บทที่ 536 ปกป้องนาง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 536 ปกป้องนาง

โรงหมอไม่มีผู้ป่วยที่ต้องนอนค้างคอยเฝ้าดูอาการ เว้นเสียแต่ม่อเชียนเสวี่ย

หมอประจำเวรและคนงานต่างก็หลับใหล ม่อเชียนเสวี่ยเองก็เช่นกัน ทั่วทั้งโรงหมอเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวพัดผ่าน

ทว่าเสียงลมนั้นบังเอิญกลบเสียงความเคลื่อนไหวของเหล่าคนชุดดำได้อย่างพอดิบพอดี แต่แน่นอนว่าเดิมทีทุกท่วงท่าของพวกเขาก็เงียบสนิทอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์สูงส่งพอสมควร

คนเหล่านั้นข้ามกำแพงสูงทะยานตัวลงมาสู่พื้นดินอย่างไร้สุ้มเสียง มีเพียงยามที่เสื้อผ้าเสียดสีกันเท่านั้นที่ส่งเสียงออกมา แต่ถึงกระนั้นเสียงกระแสลมพัดกรรโชกก็กลบจนสิ้น

เมื่อมาถึงหน้าขั้นบันได คนผู้เป็นหัวโจกหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะยกมือขึ้นส่งสัญญาณ คนที่เหลือก็พากันหยุดลง

หัวโจกก้าวขึ้นไปบนเฉลียงเรือนก่อน เงี่ยหูฟังทุกห้องหับจากด้านนอกอย่างระแวดระวัง สุดท้ายก็มุ่งเป้าไปที่ห้องฝั่งตะวันออก

เขาชักกริชออกมาแล้วแทรกไปตามซอกประตู ตั้งใจว่าจะสะเดาะกลอน แต่กลับพวกว่าประตูบานนี้ไม่มีกลอน

ม่อเชียนเสวี่ยเป็นคนป่วย หมอต้องเขามาตรวจตลอดเวลา นางย่อมไม่ได้ลงกลอนประตู

คนชุดดำเก็บกริชลง ก่อนจะค่อยๆ ผลักประตูเปิด ส่งสายตาให้กับเหล่าคนชุดดำที่อยู่ด้านหลัง ทุกคนเข้าใจความหมาย ก่อนจะพากันกรูเข้าห้อง

ม่อเชียนเสวี่ยกำลังหลับใหล ไม่รู้ว่าฝันถึงอะไรถึงได้ดูหงุดหงิดนัก จนนางตื่นขึ้นมาด้วยความโมโห

นางลืมตาขึ้นก็รู้สึกว่ามีแสงบางอย่างสะท้อนเข้าตา นางเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะพลิกตัวไปอีกฝั่ง

กระบี่คมเย็นเยียบแทงลงบนตำแหน่งที่นางนอนเมื่อครู่

คนชุดดำเห็นว่านางหลบหลีกได้ แววตาก็พลันเย็นชา ก่อนจะชักกระบี่ออกแล้วเล็งเป้าไปที่นาง!

ม่อเชียนเสวี่ยล้วงเข็มเงินที่อยู่ใต้หมอนออกมา เหวี่ยงไปทางอีกฝ่าย แต่ก็จนใจที่นางนั้นบาดเจ็บหนัก ไม่ว่าจะกำลังภายในหรือความเร็วก็ลดลงทั้งนั้น

คนชุดดำเห็นเข็มเงินที่นางยิงออกมาอย่างชัดเจน จึงตวัดกระบี่กันเข็มเงินเอาไว้ได้

ช่องอกของม่อเชียนเสวี่ยปวดร้าวขึ้นมา นางฝืนทนความเจ็บปวดแล้วคว้ากริชบนตู้หัวเตียง ทว่าคนชุดดำเตะมือนางออกไปอีกทาง

ม่อเชียนเสวี่ยตื่นตะลึงเพราะพลังปราณของเขา รสหวานคาวปะแล่มแผ่ซ่านไปทั่วลำคอ นางกระอักเลือดออกมาโดยไม่รู้ตัว

คนชุดดำวาดกระบี่จ่อที่ศีรษะของนาง

ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น กริชด้ามหนึ่งก็พุ่งทยานมากลางอากาศ ปักลงบนกลางแผ่นหลังคนชุดดำ แทงทะลุหัวใจของเขา ไม่พลาดเป้าแม้แต่กระเบียดนิ้ว

คนชุดดำตาเบิกโพรง ร่างทั้งร่างแข็งทื่อราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น วินาทีต่อมา กระบี่ยาวในมือของเขาก็ร่วงตกลง ส่วนเขาก็ล้มลงบนฟูกไปในทันใด

ม่อเชียนเสวี่ยมองคนชุดดำที่ล้มลงนอนข้างกายตนด้วยความขยะแขยง อยากจะถีบอีกฝ่ายให้ตกเตียงไปเสียเลย

ทว่าขณะเดียวกันนั้นเอง คนชุดดำสามคนที่เหลืออยู่ในห้องก็ได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาชักกระบี่ข้างเอวออกมา

แต่น่าเสียดายที่กระบี่ยังไม่ทันได้ชักออกมาจากฝัก ก็ถูกฝ่ามือเย็นเยียบดันกลับเข้าไป!

เมื่อได้ยินเสียงเหล็กกระทบกัน กระบี่คมกลับเข้าไปในฝัก พวกเขาไม่ได้ทันตั้งตัวก็ถูกเล่นงานจนล้มลงไปทีละคนเสียแล้ว

กู้เจียวไว้ชีวิตคนที่ได้สติเอาไว้ นางใช้เท้าข้างหนึ่งย่ำลงบนอกของอีกฝ่าย มองลงมาที่เขาจากมุมสูงก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ใครส่งพวกเจ้ามา”

คนผู้นั้นกัดฟันกรอด ก่อนจะพ่นเลือดดำออกมาจากปาก

“ในปากของพวกเขามีแต่ยาพิษ ถามอะไรไปก็ไม่ได้ความหรอก” ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยเสียงหอบกระชั้น

กู้เจียวค่อยๆ ยกเท้าออก

นางก้าวข้ามเหล่าคนชุดดำ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเตียงนอน คว้าศพของคนชุดดำก่อนจะลากออกไปราวกับถุงกระสอบ

นางสะบัดมือหลังจากเสร็จกิจ จากนั้นก็กลับมาหยุดที่หน้าเตียงอีกครั้ง มองม่อเชียนเสวี่ยด้วยแววตาเย็นชา

ม่อเชียนเสวี่ยเองก็กระอักเลือด ผ้าห่มมีแต่คราบเลือดเต็มไปหมด

กู้เจียวยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้นาง

ม่อเชียนเสวี่ยชะงักไป “อะไร”

กู้เจียวยื่นให้ตรงหน้าเสียขนาดนั้น แต่ม่อเชียนเสวี่ยก็ยังไม่เข้าใจ กู้เจียวจึงกำผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือแล้วโน้มตัวลงมาเช็ดคราบเลือดบนมุมปากของนาง

กู้เจียวรีบร้อนเข้ามาช่วย จึงสวมเพียงชุดนอนผืนบาง กลิ่นกายของนางลอยฟุ้งไปทางม่อเชียนเสวี่ย

ม่อเชียนเสวี่ยมองใบหน้าแสนสงบนิ่งในระยะประชิด ดวงหน้านั้นไม่ได้อ่อนหวานเหมือนหญิงสาวทั่วไป เพราะดวงตาของนางคือดวงตาแห่งนักรบ แน่นอนว่าเครื่องหน้านั้นประณีตยิ่งนัก หากไม่มีปานบนใบหน้าก็คงเป็นดวงหน้าที่ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างก็หลงใหลแน่นอน

กู้เจียวจดจ่อกับการเช็ดคราบเลือดให้กับม่อเชียนเสวี่ย ไม่ทันได้สังเกตสายตาของม่อเชียนเสวี่ยที่จ้องลึกเข้ามา

ชุดนอนนั้นไม่เหมือนกับชุดตัวในยามสวมใส่เสื้อผ้าปกติ ชุดนอนหลวมโพรก นางดันบังเอิญโน้มตัวลงมาอีก

ม่อเชียนเสวี่ยไม่ได้ตั้งใจ แต่เผอิญเหลือบไปเห็น

รูปร่างของนางช่าง…

หึ!

รูปร่างเย้ายวนปานนี้ ตอนนั้นใช้ผ้ารัดหน้าอกไปกี่ม้วนเล่าถึงได้ปลอมตัวเป็นผู้ชายได้!

“คนโกหก!”

ม่อเชียนเสวี่ยกันฟันกรอด

กู้เจียว ‘…เหตุใดนางถึงกลายเป็นคนโกหกอีกแล้วเล่า’

ม่อเชียนเสวี่ยส่งเสียงฮึดฮัด “ข้าไม่อยากนอนที่นี่ ชายสกปรกนั่นสัมผัสเตียงของข้าแล้ว!”

ม่อเชียนเสวี่ยเป็นนางคณิกาแห่งหอเซียนเล่อก็จริง แต่นางไม่เคยยอมให้ชายใดแตะต้อง กู้เจียวเป็นคนแรก…ไม่สิ จะว่าให้ถูกก็เป็นคนที่สอง

ไม่ใช่อีก!

นางไม่ใช่ผู้ชายเสียหน่อย!

ม่อเชียนเสวี่ยพลันเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง!

นางถลึงตามองกู้เจียวอย่างเกรี้ยวโกรธ กู้เจียวได้แต่มึนงง

สภาพห้องแบบนี้คงอยู่ไม่ได้จริงๆ อย่างที่ว่า กู้เจียวตั้งใจว่าจะพาม่อเชียนเสวี่ยไปยังห้องถัดกัน แต่พอประเมินดูแล้วว่าม่อเชียนเสวี่ยคงเดินไม่ไหว กู้เจียวจึงจำต้องอุ้มนางออกไป

ใต้ผืนผ้าห่มยังมีกลิ่นอายและอุณหภูมิของกู้เจียวหลงเหลืออยู่ ม่อเชียนเสวี่ยเอนตัวลงนอนจึงไม่รู้สึกหนาว แถมยังอุ่นสบายเสียด้วยซ้ำ

กู้เจียวเรียกคนงานเข้ามา ให้พวกเขาจัดการโยนพวกคนชุดดำออกไปจากเรือน เรื่องแจ้งตำรวจนั้นคงไม่ต้อง ถึงจะสืบไปก็ไม่เจออะไรอยู่ดี

กู้เจียวกลับมาเข้ามาในเรือน ปิดประตูห้องลงแล้วก็เอนตัวนอนข้างกายม่อเชียนเสวี่ย

ม่อเชียนเสวี่ยนอนไม่หลับ นางเบิกตามองหลังคามุ้ง เหม่อมองอยู่ได้ครู่หนึ่งก่อนจะพลิกตะแคงข้างไปเจอกับใบหน้าของกู้เจียว

กู้เจียวหลับตาพริ้ม ลมหายใจสงบนิ่ง

ม่อเชียนเสวี่ยอ้าปาก อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก

ทว่ากู้เจียวกลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “พวกเขาเป็นใครรึ”

วินาทีที่ม่อเชียนเสวี่ยพูดว่าในปากของพวกเขามียาพิษ ก็เท่ากับเปิดโปงความจริงที่ว่าตัวเองรู้จักคนพวกนั้น

ม่อเชียนเสวี่ยหลุบตาลง กำชายผ้าห่มไว้แน่นก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “คนจากหอเซียนเล่อ”

กู้เจียวไม่ได้แปลกใจกับคำตอนนี้สักเท่าไร แต่ก็ยังถามอย่างสงสัย “เหตุใดคนจากหอเซียนเล่าถึงคิดจะฆ่าเจ้า”

ม่อเชียนเสวี่ยตอบ “ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าออกไปข้างนอกกลับมาก็ถูกลอบฆ่าเสียอย่างนั้น”

กู้เจียวถาม “เจ้าไปที่ใดมาหรือ”

ม่อเชียนเสวี่ยนิ่งเงียบ

กู้เจียวถามต่อ “ก็ได้ เช่นนั้นข้าเปลี่ยนคำถาม เจ้าของหอเซียนเล่อตายแล้วจริงๆ หรือ”

กู้เจียวยังไม่ทันได้คำตอบ นางลืมตาขึ้นเหลียวไปมองก็เห็นว่าม่อเชียนเสวี่ยที่อยู่ข้างกายนางหลับไปแล้ว ภายใต้ผืนผ้าห่ม นิ้วของม่อเชียนเสวี่ยเกี่ยวปลายแขนเสื้อของนางเอาไว้อย่างเบามือ

กู้เจียวไม่พูดต่อ หันหน้ากลับมาที่เดิม ไม่นานก็ปิดตาลงแล้วเข้าสู่ช่วงนิทราไป

หลายคืนหลังจากนั้น ม่อเชียนเสวี่ยก็ถูกคนไล่ล่าอีกหลายครั้ง แต่พอมีกู้เจียวอยู่ด้วยก็ไม่มีอะไรต้องกลัว เจ้าลูกกระจ๊อกพวกนี้เองก็เหมือนจะเรียนรู้บ้างแล้ว จึงไม่ต่อกรกับกู้เจียวโดยตรง แต่พยายามกันกู้เจียวออกห่าง แล้วใช้ไม้ตายกับม่อเชียนเสวี่ยแทน

มือสังหารสองระลอกแรกนั้นเรียกได้ว่าฝีมือใช้ได้ แต่พอกลุ่มที่สามมาถึงกู้เจียวก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าฝีมือของอีกฝ่ายนั้นต่างกับมือสังหารก่อนหน้าลิบลับ

คนชุดดำทั้งสามล้วนแต่เป็นทหารพลีชีพ!

“พวกนี้ก็เป็นคนของหอเซียนเล่อหรือ” กู้เจียวถามขณะโอบร่างม่อเชียนเสวี่ยพลางหลบหลีกการโจมตี

ม่อเชียนเสวี่ยส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้จักพวกเขา”

ไม่รู้จักจริงๆ แล้วก็ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย

ม่อเชียนเสวี่ยมองกู้เจียวด้วยประมือกับทหารพลีชีพทั้งสามด้วยสีหน้าซับซ้อน

ฝีมือของทหารพลีชีพทั้งสามนั้นด้อยกว่าองครักษ์หลงอิ่งอยู่มาก เพราะอย่างนั้น ด้วยความสามารถของกู้เจียวจึงรับมือไหว แต่มีข้อแม้ว่าพวกเขาห้ามเล่นวิธีสกปรกกับกู้เจียว

ด้วยเป้าหมายของพวกเขาคือม่อเชียนเสวี่ย ทำให้การต่อสู้ยากขึ้นไปอีก

สุดท้ายตอนที่จัดการทหารพลีชีพทั้งสามได้สำเร็จ แทนของกู้เจียวก็ได้แผลเล็กน้อย

ม่อเชียนเสวี่ยนั่งลงอย่างหมดสภาพอยู่กลางพื้นหิมะ ข้อเท้าบวมเป่ง

กู้เจียวชันเข่าลุกขึ้น ตรวจดูข้อเท้าของนาง

สายตาของม่อเชียนเสวี่ยหยุดอยู่บนคราบเลือดบนแขนเสื้อของนาง สีหน้าก็พลันเปลี่ยน “มือเจ้าเลือดออก!”

“อืม” กู้เจียวไม่ใส่ใจ นางดึงข้อเท้าที่บวมพองของม่อเชียนเสวี่ย “ไม่ได้หลุด แต่แค่พลิก พักสามสี่วันก็หายดี”

เพิ่งสิ้นเสียงของนาง ลูกธนูเย็นเยียบก็พุ่งเข้ามาท่ามกลางความมืด

อันที่จริงกู้เจียวสามารถหลบไปอย่างสมบูรณ์แบบ หากหลบได้แล้วย่อมปลอดภัยมากกว่า ทว่ากู้เจียวกลับไม่ทำเช่นนั้น

นางพลันหันหลังกลับ เอี้ยวแขนมาดึงร่างของม่อเชียนเสวี่ยไว้ด้านหลัง ส่วนมืออีกข้างก็คว้ากริชบนพื้นขึ้นมาก่อนจะปาออกไปทางที่ลูกธนูพุ่งออกมา

ลูกธนูนั้นเร็วจนมองไม่ทัน แทบจะถูกยิงออกมาพร้อมกันกับวินาทีที่กริชพุ่งออกไป

หากช้ากว่านี้อีกสักนิด คงไม่สามารถยั้งลูกธนูเอาไว้ได้

ม่อเชียนเสวี่ยมองกู้เจียวที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้าตน แววตาไหววูบแฝงไปด้วยความสับสน

ทว่าคนที่ยิงธนูนั้นยังไม่หยุด ยังคงเล็งเป้ามาทางกู้เจียว

คราวนี้กู้เจียวคว้าลูกธนูได้ในทันที

กู้เจียวต้องปรับตัวให้คุ้นชินกับมือสังหารที่อยู่ในมุมมืด และให้ม่อเชียนเสวี่ยเป็นคนสังเกตการณ์ด้านหลังทั้งหมด

ม่อเชียนเสวี่ยเห็นว่ากู้เจียวได้ไม่ระวังหลังเลยสักนิด จึงลอบล้วงเข็มเงินที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมา

ทั้งเข็มอาบไปด้วยยาพิษ ปลายเข็มเป็นสีดำสนิท

เพียงแค่เข็มเดียวก็ปลิดชีพคนได้ในทันที

ม่อเชียนเสวี่ยกำหมัดแน่น แววตามีทั้งความลังเล ความกังวล ความว้าวุ่น!

แต่ต่อมานางก็เลือกที่จะกัดฟัน แววตาพลันเย็นยะเยือก ราวกับตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือทำบางสิ่งในที่สุด ก่อนจะปาเข็มทั้งหมดในมือไปทางกู้เจียว

เข็มเงินทั้งหมดนั้นมีพลังปราณของนาง กำลังพุ่งผ่านลำคอของกู้เจียวไป

เสียงร้องโหยหวยดังขึ้นท่ามกลางความมืด คนชุดดำทั้งสามตะเกียกตะกายกันคนละทิศละทางก่อนจะล้มลง!