เมื่อได้ฟังเว่ยซื่อกล่าวโทษดังเช่นนั้น เสียนเฟยก็ล้มเลิกความคิดที่จะให้หลานชายถอดเฉี่ยวเหนียงออกจากตำแหน่ง
หากคุณชายแห่งอันกั๋วกงแต่งงานกับหญิงสามัญชน แต่ดันเข้ากันไม่ได้ก็แค่หย่าร้างและแต่งงานใหม่ก็สิ้นเรื่อง แต่ในเมื่ออันกั๋วกงเป็นครอบครัวฝั่งภรรยาของฉีอ๋อง เสียนเฟยจึงไม่ต้องการให้มลทินเรื่องจากปลดภรรยาของหลานชายมากระทบอนาคตของบุตรชายของนาง
นี่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่ว่าจุดอ่อนนั้นจะเล็กน้อยเพียงใด แต่หากทำให้คู่แข่งได้ประโยชน์ เสียนเฟยก็จะไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด
เว่ยซื่อพร่ำโพนทะนาอยู่ครู่ใหญ่จนน้ำชาในถ้วยเย็นชืด ครั้นยกขึ้นมาจิบ คิ้วของนางก็ขมวดด้วยความรู้สึกขัดใจ
เสียนเฟยเอ่ยโน้มน้าว “ท่านพี่สะใภ้อย่าได้ทุกข์ใจไปเลย อี้เอ๋อร์ยังเด็ก รออีกสักปีสองปีก็คงจะเข้าใจโลกมากขึ้นเอง ยังดีที่เขาเป็นเด็กกตัญญู…”
เว่ยซื่อส่ายศีรษะพลางพ่นลมตัดพ้อ “หากเจ้าเด็กคนนี้กตัญญูจริงๆ ตอนนั้นเขาคงไม่ยืนกรานหัวชนฝาจะแต่งงานกับหญิงสามัญชน…”
แม้ว่าจวนตงผิงปั๋วจะมียศต่ำกว่า แต่ถึงอย่างไรบุตรีของจวนปั๋วย่อมประเสริฐกว่าหญิงไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเป็นไหนๆ
เมื่อหวนนึกถึงความรังเกียจที่นางมีต่อเจียงซื่อในตอนแรก เว่ยซื่อก็รู้สึกจุกอกยิ่งนัก เพราะหากรู้เช่นนี้แต่แรก…
ครั้นเว่ยซื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เสียนเฟยก็โกรธขึ้งขึ้นมาทันที
หากตระกูลของนางไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย และแต่งงานกับจวนปั๋วให้สิ้นเรื่อง เจียงซื่อคงไม่กลายมาเป็นสะใภ้ของนาง
เรื่องนี้มิได้ก่อหายนะให้พี่สะใภ้เท่านั้น แต่มันยังส่งผลกระทบมาถึงนางด้วย
แต่เมื่อนึกถึงฤทธิ์เดชของสะใภ้ของเว่ยซื่อ ความโกรธในใจเสียนเฟยก็ค่อยๆ ลดลง นางเพียงแต่เอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านพี่สะใภ้คงทำได้เพียงสั่งสอนเฉี่ยวเหนียงให้อยู่ในโอวาท สภาพแวดล้อมเปลี่ยนคนได้ ต่อให้เฉี่ยวเหนียงจะมีชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่เมื่ออยู่ในจวนอันกั๋วกงนานวันเข้า อีกทั้งยังมีท่านพี่สะใภ้คอยอบรมสั่งสอน เดี๋ยวนางก็คงปรับตัวได้เอง”
เว่ยซื่อพยักหน้าอย่างจนใจก่อนจะชวนเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“สุขภาพของท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง”
“เหล่าฮูหยินสบายดี ยังคงแข็งแรงเหมือนเดิม”
“แล้วพี่ใหญ่ล่ะ ช่วงนี้ยุ่งหรือไม่”
“ท่านพี่ใหญ่ของเหนียงเหนียงมอบหมายงานส่วนใหญ่ให้ฉงหลี่ดูแล ตอนนี้เรียกยุ่งคงไม่ได้…”
ทั้งสองสนทนาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่น้ำเสียงของเสียนเฟยจะลดต่ำลง “ท่านพี่สะใภ้ทราบหรือไม่ว่า นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญของจางเอ๋อร์ ดังนั้นจะขาดแรงสนับสนุนจากพี่ใหญ่ไปเสียมิได้…”
เว่ยซื่อเงียบงันชั่วอึดใจแล้วจึงเอ่ย “หม่อมฉันเป็นผู้หญิง ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ…”
เสียนเฟยหัวเราะ “ข้าไม่สะดวกจะไปพบพี่ใหญ่ ท่านพี่สะใภ้ช่วยแจ้งเรื่องนี้แทนข้าก็พอ”
ครั้นเห็นเว่ยซื่อติดจะลังเล เสียนเฟยจึงถอนหายใจแผ่วเบา “หมู่นี้จางเอ๋อร์กำลังรับศึกหนัก เมื่อก่อนเขาอยู่กับภรรยาอย่างสุขสงบมานานหลายปี สะใภ้ของข้าคนนี้ก็เป็นคนมีความสามารถ จัดแจงธุระต่างๆ ในจวนเสียจนเรี่ยมเร้ แต่ใครจะคาดคิดว่านางจะประสบอุบัติเหตุขณะที่ออกไปถวายธูปที่วัด สภาพตอนนี้กลายเป็นคนวิกลจริตจนไม่สามารถออกไปพบหน้าผู้ใด อีกทั้งยังไม่รู้ว่านางจะอยู่ได้อีกนานเท่าใด… ท่านพี่สะใภ้ลองคิดดูสิว่า หากเวลานั้นมาถึง จางเอ๋อร์ที่ไม่มีคนคอยดูแลคงแย่แน่ อนาคตคงต้องรบกวนท่านพี่สะใภ้ช่วยเป็นธุระ…”
เว่ยซื่อใจเต้นแรง สายตายังคงจดจ้องไปที่รอยยิ้มลุ่มลึกของเสียนเฟย
ในเมื่อเสียนเฟยจงใจปล่อยเหยื่อล่อมาไว้ตรงหน้านางแล้วเว่ยซื่อมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ
หากฉีอ๋องได้ดี นางก็จะได้เป็นคนเลือกสตรีที่จะมาแต่งงานกับฉีอ๋อง ถึงแม้นางจะไม่มีบุตรี แต่ถึงอย่างไรในตระกูลของนางต้องมีหลานสาวอย่างแน่นอน
ฉีอ๋องได้ขึ้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งวันใด วันนั้นคงเป็นวันที่เว่ยซื่อมีความสุขด้วยเช่นกัน เพราะอันกั๋วกงเป็นตระกูลฝั่งมารดาของฉีอ๋อง ฉะนั้นแล้วพวกเขาจะได้ยืนเคียงข้างฉีอ๋องในวันนั้นอย่างแน่นอน
“เหนียงเหนียงวางพระทัยได้ หม่อมฉันจะกลับไปบอกท่านพี่ใหญ่ของเหนียงเหนียงให้เอง”
เสียนเฟยยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างสุขารมณ์
เว่ยซื่อกลับไปที่จวนกั๋วกง นางรอให้ถึงช่วงเวลาพักผ่อนในตอนค่ำเสียก่อนจึงจะเอ่ยเรื่องนี้กับอันกั๋วกง
อันกั๋วกงฟังแล้ว สีหน้าของเขาก็หม่นลง “ไร้สาระ เจ้าจะไปหาเหาใส่หัวกับเรื่องพวกนี้ทำไมกัน”
“นายท่าน นี่จะเป็นการหาเหาใส่หัวได้อย่างไรเจ้าคะ ฉีอ๋องเป็นหลานของท่าน หากเขาได้ดี พวกเราก็จะพลอยได้ดีไปด้วย…”
อันกั๋วกงหัวเราะเยาะเย้ย “ข้าว่าเจ้าคงเริ่มจะเลอะเลือนแล้วล่ะ ตอนนี้ข้าเป็นถึงอันกั๋วกง แล้วมันจะไปดีกว่านี้ได้อย่างไร ความมั่งคั่งและเกียรติยศในตอนนี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ”
เว่ยซื่อไม่เห็นด้วย “ท่านอ๋อง จวนอันกั๋วกงเป็นครอบครัวฝั่งมารดาของฉีอ๋อง ใครต่างก็เห็นว่าจวนของเราเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้ฉีอ๋อง แต่หากพวกเรานิ่งเฉยไม่ให้ความร่วมมือ หากฉีอ๋องแพ้ขึ้นมา คนอื่นๆ ไม่สนใจหรอกว่าความจริงเป็นเช่นไร ขอแค่ได้เหยียบย่ำพวกเราเป็นพอ แทนที่จะรอรับความพ่ายแพ้ สู้เราช่วยฉีอ๋องให้ได้รับชัยชนะไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”
“มันง่ายอย่างที่เจ้าคิดที่ไหนกัน!” อันกั๋วกงดึงหน้าเครียดขมึงพลางเอ่ยเสียงต่ำ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ข้ามีวิธีของข้า!”
“นายท่าน...”
เว่ยซื่ออยากจะกล่าวต่อ แต่อันกั๋วกงหลับตาและพลิกตัวหันหลังให้นางเสียก่อน
เว่ยซื่อขบริมฝีปากก่อนจะนอนหลับไปพร้อมกับความขับข้องใจ
แต่ทว่าอันกั๋วกงยังไม่หลับ
การที่น้องสาวเขาถูกส่งเข้าวังเป็นความคิดของท่านแม่ เขาไม่มีสิทธิ์คัดค้าน เมื่อเขาอายุมากขึ้น ได้เห็นไท่จื่อครองตำแหน่งรัชทายาทอย่างมั่นคง ในตอนนั้นเขาก็สบายใจ
แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่า วันหนึ่งไท่จื่อจะปลิดชีพตัวเอง และพาพวกเขาเข้าไปพัวพันกับความยุ่งยากครั้งนี้ แม้เขาจะเตือนภรรยาตัวเองว่าอย่าหาเหาใส่หัว แต่ในความเป็นจริง เมื่อถึงเวลาที่ต้องชักดาบสู้ เขาก็คงไม่อยู่เฉย
เพราะสุดท้ายแล้ว เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นจวนกั๋วกง
เพียงแต่ฉีอ๋อง…
เมื่อนึกถึงหลานชายที่เพียบพร้อมไปเสียทุกเรื่อง อันกั๋วกงกลับหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใดเขาถึงรู้สึกขัดใจหลานชายคนนี้
หลานชายของเขาเป็นเด็กดี เรียกว่าเป็นคนตรงไปตรงมาก็ย่อมได้ แต่เขากลับรู้สึกไม่ถูกชะโหลกกับคนประเภทนี้เท่าใดนัก
หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ อันกั๋วกงก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ แต่ไม่นานนัก เสียงกรนก็ดังขึ้น
……
เจียงซื่อกลับมาถึงจวนเยี่ยนอ๋องในวันที่เจ็ดของเดือนแรก
วินาทีที่เห็นหน้าเจียงซื่อ เจียงอีก็ปล่อยโฮยกใหญ่ “น้องสี่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที”
“เหตุใดพี่ใหญ่ถึงได้ผ่ายผอมเพียงนี้”
ริมฝีปากของเจียงอีสั่นสะท้าน นางพยายามพูด “หากน้องสี่กลับมาช้ากว่านี้ ข้าคงผ่ายผอมกว่านี้เป็นแน่”
วันคืนที่เฝ้ารออย่างอกสั่นขวัญแขวนเช่นนั้น ผู้ใดจะทนไหว
เจียงอีถึงขั้นคิดกับตัวเองว่า หากนางผ่านด่านเคราะห์คราวนี้ไปได้ ภายภาคหน้าไม่ว่าพบเจอเรื่องใด ใจของนางคงไม่หวั่นไหวอีกแล้ว
“ข้าทำให้พี่ใหญ่ต้องเหนื่อยแล้ว แต่ถึงอย่างไรการไปคราวนี้คุ้มค่ามากจริงๆ”
“น้องสี่ สรุปแล้วเจ้าเดินทางลงใต้เพราะอะไรงั้นหรือ” นางเห็นว่าเจียงซื่อไม่ได้กลับมาพร้อมอวี้จิ่น เจียงอีจึงรับรู้ได้ว่าจุดประสงค์ในการเดินทางลงใต้คราวนี้คงไม่ได้ง่ายอย่างที่นางคิด
เจียงซื่อสั่งให้คนอื่นๆ ออกไปแล้วจึงเข้าไปกระซิบข้างหูเจียงอี “พี่ใหญ่ ข้าพบพี่รองแล้ว”
เจียงอีตัวสั่นสะท้าน น้ำหยดใสไหลออกจากตาอีกครั้ง “ร่าง ร่างของน้องรอง หาเจอแล้วหรือ”
เจียงซื่อชะงักงัน นางจ้องมองพี่สาวที่กำลังตื่นตระหนกสุดขีด เสียงกระซิบหนนี้เบากว่าหนแรก “เปล่า พี่รอง…ยังไม่ตาย…”
เจียงอียกมือขึ้นปิดปาก “น้องสี่ เจ้าพูดอะไร”
ก่อนที่เจียงซื่อจะไป นางไม่ได้บอกอะไรกับเจียงอี เพราะนางกลัวว่าเจียงอีจะตั้งความหวังไว้สูงเกินความเป็นจริง แต่เมื่อพาพี่รองกลับมาแล้ว นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง
“ที่ข้าออกเดินทางคราวนี้ก็เพื่อไปพาพี่รองกลับมา ตอนนี้พี่รองอยู่กับอาจิ่น พวกเขากำลังตามมาทีหลัง…”
เจียงอีสะอึกสะอื้น
เมื่อกำชับเจียงอีให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับแล้ว เจียงซื่อก็เข้าไปชำระล้างร่างกายและไปอยู่กับบุตรสาว
สองวันหลังจากที่เจียงซื่อกลับมาถึง อวี้จิ่นก็กลับมาถึงเมืองหลวง เขาพาเจียงจั้นกลับไปส่งที่จวนตงผิงปั๋ว