ตอนที่ 188-2 ความจริง

หากจีอู๋ซวงอยู่ที่นี่คงตกใจตายเพราะนางแน่ คนอื่นเขาแค่ได้กลิ่นนิดหน่อยก็สลบไม่ฟื้นแล้ว นี่เจ้าถึงขั้นกล้ากินเลยหรือ!

“นี่ไม่ใช่รสแป้งธรรมดาหรอกหรือ พ่อข้าทำอะไรผิดไปหรือไม่” เฉียวเวยทำปากแจ๊บๆ ใช้ปลายนิ้วแตะขึ้นมาเล็กน้อยแล้วยื่นไปตรงหน้าปี้เอ๋อร์ “เจ้าลองดมดู ใช่แป้งหรือไม่”

ปี้เอ๋อร์โน้มตัวไปดมทีหนึ่ง ทันในนั้นสองตาก็ลอยคว้าง ล้มลงกับพื้นไม่รับรู้อะไรอีกเลย…

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ดูท่าคงหยิบมาไม่ผิด”

ในเมื่อรู้แล้วว่าอู่รื่อฮวนหน้าตาอย่างไร หลังจากนี้ก็ง่ายแล้ว

คนผู้นั้นที่วางยานาง คงไม่มีทางบังเอิญซื้อมาแค่หยิบมือแน่ อย่างไรก็ต้องยังเหลืออยู่ หากหาห้าทิวาสราญที่เหลือเจอ ก็เท่ากับเจอหลักฐานแล้ว

น่าเสียดายก็แต่ชายชุดดำเหล่านั้นตายไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นนางยังพอจะมีพยานบุคคลอยู่ เมื่อพวกมันโดนจับได้ คิดจะไม่จับตัวคนร้ายออกมาก็ยังยาก

คนร้ายเป็นใครกันแน่นะ

เหล่าฮูหยินกับจีซั่งชิงสามารถตัดออกไปได้ สองคนนี้ไม่มีแรงจูงใจให้ลอบเล่นงานนาง

ส่วนคนอื่น หลี่ซื่อกับนางเคยปะทะคารมกันมาครั้งหนึ่ง สวินหลันเป็นแม่เลี้ยงของหมิงซิว สองคนนี้น่าสงสัยที่สุด ป้าจีซวงก็ใจดีและอบอุ่นกับนางยิ่งนัก แต่นางจะยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่นางจะลอบเล่นงานตนออกไป

ถึงอย่างไรจีซวงก็เป็นบุตรสาวหลัก นางอยู่ในบ้านตระกูลจีได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างผู้ชาย ตัวนางเป็นสะใภ้ บุตรที่นางให้กำเนิดใช้แซ่จี และจะมีสิทธิ์ได้สืบทอดตระกูลจี

แต่คำถามคือ หากกำจัดนางไปแล้ว นางจะแย่งสิทธิ์สืบทอดตระกูลกลับมาจากจิ่งอวิ๋นได้หรือ

นี่มันคนละเรื่องกันชัดๆ

ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวอะไรกับสิทธิ์สืบทอดตระกูล น่าจะเป็นแรงจูงใจอื่น

จะคืออะไรกันนะ

จีซวงกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ว่ากันว่าตอนท้องหากอ่านหนังสือให้มาก ต่อไปบุตรที่คลอดออกมาจะฉลาด นางอ่านไปได้ครึ่งหนึ่ง บ่าวก็เข้ามารายงานว่าฮูหยินน้อยมา

จีซวงให้เชิญเฉียวเวยเข้ามา นางยิ้มแล้วดึงมือเฉียวเวยไปจับ ให้เฉียวเวยขึ้นมานั่งบนตั่งอุ่น “ในที่สุดก็ยอมมาเยี่ยมป้าเสียที”

เฉียวเวยยิ้มตอบว่า “ครั้งก่อนที่กลับบ้าน ข้านำเห็ดหอมกลับมาด้วยนิดหน่อย ข้าเลยเอามาให้ท่านป้าชิม”

จีซวงบ่นว่า “มาก็มาแล้ว ยังจะเอาของขวัญมาให้อีก! เห็นเป็นคนอื่นเกินไปแล้ว!”

เฉียวเวยวางกล่องลงบนโต๊ะ จีซวงเปิดออกดูก็เอ่ยด้วยความตกใจว่า “เอ๊ะ นี่มันเห็ดหยางตู่[1]นี่!”

เห็ดหยางตู่นั่นไม่ใช่ถูกๆ มีในปริมาณจำกัด ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่อย่างตระกูลจี ก็น้อยนักที่จะได้กินเห็ดชนิดนี้

“เจ้ามีใจแล้ว” จีซวงยิ่งยิ้มกว้างขึ้น

เฉียวเวยหยิบขวดกระเบื้องออกมาจากอกเสื้อ “นี่เป็นผงยาที่พ่อข้าทำเอง กินแล้วช่วยให้ครรภ์สงบได้”

“จริงหรือ เอามาให้ข้าชิมที” จีซวงพูดพลางรับขวดไป เทออกมาแล้วชิมไปคำหนึ่ง นางขมวดคิ้ว “นี่ไม่ใช่แป้งข้าวโพดหรอกหรือ”

เป็นแป้งข้าวโพดจริงๆ หน้าตาไม่ต่างอะไรกับห้าทิวาสราญ หากจีซวงเป็นคนร้าย นางไม่มีทางกินลงไปทันทีเช่นนี้แน่

เฉียวเวยทำหน้าประดักประเดิด “แป้งข้าวโพด? ตายแล้ว ข้าหยิบมาผิด พรุ่งนี้ข้าจะส่งมาให้ท่านป้าใหม่นะเจ้าคะ”

จีซวงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้ากลับอยากให้เจ้ามาบ่อยๆ แต่หากเพื่อแค่มาส่งของแล้วต้องลำบากให้เจ้าเดินไปเดินมา หมิงซิวรู้เขาคงหาว่าข้าไม่รักเจ้าแน่! อีกเดี๋ยวข้าให้ฮว่าเหมยตามเจ้ากลับไปบ้านชิงเหลียนก็แล้วกัน”

เฉียวเวยทำหน้าลำบากใจ “จะให้พี่ฮว่าเหมยวิ่งจนขาขวิดได้อย่างไรกัน เดี๋ยวข้ากลับไปให้ปี้เอ๋อร์เอามาให้ดีกว่า”

ทั้งสองเกรงใจกันไปมา สุดท้ายเป็นจีซวงที่ยอมถอย

เฉียวเวยออกจากเรือนเหนือ

จากนั้นก็ใช้ข้ออ้างไปส่งใบยาไปที่เรือนตะวันออก และใช้วิธีคล้ายกันนี้ในการลองเชิงหลี่ซื่อ หลี่ซื่อพอได้ยินเฉียวเวยบอกว่าเครื่องหอมของนางสามารถรักษาโรคไข้รากสาดน้อยของนางได้ นางก็สาดลงเตาไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงทันที

หลี่ซื่อก็ไม่ใช่

อันที่จริงก่อนมานี่ เฉียวเวยเดาไว้อยู่แล้วว่าไม่ใช่พวกนาง เพียงแต่ไม่ว่าเรื่องใดก็คุยกันที่หลักฐานเป็นสำคัญ ไม่อาจไม่หาหลักฐานเพียงเพราะนึกสงสัยน้อยและไม่อาจตัดสินทันทีเพราะสงสัยมากได้

ตอนนี้ข้อสงสัยในตัวหลี่ซื่อกับจีซวงตัดออกไปแล้ว หลังจากนี้ก็เหลือแค่เรือนถงที่ยังไม่ได้ไปหาหลักฐาน

นางไม่อยากมีปัญหากับเรือนถงเอาเสียเลย เพราะถึงอย่างไรคนที่อยู่ที่นั่นก็คือบิดาผู้ให้กำเนิดของหมิงซิว หากเกิดเป็นเรือนถงที่ทำจริงๆ…

“ฮูหยินน้อย?”

เสียงหญิงรับใช้คนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังนาง เฉียวเวยหลุดจากภวังค์ ถึงได้รู้ตัวว่าตนเดินมาที่เรือนถงโดยไม่รู้ตัว เฉียวเวยหันกลับไปมอง จำไม่ได้ว่าเคยพบนางมาก่อน

หญิงรันใช้คนนั้นยิ้มแล้วบอกว่า “บ่าวแซ่ซุนเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยรู้ทันที “ข้าจำได้แล้ว วันแต่งงานข้าวันนั้น เจ้าเคยเข้ามาในห้องข้า”

“ใช่เจ้าค่ะ เป็นบ่าวเอง!” ซุนมามาเอ่ยด้วยสีหน้ายินดีว่า “ฮูหยินน้อยมาคารวะนายท่านกับฮูหยินกระมัง บ่าวจะไปแจ้งให้นะเจ้าคะ”

ซุนมามาผู้นี้น่าจะเป็นหญิงรับใช้ข้างกายหลิวเกอร์ ยามปกติดูแลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของหลิวเกอร์ ความคิดเรียบง่าย ไม่เหมือนโจวมามาที่มากเล่ห์เพทุบาย

ไม่นานซุนมามาก็ออกมา นางยิ้มเอ่ยว่า “ฮูหยินน้อย เชิญด้านในเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วจึงเดินเข้าเรือนถงไป

จีซั่งชิงกลับมาเป็นปกติแล้ว มีแค่สีหน้าที่ยังดูแย่อยู่เล็กน้อย เขานั่งอยู่ในห้อง หลิวเกอร์นั่งอยู่บนตัก กำลังอ่านเสียงเบาพลางพลิกหนังสือ สวินหลันนั่งอยู่ข้างคนทั้งสอง มองพวกเขาด้วยสายตาอบอุ่น

สามคนพ่อแม่ลูกช่างเป็นภาพที่อบอุ่นหัวใจยิ่งนัก แต่ไม่รู้เหตุใดถึงขัดลูกหูลูกตาเฉียวเวยอยู่เล็กน้อย

หากองค์หญิงไม่ด่วนจากโลกนี้ไป หากสวินหลันไม่ได้แต่งงานเข้ามา ทั้งหมดนี้ควรจะเป็นของหมิงซิวกับจีหว่าน

“ท่านพ่อ ฮูหยิน” เฉียวเวยค้อมกายทำความเคารพ

จีซั่งชิงไม่ชอบยิ้มแย้ม น้ำเสียงก็พลอยเคร่งขรึมตามไปด้วย “นั่งสิ ดื่มชาก่อน”

สาวใช้เข้ามาเชิญให้นางนั่ง

เฉียวเวยบอกว่า “ข้าเอาของมาคืนให้ วันนี้ข้าเปิดกล่องอุปกรณ์แล้วเห็นว่าข้างในมีของเกินมาชิ้นหนึ่ง ไม่ใช่ของข้า เมื่อวานข้ามาที่เรือนถง คิดดูแล้วอาจจะเผลอหยิบติดมือไปตอนเก็บของ”

“ของอะไรหรือ” สวินหลันถามเสียงใจดี

เฉียวเวยจึงบอกว่า “ขวดเดิมของมันข้าทำแตกเสียแล้ว ข้าเลยไปหาขวดมาใส่ให้ใหม่” นางพูดพลางหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ที่ซุกไว้จนอุ่นออกมาจากอกเสื้อ

สวินหลันจะยื่นมือไปรับ เฉียวเวยกลับดึงที่ปิดขวดออกเทลงบนมือตนเอง “ท่านพ่อ ท่านดูสิ”

จีซั่งชิงกับหลิวเกอร์ที่นั่งอยู่บนตักเขาหันมามองเฉียวเวยพร้อมกัน หลิวเกอร์ไม่รู้จักของสิ่งนี้ รู้เพียงว่าเป็นสีเหลืองๆ ดูท่าทางจะน่าอร่อย

จีซั่งชิงขมวดคิ้ว “แป้งหรือ”

“กินได้หรือไม่” หลิวเกอร์ยื่นมือขาวอวบของตนออกมา

เฉียวเวยเอาผงแป้งยื่นไปตรงหน้าหลิวเกอร์

หลิวเกอร์จะยื่นมือมาจับ

สวินหลันคว้าข้อมือเขาไว้ทันที

[1] เห็ดหยางตู่ คือเห็นโมเรล