ตอนที่ 718 โดนสาดน้ำเย็นอีกครั้ง
แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นในตอนเช้า แต่หิมะก็ยังไม่ตก
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว แต่กลับมีหิมะตก ลมพัดหอบเกล็ดหิมะมา ทำให้หลินม่ายรู้สึกหนาวยิ่งขึ้น
เธอเคยตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้เห็นหิมะในเมืองหลวงครั้งแรก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหนาวเหน็บอย่างยิ่ง
หอพักและห้องสอบอยู่ห่างกันไม่ไกล ใช้เวลาเดินทางเพียงสิบนาทีเท่านั้น
แต่การเดินทางสิบนาทีนั้นเจ็บปวดมากสำหรับหลินม่าย เธอหนาวจนเกือบจะเป็นตะคริว
ทันทีที่มาถึงชั้นล่างของหอพัก เธอก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเธอที่ชั้นสอง
หลินม่ายตกใจมาก เสียงนั้นช่างคุ้นเคย
นี่คือเสียงเดียวกับเสียงที่เรียกเธอว่านังสารเลว!
เธอถอยหลังไปสองก้าวทันทีโดยสัญชาตญาณ น้ำเย็นพลันถูกเทลงมาอีกครั้ง
เป็นเพราะสัญชาตญาณอันรวดเร็วของเธอ หลินม่ายจึงหลบเลี่ยงน้ำเย็นในครั้งนี้ได้ทัน
เธอโมโหเป็นอย่างมาก จึงรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนและร้องตะโกน “ช่วยฉันจับคนที่พยายามสาดน้ำใส่ฉันที!”
เพื่อนของหลินม่ายโกรธเป็นอย่างมากที่ได้เห็นเช่นนั้น พวกเขาไม่เพียงช่วยเธอตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ยังแบ่งหน้าที่กันออกตามหาบุคคลผู้นั้นอีกด้วย
สองคนเฝ้าประตูหอพัก ส่วนคนอื่น ๆ ก็ต่างไล่ตามจับคนที่สาดน้ำใส่หลินม่าย
พวกเธอส่งเสียงดังโวยวายจนทำให้คุณป้าในหอพักตื่นตระหนก
คุณป้าผู้ดูแลหอพักลืมตาตื่นและโวยวายเสียงดัง
ภายใต้การโวยวายและการวิ่งอย่างสุดกำลังของเหล่าหญิงสาว หญิงสองคนที่สาดน้ำใส่หลินม่ายก็ถูกจับตัวได้
เด็กหญิงสองคนนี้ไม่ใช่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหวา เพราะความไม่คุ้นหน้าจึงทำให้พวกเธอถูกจับตัวได้ง่าย
เมื่อทั้งสองถูกจับตัว หนึ่งในพวกหล่อนยังคงถือหลักฐานซึ่งเป็นอ่างเคลือบอยู่ในมือ
แม้จะมีการปฏิรูปและเปิดประเทศมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ชีวิตของผู้คนยังคงยากจนอยู่มาก แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าทิ้งอ่างเคลือบแล้วหนีไปตัวเปล่า
ด้วยเหตุผลนี้ หญิงคนนั้นจึงไม่ยอมทิ้งอ่างเคลือบในมือ จนถูกจับได้พร้อมหลักฐาน
คุณป้าประจำหอพักและเพื่อนร่วมชั้นสองสามคนพาหญิงคนร้ายทั้งสองคนไปยังแผนกรักษาความปลอดภัย
หลินม่ายไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป เธอกลับไปยังหอพัก เช็ดผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนูแล้วเอนกายลงนอน
แต่เธอนอนไม่หลับ ร่างกายของเธอปั่นป่วน ทั้งร้อนรุ่มและหนาวเหน็บ
ขณะหลินม่ายกำลังงุนงงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น รูมเมทของเธอก็กลับมาหลังจากรับประทานอาหารกลางวันในโรงอาหาร
ไม่มีรูมเมทห้องคนใดสังเกตเห็นหลินม่ายนที่อนอยู่บนเตียงชั้นบน
พวกเธอซุบซิบกันขณะเดินเข้ามาในห้อง “หลินม่ายทำให้ใครขุ่นเคืองเหรอ? ได้ข่าวว่าหล่อนถูกสาดน้ำถึงสองครั้ง”
รูมเมทอีกคนกล่าวขึ้น “ได้ข่าวว่าเธอไปยุ่งเกี่ยวกับแฟนของคนอื่นจนทำให้ใครเขาไม่พอใจเอา”
“ไร้สาระ!” เหมียวเหมียวเป็นคนแรกที่ยืนขึ้นและโต้กลับ “สามีของหลินม่ายเพรียบพร้อมและหล่อเหลามาก อีกทั้งเขายังเป็นศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย หากม่ายจื่อทำแบบนั้น เธอก็คงเป็นคนโง่เขลามาก ผู้หญิงคนใดกันที่มีสามีที่เพียบพร้อมในมือแล้วจะยอมปล่อยไป”
เสิ่นอวิ้นและคนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าแสดงความเห็นชอบกับคำพูดของเหมียวเหมียว
รูมเมทคนนั้นยิ้ม “ฉันไม่ได้สร้างข่าวลือพวกนั้นขึ้นเองนะ ฉันได้ยินมาจากสวีชิงหยา”
กัวเซี่ยงหงตะคอกอย่างเย็นชา “เธอเชื่อคำพูดของสวีชิงหยาเหรอ? เธอเชื่อข่าวลือนั้นได้ แต่ไม่ควรเอาไปบอกเล่าต่อหากไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า!
“ก็จริง” รูมเมทของเธอต่างงุนงง “หลินม่ายไม่ใช่คนชอบสร้างเรื่อง ทำไมหล่อนถึงตกไปอยู่ในข่าวลือแบบนี้ได้?”
เสิ่นอวิ้นกล่าว “ใครจะรู้ อาจเป็นเพราะหล่อนสวยและเก่งจนคนอิจฉามั้ง”
รูมเมทอีกคนกล่าวขึ้น “สวยเกินไปก็ไม่ดีหรอก มีสำนวนที่บอกว่าความงามคือหายนะไม่ใช่เหรอ? เช่นเดียวกับความงดงามของหลินม่ายที่ดึงดูดปัญหามาให้เธออยู่เสมอ”
หลินม่ายซึ่งนอนอยู่บนเตียงกล่าวขึ้น “ความงามนำพาความลำบากมาสู่ชีวิตฉัน แม้แต่พวกเธอก็ยังมีปัญหากับใบหน้าของฉัน! ฉันควรสั่งสอนคนพวกนั้นหน่อยไหม?!”
หญิงทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกใจจนทุบตีหน้าอกตัวเอง “ตาเถร! ตกใจหมดเลย หัวใจจะวาย…”
เถียนเฟินกล่าวขึ้น “นี่มันกลางวันแสก ๆ ทำไมเธอถึงมานอนอยู่ใต้ผ้าห่ม? ไม่สบายหรือเปล่า?”
หล่อนเอื้อมมือไปทดสอบอุณหภูมิร่างกายของหลินม่ายพลางเบิกตากว้าง “หน้าผากเธอร้อนมาก เธอมีไข้ ต้องรีบไปหาหมอแล้ว”
หลินม่ายจับมือหล่อน “ไม่เป็นไร แค่นอนพักก็หายแล้ว”
เธอไม่ต้องการไปหาหมอ
เพื่อนร่วมห้องหลายคนมาที่ข้างเตียงของหลินม่าย ผลัดกันแตะหน้าผากเธอเพื่อวัดอุณหภูมิ และถามเธอว่ากินข้าวเที่ยงหรือยัง
หลินม่ายหลับตาพร้อมตอบกลับ “ยัง”
เหมียวเหมียวอาสาซื้ออาหารกลางวันให้เธอ
หลินม่ายบอกเธอว่าอย่าซื้อเนื้อสัตว์ที่มีไขมันเช่นหมูสามชั้น
แม้สาว ๆ ในสมัยนี่จะชอบกินหมูสามชั้น แต่หลินม่ายไม่ชอบ
เหมียวเหมียวตอบตกลงโดยไม่หันกลับมามอง
เสิ่นอวิ้นเทน้ำร้อนให้เธอดื่มหนึ่งถ้วย
แม้จะดื่มน้ำร้อนแล้ว แต่หลินม่ายก็ยังไม่ดีขึ้น อาการไข้และหวัดดูเหมือนจะแย่ลง
ส่วนใหญ่จะแสดงออกด้วยการจามไม่หยุด จามจนน้ำตาไหล
เหมียวเหมียวไปยังร้านซาลาเปาของหลินม่ายเพื่อซื้อซุปเนื้อแกะและซาลาเปากะหล่ำปลีดองที่เธอโปรดปราน และเมื่อกลับมา เธอตกใจมากที่เห็นหลินม่ายร้องไห้อย่างขมขื่น
“ฉันออกไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้?”
หล่อนวางกล่องอาหารกลางวันไว้บนโต๊ะ หยิบกระดาษชำระให้หลินม่ายพลางเอ่ยถาม “เธอร้องไห้ทำไม? ใครรังแกเธอ? ให้ฉันช่วยจัดการไหม? ทำไมครั้งนี้เธอถึงยอมพ่ายแพ้อย่างง่ายดายนักล่ะ?”
“ฮัดเช่ย!” หลินม่ายน้ำมูกไหลและน้ำตาไหล “เธอประเมินฉันต่ำไป สิ่งเดียวที่จะเอาชนะฉันได้คือความไม่เที่ยงของโชคชะตาที่ไม่มีใครเผชิญได้”
เธอชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะ “ขอซุปเนื้อแกะ”
เหมียวเหมียวส่งซุปเนื้อแกะให้เธอตามคำขอ “อะไรคือความไม่เที่ยงของโชคชะตา? แสดงให้ฉันเห็นหน่อยสิว่ามันหน้าตาเป็นยังไง?”
“ฮัดเช้ย!” หลินม่ายรู้สึกขบขันกับเธอและอยากจะหัวเราะ แต่ก็จามออกมาแทน
เมื่อเห็นว่าจมูกของเธอแดงจากการจาม เหมียวเหมียวจึงเอ่ย “เธอต้องไปหาหมอแล้วล่ะ”
“ฮัดเช่ย! ไม่ต้องพาฉันไปหาหมอหรอก แค่ช่วยดูแลฉันด้วยความรักก็พอ”หลินม่ายพูดพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม เธอก้มหน้าลงเพื่อดื่มซุปเนื้อแกะสองอึก
ซุปเนื้อแกะร้อน ๆ สองคำนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าร่างกายได้รับการฟื้นฟู
ในเวลานี้ มีคนเคาะประตูหอพักซึ่งถูกปิดไว้ก่อนจะผลักมันให้เปิดออก
ฟางจั๋วหรานก้าวเข้ามา จ้องมองหลินม่ายโดยไม่สนใจใครอื่น “ได้ยินว่าคุณต้องการได้รับการดูแลด้วยความรักใช่ไหม?”
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจ “คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”
“ก็คุณไม่สบาย ผมมาไม่ได้เหรอ?” ฟางจั๋วหรานเร่งรัด “รีบดื่มซุปแกะในขณะที่ยังร้อนอยู่เร็ว เพราะถ้าเย็นเกินไปคงจะไม่อร่อย”
หลินม่ายดื่มซุปเนื้อแกะอย่างเชื่อฟังและกินซาลาเปาไส้กะหล่ำปลีดองอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เธอรับรู้ทันทีว่าต้องมีคนบอกฟางจั๋วหรานเรื่องเธอแน่
ฟางจั๋วหรานไม่ใช่พระเจ้า เขาไม่มีทางยังรู้เองได้ ดังนั้นแล้วจะต้องมีคนบอกเขาแน่
เหมียวเหมียวยกมือขึ้น “ฉันเป็นคนโทรเรียกคุณหมอฟางมาเองแหละ ภรรยาป่วยจะไม่ให้เรียกสามีได้ยังไง? เธอไม่ควรมาเสียอารมณ์เรื่องนี้”
ฟางจั๋วหรานบอกหลินม่าย “ห้ามโกรธนะ หากจะให้ตอบแทนทุกคนด้วยอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการขอบคุณก็คงไม่ทัน เอาเป็นว่าหลังจากสอบเสร็จเราไปกินหม้อไฟที่ร้านเปาห่าวชือกันเถอะ!”
เหล่ารูมเมทที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตื่นเต้น “คุณกำลังพูดถึงร้านเปาห่าวชือที่เพิ่งเปิดใหม่หรือเปล่าคะ?”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
รูมเมทของหลินม่ายตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น และพวกหล่อนก็พยักหน้าเห็นด้วย
แม้ร้านสาขาของเป่าห่าวชือจะไม่ได้เปิดในเมืองหลวงมาเป็นเวลานาน แต่ก็ได้รับชื่อเสียงอย่างมาก
ติดที่ราคาค่อนข้างแพง รูมเมทของเธอจึงลังเลที่จะลองชิม
แต่เมื่อมีคนเสนอตัวว่าจะจ่ายให้ก็ถือเป็นโอกาสดีสำหรับพวกหล่อนที่จะได้ลิ้มลองอะไรใหม่ ๆ โดยไม่ต้องเสียเงิน!
หลินม่ายใช้ประโยชน์จากเวลาที่ฟางจั๋วหรานพูดคุยกับเพื่อนร่วมห้องของเธอกินซาลาเปาไส้กะหล่ำปลีดองสองชิ้นจนหมด
เธอรู้สึกว่าอาการหวัดบรรเทาลงมาก อย่างน้อย ความถี่ของการจามก็ลดลงไปมาก
แต่ฟางจั๋วหรานยืนยันที่จะพาเธอไปหาหมอ
จากประสบการณ์ของเขา หลินม่ายไม่ได้เป็นหวัด แต่เป็นไข้
หลินม่ายไม่ยอมไป มือทั้งสองข้างจับราวบันไดข้างเตียงไว้แน่น
แต่เธอไม่แข็งแรงเท่าฟางจั๋วหราน ดังนั้นเขาจึงดึงเธอลงจากเตียงและอุ้มเธอพาดไหล่ท่ามกลางสายตาของทุกคน และเดินโซเซข้ามถนนไปยังโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย
รูมเมททั้งเจ็ดคนในหอพักเดียวกันโผล่หัวออกมามองหลินม่ายที่ถูกอุ้มออกไปราวกับกระสอบทรายด้วยความอิจฉา
เสิ่นอวิ้นประสานมือไว้ที่หน้าอกของเธอ “ฉันอยากมีแฟนแบบนี้จริง ๆ”
อีกหกสาวพูดพร้อมกัน “ฉันด้วย”
เมื่อฟางจั๋วหรานพาหลินม่ายไปยังโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย แพทย์ประจำมหาวิทยาลัยที่กำลังมีอาการง่วงซึมเห็นสิ่งนี้ก็ลุกขึ้นด้วยความตกใจ พลางถาม “คนไข้เป็นอะไรมาครับ?”
ฟางจั๋วหรานวางหลินม่ายลงและพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “ภรรยาของผมมีไข้เนื่องจากไข้หวัด และเธอไม่ยอมมาหาหมอ ดังนั้นผมจึงพาเธอมาที่นี่เพื่อฉีดยา”
มุมปากของหมอประจำโรงเรียนกระตุก สาว ๆ เดี๋ยวนี้ทำแบบนี้กันทุกคนแล้วเหรอ?
เดี๋ยวนะ ทำไมผู้ชายคนนี้เรียกผู้หญิงคนนี้ว่าภรรยา?
สองคนนี้เป็นสามีภรรยากันเหรอ?
ไอ้หยา! น่าหมั่นไส้จริง ๆ คิดจะสมน้ำหน้าคนไม่มีแฟนอย่างฉันหรืออย่างไร
ทำไมต้องทำร้ายคนไร้ใครกอดอย่างฉันด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อ้าว ยัยชิงหยาอีกแล้วเหรอ อยากโดนจับมัดแล้วสาดน้ำใส่ท่ามกลางอากาศติดลบหิมะตกหนักดูมั่งไหมคะ เผื่อโรคเจ้าหญิงที่เป็นอยู่มันจะหาย เป็นเอามากนะ ส่งเข้าไปรักษาแผนกจิตเวชเสียทีเถอะ
ไหหม่า(海馬)