ตอนที่ 533 ยอมจำนน (2)
เวลานี้ สิ่งต่างๆ แตกต่างไปจากอดีต สัมผัสเซียนรับรู้ของนางยังจับร่างของเจ้าสำนักได้เช่นกัน ขณะนั้น นางก็รู้สึกว่าสิ่งที่ศิษย์พี่กล่าวมาก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นจริง
เรื่องเทพธิดาอวิ๋นเซียวนั้น ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเช่นกัน… อ่า เกิดความกดดันเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
เมื่อจี้อู๋โหย่วมาถึงทะเลสาบ หลี่ฉางโซ่วก็รีบออกไปต้อนรับเขา
เขาโค้งคำนับให้เจ้าสำนักและกล่าวว่า “ศิษย์ขอน้อมพบท่านเจ้าสำนัก!”
“อา” จี้อู๋โหย่วฝืนยิ้มและสร้างข่ายอาคมขึ้นรอบตัวเขา จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “เฮ้ ไม่ต้องทักทายกันมากพิธีเช่นนั้นหรอก หากจะว่ากันจริงจังแล้ว เจ้าและข้าก็นับว่าเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน”
หลี่ฉางโซ่วอดจะกะพริบตาไม่ได้ เจ้าสำนักรู้อะไรหรือไม่?
ทว่าหากเจ้าสำนักรู้ถึงตัวตนของเขาว่า เขากำลังทำงานอะไรอยู่นอกสำนัก และรู้ว่า เหล่าจื้อแห่งศาลสวรรค์ได้ปรากฏกายเพื่อสนับสนุนเขา เมื่อนั้น…
ในฐานะศิษย์ในนามของปรมาจารย์จอมปราชญ์ หลี่ฉางโซ่วก็ควรจะเป็น… รุ่นอาวุโสกว่าเจ้าสำนัก แล้วไฉนพวกเขาถึงกลายเป็นคนรุ่นเดียวกันไปได้?
หลี่ฉางโซ่วจับ “ความแตกต่าง” อย่างรวดเร็ว และวิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบในใจ แต่ดูผิวเผินแล้ว ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
“เชิญท่านเจ้าสำนัก โปรดเข้ามาพักผ่อนก่อน”
“อืม” จี้อู๋โหย่วไม่รู้จะพูดอะไร เขาพยักหน้ารับ จากนั้นเขาก็ไปที่กระท่อมมุงจากกับหลี่ฉางโซ่ว
เจ้าสำนักนั่งลงในขณะที่หลี่ฉางโซ่วยืนอยู่ข้างๆ ในฐานะศิษย์ ทว่าหลังจากที่จี้อู๋โหย่วชักชวนให้นั่งลง เขาก็นั่งลงข้างๆ อย่างไม่เต็มใจนัก
ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์ก็เข้ามาพร้อมน้ำชาและโค้งคารวะให้เจ้าสำนัก แต่เมื่อนางกำลังจะจากไปหลี่ฉางโซ่วก็รั้งนางเอาไว้
“ศิษย์น้องหญิง เจ้ามาฟังท่านเจ้าสำนักพูดคุยด้วยกันเถิด”
“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่” จากนั้นหลิงเอ๋อร์ก็ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ข้างๆ
จี้อู๋โหย่วไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ได้รู้จักตัวตนของหลิงเอ๋อร์ หลังจากประจักษ์แล้วว่า หลิงเอ๋อร์ต่อสู้เพื่อข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์มาได้อย่างไร
นางก็เป็นคนในครอบครัวของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เช่นกัน!
“ฉางโซ่ว” จี้อู๋โหย่วกล่าว “เจ้า… อืม…”
หลี่ฉางโซ่วประสานมือของเขาพลางแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก หากท่านมีเรื่องใดในใจ ท่านเพียงแค่กล่าวออกมาเท่านั้นขอรับ”
ในยามนั้น หลิงเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิดกับตัวเองว่า หรือท่านเจ้าสำนักจะรู้ว่าศิษย์พี่และข้ากำลังเตรียมจะขโมยยอดเขาหยกน้อยไป?
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว จี้อู๋โหย่วก็เป็นเจ้าสำนักที่นี่ เขาฝึกบำเพ็ญมาหลายปีและได้เห็นคลื่นใหญ่ลมแรง[1]มามากมายนับไม่ถ้วน และในขณะนั้นเขาก็รู้ว่าเขาควรทำอย่างไร
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จี้อู๋โหย่วก็ยิ้มและกล่าวว่า “ฉางโซ่ว ข้ารู้เรื่องบางอย่างมานานแล้ว แม้เจ้าจะไม่บอกข้าก็ตาม”
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาเริ่มคิดโดยไม่รู้ตัวว่าเขาเผยข้อบกพร่องออกไปได้อย่างไร
“ท่านเจ้าสำนัก นี่…” หลี่ฉางโซ่วเม้มปากและมีท่าทางกระดากเล็กน้อย ทว่าสายตาจ้องมองของเขา ก็ยังคงดูสงบนิ่ง
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นอันตรายต่อสำนักตู้เซียนหรือสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เขาเดินตัวตรงเมื่อเดินและนั่งตัวตรงเมื่อนั่ง[2]มาตลอดอย่างแน่นอน
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กล่าวว่า “ใช่ว่าศิษย์จะจงใจปิดบัง ทว่าศิษย์ไร้ทางเลือก จึงถูกบังคับให้ต้องทำเช่นนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ขอรับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจทุกอย่าง” จี้อู๋โหย่วแย้มยิ้มพลางตอบกลับ ในขณะนั้นใบหน้าซีดของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเมื่อกล่าวว่า “บางครั้ง มันก็ยากที่จะพูดเรื่องอะไรบางอย่างออกมาดังๆ ได้จริงๆ ข้าเข้าใจว่าเจ้าเองก็มีปัญหายากลำบากของตัวเองเช่นกัน”
“เฮ้อ สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนธรรมดาที่ไม่รู้ว่าเต๋าคืออะไร หรือเป็นผู้ที่มานะบากบั่นเพื่อแสวงหาเต๋าของตัวเอง พวกเขาก็ล้วนมีเหตุผลที่ยากจะอธิบาย”
หลี่ฉางโซ่วอดจะรู้สึกประทับใจไม่ได้ เป็นเพียงว่า ท่านเจ้าสำนักนั้น… คำพูดของเขาช่างอบอุ่นหัวใจจริงๆ
บุรุษรูปงามที่เสแสร้งทำตัวอบอุ่นเฉกเช่น หยวนชิงที่คอยเข้าไปพัวพันตามเกี้ยวศิษย์น้องหญิงจอมพิษตัวอันตรายนั้น ก็เป็นเพียงเพราะเขาปรารถนาร่างกายของศิษย์น้องหญิงจอมพิษเท่านั้น
ในขณะที่บุรุษที่ดีจริงๆ อย่างท่านเจ้าสำนักนั้น เขามีความเห็นอกเห็นใจบรรดาศิษย์ในสำนัก เขามีเหตุผล และเข้าใจถึงความยากลำบากของบรรดาศิษย์ และจะปลอบโยน ให้กำลังใจศิษย์ในสำนัก!
หลี่ฉางโซ่วลุกขึ้นยืนแล้วทำการคารวะเต๋าให้ด้วยความเคารพพลางกล่าวชื่นชมว่า “ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่เข้าใจขอรับ!”
จี้อู๋โหย่วยิ้มกระดากและกระแอมไอออกมาอีกสองสามครั้งก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มต่ำเบาๆ ว่า “แล้วเมื่อเร็วๆ นี้ เจ้าเคยได้ยินข่าวลือด้านนอกในเมืองใกล้ๆ นี้มาบ้างหรือไม่?”
“ในช่วงไม่นานมานี้ ศิษย์ง่วนอยู่กับเรื่องงานบางอย่างอยู่” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “แม้บัดนี้ สถานการณ์จะได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ก็ยังมีผลกระทบคงอยู่ ศิษย์จึงไม่มีโอกาสจะได้ยินอะไรจากเมืองนี้เลยขอรับ”
จี้อู๋โหย่วรู้สึกสับสนในใจ ไฉนเขาถึงรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉางโซ่วพูด? แต่ถึงกระนั้น จี้อู๋โหย่วก็กล่าวต่อว่า “เป็นข้าผิดเอง เมื่อท่านอาจารย์มารับหลี่จิ้งเป็นศิษย์ ข้าก็รู้สึกตื่นเต้นมากเกินไปชั่วขณะจนเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง แต่ข้าก็ไม่ได้บอกเขาว่าเป็นใคร ข้าเพียงบอกเขาถึงการดำรงอยู่ของเจ้า”
หลี่ฉางโซ่วอดจะขมวดคิ้วไม่ได้
แล้วนักพรตเต๋าตู้เอ้อร์เจินเหรินรู้ด้วยหรือไม่ว่า ข้าคือเทพวารีแห่งศาลสวรรค์?
เหตุใดถึงต้องแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปภายนอก?
ทว่าเมื่อพิจารณาว่า ทั้งตู้เอ้อร์เจินเหรินและเจ้าสำนักต่างก็เป็นอาจารย์และศิษย์กัน ซึ่งเปรียบดั่งเป็นบิดาและบุตรเช่นกัน จึงเป็นเรื่องสมเหตุผลที่เขาจะไม่ปิดบังเรื่องนี้กับตู้เอ้อร์เจินเหริน
หลี่ฉางโซ่วพลันถอนหายใจเบาๆ ในใจ บัดนี้ แผนพเนจรของยอดเขาหยกน้อยกำลังถูกกดดันให้ต้องรีบลงมือจัดการโดยด่วนแล้วจริงๆ!
หลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วแน่น ไฉนนางถึงรู้สึกว่า แม้ศิษย์พี่และเจ้าสำนักกำลังคุยกันอย่างกระตือรือร้น แต่ก็ดูเหมือนว่า… พวกเขาทั้งสองคนจะไม่ได้พูดในเรื่องเดียวกัน?
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์ไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ ศิษย์เพียงแค่โชคดีเท่านั้น และในระหว่างทางก็ยังมีอุปสรรคพลิกผันได้มากมาย”
“เจ้าคิดเช่นนั้นก็ไม่เลว” จี้อู๋โหย่วยิ้มและกล่าวว่า “พวกเราล้วนไม่มีใครที่สามารถกำหนดภูมิหลังของตัวเราเองได้ ไม่ว่าเราจะมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งหรือไม่ก็ตาม เราต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องทำงานหนักเพื่อเต๋าใหญ่”
ภูมิหลัง? หลี่ฉางโซ่วยิ่งทวีความสงสัยรุนแรงขึ้น
จู่ๆ หลิงเอ๋อร์ก็ถามขึ้นว่า “ท่านเจ้าสำนัก ท่านกำลังพูดถึงเรื่องใดกันแน่หรือเจ้าคะ?”
จี้อู๋โหย่วมีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาก้มศีรษะลงและกระแอมไอออกมาสองครั้งก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “ฉางโซ่ว เป็นเพราะข้าพูดคุยกับท่านอาจารย์ของข้ามากเกินไป ข้าบอกว่าท่านว่า ท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่มีบุตรชายคนหนึ่งที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ในสำนักตู้เซียนของเรา
จากนั้นอาจารย์ของข้าก็คงจะไปเมาในที่ใดสักแห่งและบอกคนอื่นๆ ว่า ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่มีบุตรแล้ว ตอนนี้ข่าวลือกำลังแพร่สะพัดออกไปทั่ว…
แต่เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ข้าไม่เคยพูดว่าเจ้าเป็นบุตรชายของท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่!”
ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์ก็อดจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผากไม่ได้
………………………………………………………………..
[1] อุปสรรคมากมาย
[2] มาจากคนเราควรยืนตัวตรงเมื่อเดินและนั่งตัวตรงเมื่อนั่ง หมายถึง คนเราควรเปิดเผย เที่ยงธรรม และตรงไปตรงมา ไม่ทำในสิ่งที่ผิดต่อมโนธรรมของตน และไม่ประพฤติตนนอกลู่นอกทาง