ตอนที่ 188-1 ความจริง

เฉียวเวยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยและจีอู๋ซวงว่า “เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกหมิงซิวนะ”

จีอู๋ซวงไม่มีความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น นางอยากให้สตรีนางนี้ไม่ต้องไปรบกวนนายน้อยจะแย่อยู่แล้ว

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกลับรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย “ไม่บอกเขาแล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไร”

เฉียวเวยจึงบอกว่า “อย่างน้อยข้าอยากหาเบาะแสให้ได้ก่อนแล้วค่อยบอกเขา เขาจะได้ไม่พะวงซ้ายพะวงขวา”

ช่วงนี้นางอยู่ที่บ้านตระกูลจีตลอด จะโดนวางยาก็ต้องอยู่ในบ้านตระกูลจีนี่แหละ นางไม่มั่นใจว่าหากนางวิ่งไปบอกเขาว่า นี่ ในบ้านท่านมีคนคิดทำร้ายข้า เขาจะมีปฏิกิริยาเช่นไร

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจ “เอาเถอะๆ ถ้าเจ้าดึงดันจะทำเช่นนั้น เจ้าก็ไปสืบเถอะ หากมีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ก็อย่าลืมไปบอกนายน้อยเสีย หากไม่กล้าบอกเขาก็บอกลุงเยี่ยน ลุงเยี่ยนจะช่วยเอง นะ?”

เฉียวเวยระบายยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณลุงเยี่ยนมาก”

หลังจากบอกลาทั้งสองแล้ว เฉียวเวยก็ไปที่ร้านผ้าแถวนั้นเพื่อหาซื้อเสื้อผ้าสะอาดๆ ตัวใหม่เปลี่ยนก่อน ตอนนางเข้าไปข้างใน เลือดที่อยู่เต็มหน้าทำให้แขกในร้านตกใจจนพากันวิ่งหนีไปหมด ยังดีที่นางทำอะไรว่องไว จึงยังไม่ถึงขั้นให้เถ้าแก่เนี้ยแจ้งต่อทางการ

เงินพวกนี้นางค้นมาได้จากตัวชายชุดดำเหล่านี้ เมื่อเอามาใช้จึงไม่ปวดใจเท่าไรนัก

หลังจากจัดการจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว เฉียวเวยก็ไปยังจุดที่พลัดหลงกับจีหมิงซิว จีหมิงซิวกำลังตามหานางอยู่ด้วยความร้อนใจดังคาด พอเห็นนางเดินมาเลยรีบคว้าแขนนางไว้ทันที “เจ้าไปไหนมา”

เฉียวเวยยิ้มบอกว่า “เมื่อกี้โคมไฟโดนชนจนหลุดมือไป ข้าจะวิ่งไปเก็บแต่เก็บไม่ได้ เลยเหลือมาแค่ก้านนี่แหละ” นางพูดพลางแกว่งไม้โล้นๆ ในมือ แล้วจึงหันไปมองมือเขา แม้แต่ก้านก็ยังไม่เหลือ

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไร จีหมิงซิวจึงค่อยๆ เบาใจลง “โคมไฟไม่อยู่แล้วก็ยังซื้อใหม่ได้ เดือนหน้าขุนนางทูตจากหนานฉู่จะมาแล้ว ถึงตอนนั้นหลายที่จะต้องจัดเทศกาลโคมไฟแน่ ข้าจะพาเจ้ากับลูกออกมาด้วยกันนะ”

“อื้อ” เฉียวเวยพยักหน้า

สายตาของจีหมิงซิวมองลงไปที่ตัวนาง “เจ้าเปลี่ยนชุดหรือ”

“เมื่อกี้หกล้ม เปรอะไปทั้งตัว เลยไปซื้อตัวใหม่เปลี่ยน” เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ท่านคงไม่ได้คิดว่าข้าแอบไปเจอชายอื่นลับหลังท่าน ถึงได้เปลี่ยนชุดใหม่หรอกกระมัง”

จีหมิงซิวมองนางด้วยสายตาอันตราย

ใจนางเต้นตึกตัก เบ้ปากเอ่ยว่า “ล้อเล่นน่ะ”

จีหมิงซิวพานางไปขึ้นรถม้า ถึงแม้นางจะพยายามทำท่าให้ดูสบายๆ เต็มที่ แต่จีหมิงซิวมีสายตาดีเพียงใด แทบจะมองออกในทันทีว่านางดูแปลกๆ “เมื่อกี้ไปเจอใครมาหรือ”

“หือ?” เฉียวเวยอึ้งไป พอหันไปสบกับสายตาที่ล้ำลึกราวกับหุบเหว ความลับในใจก็คล้ายจะเปิดเผยออกมาใต้แสงตะวันทันที นางเกือบทำท่าเลิ่กลั่ก พยายามตั้งสติเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ข้าไม่อยากเล่าได้หรือไม่”

จีหมิงซิวหรี่ตาลง

นางบิดนิ้วเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากโกหกท่าน”

“ยิ่นอ๋อง?” จีหมิงซิวถาม

เฉียวเวยพึมพำบอกว่า “ถ้าท่านยังเดามั่วซั่วอีกข้าจะโกหกแล้วนะ”

จีหมิงซิวมองนางด้วยสายตาซับซ้อน “ได้ ข้าไม่เดาแล้ว และจะไม่ถามแล้ว ไว้เจ้าอยากบอกก็ค่อยบอกข้า”

เฉียวเวยพยักหน้า

จีหมิงซิวโอบบ่าอันอ่อนนุ่มของนางไว้ ให้นางเขยิบเข้ามาในอ้อมแขนตน นางฟังเสียงหัวใจที่เต้นอย่างมีพลังแล้วหลับตาลงช้าๆ

กลับมาพูดถึงปี้เอ๋อร์ พอนางได้รับคำสั่งของเฉียวเวยก็นั่งบนเก้าอี้เฝ้าอยู่หน้าประตูตลอด ฉานเอ๋อร์ตามซาลาเปาน้อยทั้งสองไปที่จวนกั๋วกง เหลียนเอ๋อร์ถูกจัดให้ไปทำอย่างอื่น เวลานี้จึงเหลือสาวใช้เป็นนางกับเยียนเอ๋อร์สองคน

เพราะปี้เอ๋อร์ช่วยขอลาหยุดให้เยียนเอ๋อร์ เยียนเอ๋อร์ซาบซึ้งใจยิ่งนัก จึงเข้ามาสนิทสนมกับนาง พอเห็นอีกฝ่ายนั่งเย็บพื้นรองเท้าอยู่ทั้งบ่าย จึงถามด้วยความใคร่รู้ว่า “ทำให้คุณชายหรือ”

ปี้เอ๋อร์พลันตาเป็นประกาย “ไม่ใช่ ทำให้พ่อข้า”

เยียนเอ๋อร์ยิ้ม มองประตูห้องที่ปิดสนิท “ฮูหยินยังไม่ตื่นหรือ ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว นางไม่กินมื้อเย็นหน่อยหรือ”

“ไม่กินแล้ว” ปี้เอ๋อร์ตอบ

เยียนเอ๋อร์บอกว่า “ข้าเฝ้าแทนเจ้าก็แล้วกัน เจ้าไปพักหน่อยเถอะ”

ปี้เอ๋อร์ยิ้มพลางโบกมือ “ไม่ต้องๆ ฮูหยินให้ข้าเฝ้า หากรู้ว่าข้าหนีไปพักเสีย จะลงโทษข้าได้!”

เยียนเอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย “ฮูหยิน…ดุกับเจ้าเพียงนั้นเลยหรือ”

ปี้เอ๋อร์นึกถึงตอนที่ทั้งสามสร้างเรื่องตอนยังอยู่บนเขา ก็เอ่ยด้วยใจที่สั่นสะท้านว่า “ก็ใช่น่ะสิ นางดุมากนะ ดังนั้นทางที่ดีเจ้าอย่าไปทำให้นางโกรธจะดีกว่า”

เยียนเอ๋อร์พยักหน้ารับรู้ กำลังจะพูดอะไรอีก จีหมิงซิวก็กลับมาพอดี

เยียนเอ๋อร์กับปี้เอ๋อร์ลุกขึ้นทำความเคารพเขา “คุณชาย”

จีหมิงซิวตอบอื้อเรียบๆ คำหนึ่ง “ออกไปกันเถอะ ไม่ต้องรับใช้แล้ว”

“เจ้าค่ะ” เยียนเอ๋อร์ถอยออกไป

ปี้เอ๋อร์เดินย่องไปใต้กำแพงที่เรือนหลังแล้วกระซิบว่า “ฮูหยิน?”

“อยู่นี่!” เฉียวเวยปีนกำแพงแล้วกระโดดลงมา ปัดมือพลางบอกว่า “ไม่มีอะไรกระมัง”

ปี้เอ๋อร์ “ไม่มีเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยเอ่ยเสียงเบาว่า “พรุ่งนี้เจ้ากลับไปที่บ้านบนเขาที ไปหาพ่อข้าบอกให้เขาช่วยปรุงยาห้าทิวาสราญให้ข้าหน่อย”

“ห้าทิวาสราญคืออะไรหรือ” ปี้เอ๋อร์ถาม

เฉียวเวยบอกว่า “ถือเป็นยาเหมิงฮั่นชนิดหนึ่งกระมัง เจ้าอย่าเพิ่งถามอะไรให้มาก พรุ่งนี้รีบไปแต่เช้า หากมีคนถามให้บอกแค่ว่าสมุนไพรที่ข้ามีตอนนี้ไม่พอใช้ เจ้าเลยต้องไปหาซื้อ”

ปี้เอ๋อร์ตอบรับ “เจ้าค่ะ!”

วันต่อมาฟ้ายังไม่ทันสาง ปี้เอ๋อร์ก็ถือป้ายออกจากจวนไป ภรรยาที่แต่งงานใหม่ออกไปไหนไม่ได้ แต่สาวใช้ของภรรยาที่แต่งงานใหม่กลับไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ พอได้ยินว่านางจะไปหาซื้อสมุนไพรให้บ้านชิงเหลียน หญิงรับใช้ที่หน้าประตูก็ไม่รู้กระตือรือร้นเพียงใด ยังถามด้วยว่าต้องให้เตรียมรถหรือไม่ แต่ปี้เอ๋อร์ก็ขอบคุณแล้วปฏิเสธไป

ปี้เอ๋อร์ไปที่ร้านเช่ารถม้า หารถม้ามาคันหนึ่งแล้วรีบเดินทางขึ้นเขาไปเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

พอได้ยินว่าบุตรสาวอยากได้ห้าทิวาสราญ เฉียวเจิงก็ไม่ได้พูดอะไร ขึ้นเขาไปเด็ดสมุนไพรมาให้ เพียงครึ่งชั่วยามก็ปรุงออกมาให้จนเรียบร้อย เขายังเอาสมุนไพรที่เฉียวเวยต้องใช้เป็นประจำใส่ตะกร้ามาให้ด้วย แล้วให้ปี้เอ๋อร์เอาไปให้เฉียวเวย

ปี้เอ๋อร์คิดในใจว่า บิดาแท้ๆ อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน พ่อสามีของเฉียวเวยคนนั้นไม่เห็นสนใจสักนิดว่าเฉียวเวยจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ขาดเหลืออะไรหรือไม่

ปี้เอ๋อร์นำเอาห้าทิวาสราญกลับเมืองหลวงไป นางเดินทางรวดเร็ว ตอนนี้จึงเพิ่งเวลาเย็นเท่านั้น

เฉียวเวยรับขวดยาไปแล้วสั่งให้ปี้เอ๋อร์ปิดประตู จากนั้นก็เปิดขวดออก ใช้ไม้เขี่ยมาไว้บนกระดาษ สีออกเหลือง ดูแวบแรกคล้ายแป้งข้าวโพด พอดมกลิ่นกลับเหมือนที่จีอู๋ซวงบอก ไม่มีกลิ่นอะไรเลย ส่วนพอชิมขึ้นมาน่ะหรือ…