเลยไปหาฉินฉู่อวี้

ฉินฉู่อวี้หมู่นี้เลี้ยงเจ้าหมาน้อยอยู่ตัวหนึ่ง ทั้งคู่วิ่งไล่มันไปทั่ว

เจ้าหมาน้อยคงได้กลิ่นของฮ่องเต้ จึงวิ่งมายังตำหนักปี้สยา

เมื่อฉินฉู่อวี้กับเสี่ยวจิ้งคงตามมาถึงตำหนักปี้สยาบังเอิญเห็นหวงฝู่เสียนผึ่งแดดอยู่หน้าประตู

พวกเขาไม่เคยเห็นรถเข็นจึงได้สนใจใคร่รู้

เสี่ยวจิ้งคงเดินไปหา พินิจมองรถเข็นของหวงฝู่เสียน เอ่ย “ว้าว! นี่เก้าอี้อะไรน่ะ มีล้อด้วย!”

เทียบกับเก้าอี้แปลกประหลาดตัวนี้แล้ว ความสนใจของฉินฉู่อวี้อยู่ที่คนคนนี้มากกว่า เขาถามอย่างฉงน “เจ้าเป็นใครรึ เหตุใดข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลย”

วังหลวงคือบ้านของฉินฉู่อวี้ นางกำนัลและขันทีเขาอาจจะรู้จักไม่หมด แต่คนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีที่มาที่ไปเช่นนี้เขาไม่น่าจะไม่รู้จัก

หวงฝู่เสียนยิ้มเย็นมองถั่วเม็ดเล็กกับถั่วเม็ดอ้วนที่อยู่ตรงหน้า “แล้วพวกเจ้าเป็นใคร”

ฉินฉู่อวี้แนะนำตัวอย่างจริงจัง “ข้าคือฉินฉู่อวี้ เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นข้า จิ้งคง”

หวงฝู่เสียนพินิจมองฉินฉู่อวี้ตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มหยันมองเสี่ยวจิ้งคง แล้วเอ่ยเหน็บแนม “เจ้าโตขนาดนี้แล้วยังเรียนร่วมกับเด็กเล็กๆ อีก ที่แท้องค์ชายแคว้นเจาอย่างพวกเจ้าก็โง่เขลาหรือนี่”

ฉินฉู่อวี้โมโหทันที “เจ้าว่าใครโง่กัน! ขะขะขะข้าไม่ได้โง่! ข้าเรียนชั้นประถมของกั๋วจื่อเจียนเชียวนะ!”

หวงฝู่เสียนแค่นหัวเราะ “ใช้เส้นยัดล่ะสิ”

“เจ้า!”

ฉินฉู่อวี้ถูกตอกหน้าจนหน้าแดง

เสี่ยวจิ้งคงถูกล้อรถของรถเข็นดึงดูดความสนใจไว้จนหมด ไม่ได้สนใจว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน เขานั่งยองๆ โคลงศีรษะตั้งอกตั้งใจสังเกตล้อรถตรงหน้า

ฉินฉู่อวี้เท้าเอวกระทืบเท้า นี่เป็นพฤติกรรมเคยชินของเสี่ยวจิ้งคง ไปมาหาสู่กับเสี่ยวจิ้งคงนานแล้ว จึงซึมซับนิสัยของเสี่ยวจิ้งคงมา

เขาเอ่ยอย่างโมโห “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าคุยกับข้าเช่นนี้! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร! ข้าคือองค์ชายเจ็ดแคว้นเจา! หากเจ้ายังไร้มารยาทเช่นนี้ ข้าจะให้คนตีเจ้า!”

หวงฝู่เสียนได้ยินถ้อยคำนี้ไม่เพียงไม่ตกใจกลัว ยังเอื้อมมือหาอย่างเย็นชา แล้วผลักฉินฉู่อวี้ล้มลงพื้น!

บังเอิญเสี่ยวจิ้งคงนั่งยองๆ กับพื้นดูล้ออยู่ พอฉินฉู่อวี้ล้มลงไป จึงชนเขาเข้า

“โอ๊ย!” เสี่ยวจิ้งคงเจ็บ

เท้าน้อยๆ ของเขาถูกก้นฉินฉู่อวี้ทับเข้าจังๆ!

เมื่อฮ่องเต้กับองค์หญิงหนิงอันเดินมาก็เห็นเด็กทั้งสองล้มกับพื้น

ฉินกงกงก็ตามออกมาด้วย เขาตาไวมือเร็วรีบเดินนำหน้า ดึงฉินฉู่อวี้ที่อยู่ข้างบนขึ้นมาก่อน แล้วดึงเสี่ยวจิ้งคงที่อยู่ด้านล่างขึ้นมา

“ไม่เป็นไรกระมัง เจ็บตรงไหนหรือไม่” เขาถามอย่างเป็นห่วง

เสี่ยวจิ้งคงเจ็บเท้าขวานิดหน่อย

ฉินฉู่อวี้เนื้อเยอะ เขาเลยไม่เจ็บ แต่โมโหมาก!

เขาหันหลังขวับ หมายจะพุ่งไปหาหวงฝู่เสียน

“หยุดนะ!” ฮ่องเต้ตวาด

เว่ยกงกงรีบกอดฉินฉู่อวี้ไว้

ฉินฉู่อวี้ฟ้องโดยไม่ลังเล ชี้หวงฝู่เสียนพลางเอ่ย “เสด็จพ่อ! เขาผลักข้า!”

ฮ่องเต้มองหวงฝู่เสียนที่อยู่บนรถเข็น

หวงฝู่เสียนเอนหลังพิงพนักรถเข็นอย่างเอ้อระเหย เลิกคิ้วขึ้น “ข้าไม่ได้ผลักเขา เขาล้มเอง”

ฉินฉู่อวี้เบิกตาโต “เจ้าเหลวไหล! ข้าไม่ได้ล้มเองนะ! เจ้าเป็นคนผลักข้าต่างหาก! จิ้งคงเจ้าก็เห็นใช่หรือไม่!”

“ฮะ” เสี่ยวจิ้งคงที่อยู่ๆ ก็ถูกเรียกชื่อสีหน้างุนงง

เมื่อครู่นี้เขาไปพินิจพิเคราะห์ล้อรถมา ไม่เห็นอะไรสักอย่าง

ในขณะนั้นเอง เหลียนเอ๋อร์ก็ถือดอกไม้กำหนึ่งกระหืดกระหอบวิ่งกลับมา นางยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงส่งดอกโบตั๋นในมือไปให้ “ท่านชาย…นี่เจ้าค่ะ…ดอกไม้ที่ท่านต้องการ…”

นี่เป็นดอกไม้ในห้องอุ่นที่องค์หญิงซิ่นหยางปลูกที่สวนหลวง ดอกหนึ่งราคาหนึ่งร้อยทอง

เหลียนเอ๋อร์เด็ดลวกๆ มาทีเดียวถึงห้าดอก

หวงฝู่เสียนรับมาอย่างลวกๆ ก่อนเอ่ยอย่างรังเกียจ “แค่นี้เองรึ ให้เจ้าเด็ดมาหมดเลยมิใช่หรือไร”

เหลียนเอ๋อร์ปาดเหงื่อตรงหน้าผากพลางเอ่ย “….ดะ…ดอกอื่นยะยังไม่โตดีเจ้าค่ะ…มะ…มีแค่ห้าดอกนี้ที่สวยที่สุด”

“ข้าไม่ชอบ” หวงฝู่เสียนเอ่ยจบก็โยนดอกโบตั๋นห้าดอกที่องค์หญิงซิ่นหยางลำบากลำบนปลูกทิ้งโดยไม่คิดสักนิด

ฮ่องเต้จินตนาการได้ถึงสีหน้าขององค์หญิงซิ่นหยางเมื่อพบว่าดอกไม้ของนางหายไป

“เสียนเอ๋อร์” องค์หญิงหนิงอันสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น

ลำคอฮ่องเต้แห้งผาก ตัวสั่นขึ้นน้อยๆ กระแอมขึ้นทีหนึ่ง ก่อนตรัสอย่างสงบนิ่ง “ไม่เป็นไร แค่ไม่กี่ดอกเท่านั้น เสียนเอ๋อร์ชอบโบตั๋น เดี๋ยวเราจะให้ห้องดอกไม้เลือกสองสามกระถางมาส่งให้ที่ตำหนักปี้สยา”

พระองค์ตรัสพลางหันไปเอ่ยเสียงเคร่งกับฉินฉู่อวี้ “ยังไม่รีบมาคารวะท่านอากับพี่ชายเจ้าอีก”

ฉินฉู่อวี้ถาม “ใครคือท่านอาข้า ใครคือพี่ชายข้า”

องค์หญิงหนิงอันเดินมาหา ก่อนยกมือลูบศีรษะเขา “ข้าคือท่านอาหนิงอันของเจ้า เขาคือพี่เสียนของเจ้า”

นางเอ่ยพลางชี้หวงฝู่เสียนที่อยู่ด้านหลัง

ฉินฉู่อวี้ปัดมือนางออก “เขาไม่ใช่พี่ชายข้า!”

สายตาฮ่องเต้เกรี้ยวกราดขึ้น “บังอาจ!”

ฉินฉู่อวี้ชี้หวงฝู่เสียนอย่างโมโหพลางเอ่ย “เขาผลักข้า!”

หวงฝู่เสียนเอ่ยอย่างสบายๆ “ข้าไม่ได้ผลักเจ้า”

ฉินฉู่อวี้โมโหจนแทบบ้า “เจ้าผลัก เจ้าผลักข้า เจ้านั่นแหละผลักข้า!”

องค์หญิงหนิงอันมองหวงฝู่เสียน ก่อนถามอย่างเคร่งขรึม “เจ้าได้ผลักองค์ชายเจ็ดหรือไม่”

หวงฝู่เสียนสบสายตาองค์หญิงหนิงอันด้วยสีหน้าสบายๆ และเอาแต่ใจ “ไม่”

“เจ้าทำ!” ฉินฉู่อวี้โมโหจนเลือดจะขึ้นหน้าอยู่รอมร่อ

“พอได้แล้ว!” ฮ่องเต้ตวาดฉินฉู่อวี้เสียงเข้ม ก่อนตรัสกับเว่ยกงกง “ส่งองค์ชายเจ็ดกลับตำหนักคุนหนิง แล้วก็ ส่งจิ้งคงกลับตำหนักเหรินโซ่วด้วย”

เว่ยกงกงฝืนขานรับ “…พ่ะย่ะค่ะ ไปกันเถิดองค์ชายเจ็ด จิ้งคง”

ทั้งคู่ถูกเว่ยกงกงโอบให้เดินไปข้างหน้าเบาๆ

ชั่วขณะที่หันหลังกลับ ฉินฉู่อวี้ก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตาตรงหางตาอย่างน้อยใจ “…ข้าไม่ได้โกหกนะ เขานั่นแหละผลักข้า เหตุใดเสด็จพ่อถึงไม่เชื่อข้า”

เสี่ยวจิ้งคงจับมือป้อมๆ ของฉินฉู่อวี้อย่างปลอบใจ ก่อนหันกลับไปมองเด็กชายบนรถเข็น

ทว่ายามนี้เด็กชายก็กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน

เสี่ยวจิ้งคงเห็นเด็กชายเผยยิ้มร้ายและท้าทายออกมา

ไสหัวไปห่างๆ หน่อย

เด็กชายแสยะยิ้มถากถางโดยไร้เสียง