บทที่ 537 เสี่ยวเป่า

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 537 เสี่ยวเป่า

ตอนแรกกู้เจียวคิดว่ามีพวกชุดดำคนเดียวเสียอีก ใครจะไปนึกกันว่าจะมีที่ซ่อนตัวในมุมมืดอีกสองคน

ม่อเชียนเสวี่ยบาดเจ็บเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การออกแรงโจมตีแทบจะสูบพลังของนางไปจนหมด วินาทีที่ชายชุดดำทั้งสามทะยานตัวลงมา นางจึงไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป เลือดแดงกระอักออกมาจากปาก สองตาดับมืดหมดสติไป

กู้เจียวก้มตัวลงอุ้มร่างม่อเชียนเสวี่ยกลับเข้าไปในห้อง ทีนี่มีเพียงเด็กคนงานของโรงหมอมาปัดกวาดทำความสะอาด

ร่างทั้งร่างของม่อเชียนเสวี่ยเต็มไปด้วยหิมะ บาดแผลบนหน้าท้องปริอ้าเล็กน้อย เลือดแดงสดไหลออกมา อาบย้อมชุ่มชุดนอนของนาง

กู้เจียวปลดเสื้อผ้าของนางออกแล้วห่มผ้าให้นางเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นก็เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหาชุดนอนชุดใหม่มาเปลี่ยนให้นาง

ม่อเชียนเสวี่ยที่กำลังสะลืมสะลืออยู่ สัมผัสได้ว่ามีคนแตะต้องตัวนาง สีหน้าของนางขาวซีด ก่อนจะบีบมือของอีกฝ่ายเอาไว้

“ข้าเอง” กู้เจียวเอ่ย

มือของม่อเชียนเสวี่ยคลายออก เอียงคอซบอกของกู้เจียว ก่อนจะดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา

ความจริงแล้วมีมือสังหารลอบเข้ามาในโรงหมอแล้วไม่รู้กี่หน เพียงแต่ไม่รู้เป็นเพราะคืนนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกินไปหรืออย่างไร กู้เจียวถึงได้รู้สึกว่าท่าทีของม่อเชียนเสวี่ยนดูเปลี่ยนไป

หลังจากนั้นกลางดึก ม่อเชียนเสวี่ยถึงกับฝันร้าย

นางกำลังกลัว

ใบหน้าของนางซีดเผือด ร่างทั้งร่างสั่นเทา ราวกับติดอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันไม่มีที่สิ้นสุด

“ม่อเชียนเสวี่ย ม่อเชียนเสวี่ย” กู้เจียวพยายามปลุกนาง

ม่อเชียนเสวี่ยลืมตาขึ้น มองมาทางกู้เจียวด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเพราะยังอยู่ความฝันหรืออย่างไร นางไม่ขานตอบ แต่กลับกำมือของกู้เจียวไว้แน่น ราวกับคนจมน้ำที่คว้าขอนไม้ท่อนสุดท้ายที่ลอยมา

“เสียขวัญถึงเพียงนี้เชียวหรือ” กู้เจียวเอ่ยพึมพำ แต่ก็ไม่ช่วยให้นางตื่นขึ้นมา

กู้เจียวปลีกเวลาออกมาที่ตรอกปี้สุ่ย

เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้เจอกู้เจียวหลายวันแล้ว น้อยอกน้อยใจจนน้ำตาคลอ “เจียวเจียว”

เขาโผเข้ากอดกู้เจียว

ถึงจะอายุห้าขวบแล้ว แต่เขาก็ยังดูตัวเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกัน กู้เจียวอุ้มเขาลอยหวิวอย่างง่ายดาย

เสี่ยวจิ้งคงส่ายหัวคลอเคลียนั่งอยู่ในอ้อมกอดของกู้เจียว

“เจียวเจียว เสร็จงานที่โรงหมอแล้วหรือ” เสี่ยวจิ้งคงถาม

“ยังเลย” กู้เจียวเดินเข้าไปในห้องก่อนจะทักทายแม่นางเหยา

แม่นางเหยาเพิ่งจะอาบน้ำให้เสี่ยวเป่า

“กลับมาแล้วหรือ ไม่ต้องไปที่โรงหมอแล้วใช่หรือไม่” แม่นางเหยาเอ่ยเสียงนุ่มนวล

“กลางคืนยังต้องไปอีก”

เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิด ผละลงมาจากอ้อมกอดของกู้เจียว ก่อนจะลากเก้าอี้มาให้นาง “เจียวเจียวเหนื่อยแล้ว เจียวเจียวนั่งลง”

กู้เสี่ยวเป่า “อูวา!”

แม่นางเหยาได้ยินลูกชายส่งเสียงร้องก็ดีใจ “เสี่ยวเป่าพูดหรือ เสี่ยวเป่าอยากให้ท่านพี่นั่งลงหรือ”

กู้เสี่ยวเป่าเบิกสองตากลมโตมองกู้เจียว

กู้เจียวเดินเข้าไปจิ้มแก้มกู้เสี่ยวเป่า

กู้เสี่ยวเป่าหัวเราะคิกคัก

เด็กอายุสามเดือนก็หัวเราะเป็นแล้ว เพียงแต่กู้เสี่ยวเป็นเด็กที่ไม่ร้องไห้ ไม่งอแง แล้วก็ไม่ชอบหัวเราะด้วย เว้นเสียแต่วันที่เขาส่งเสียงหัวเราะตอนอายุครบสามเดือนเต็ม หลังจากนั้นต่อให้แกล้งหยอกอย่างไรก็ไม่ยอมส่งเสียงสักแอะ

กู้เจียวรู้สึกสนุกดีอยู่ไม่น้อย ก่อนจะจิ้มแก้มจ้ำม่ำของเขาอีกครั้ง

เสี่ยวเป่าหัวเราะอีกเช่นเคย

กู้เจียวจิ้มอีก เสี่ยวเป่าก็หัวเราะอีก

เสี่ยวจิ้งคงปรมมือกระโดดโหยงเหยงด้วยความตื่นเต้น “น้องหัวเราะแล้ว! น้องหัวเราะแล้ว!”

ทว่าขณะเดียวกันนั้น ท่านโหวกู้ที่มาจากจวนหลังใหม่ ก่อนหน้านี้หิมะตกหนัก ขั้นตอนของเก็บรายละเอียดในก่อสร้างจวนจึงถูกทอดเวลาออกไป หลายวันนี้อากาศเพิ่งจะดีขึ้นมาบ้าง เขาจึงรีบพาช่างจากกรมโยธามาเร่งทำงานกันทั้งวันทั้งคืน

วันนี้เขามาเพื่อส่งวัสดุอุปกรณ์ จึงตั้งใจอ้อมเส้นทางเพื่อแวะมาหาภรรยาและลูกชาย

เขาเพิ่งมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงร้องของเสี่ยวจิ้งคง เขาพยายามตั้งสติฟังก็ได้ยินเสียงหัวเราะของลูกชาย

ลูกชายของเขาหัวเราะได้แล้ว!

ท่านโหวกู้เดินจ้ำเข้ามาในห้อง “ลูกชาย! พ่อมาหาเจ้าแล้ว!”

เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองกู้เจียว ตรงไปหาแม่นางเหยา ก่อนจะเข้าไปอุ้มกู้เสี่ยวเป่าด้วยความรักของคนเป็นพ่อ

หลังจากนั้นเสี่ยวเป่าก็ไม่หัวเราะแล้ว

ท่านโหวกู้หยอกเขา “…ลูกชาย ไหนหัวเราะให้พ่อฟังหน่อย!”

ภายใต้แววตาเฝ้ารออย่างล้นปรี่ กู้เสี่ยวเป่าหน้านิ่ง ยกนิ้วน้อยๆ ของตัวเขาเองเข้าปาก ดูดเสียงจ๊อบแจ๊บ เพียงวินาทีเดียวก็กล่อมตัวเองให้หลับลง

ท่านโหวกู้ “…”

ม่อเชียนเสวี่ยนอนตื่นขึ้นมาก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว ระหว่างนั้นหมอถงได้แวะมาหาครั้งหนึ่งมาวัดชีพจรให้นาง และตรวจอาการบาดแผล

ทุกอย่างราบรื่นดี

เมื่อเกิดเรื่องขึ้นที่หอเซียนเล่อ โรงน้ำชาจึงเปิดก่อนเวลาปกติ ผู้คนเดินกันโซเซพลุกพล่านมากมายบนถนน เรื่องราวน่าปวดหัวเพราะความมึนเมาก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

วันนี้มีคนเมาและคนเจ็บกลุ่มหนึ่งมาที่โรงหมอ หมอที่มีอยู่ก็น้อย มากันกะทันหันเช่นนี้จึงดูแลไม่ทั่วถึง

แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับม่อเชียนเสวี่ย นางไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่พักฟื้นนิ่งๆ อยู่ในห้องก็พอแล้ว

สาวใช้มาส่งอาหาร

ม่อเชียนเสวี่ยกินพอเป็นพิธี ขาของนางก็บาดเจ็บ กระดูกซี่โครงก็หัก จะลงมาเดินเหินก็ไม่ได้ ทำได้เพียงนอนเบื่อหน่ายอย่างไรจุดหมายอยู่บนเตียง

นางนั่งพิงหัวเตียง ดึงทึ้งผ้าเช็ดหน้าในมือไปมา ก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัด “เจ้าคนโกหกไปไหนเสียแล้ว”

ทันใดนั้นเองเงาร่างของใครคนหนึ่งก็แวบขึ้นหน้าประตู

แววตาม่อเชียนเสวี่ยตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที “ใครน่ะ!”

ประตูห้องที่ปิดสนิทถูกเปิดจากด้านนอกอย่างเบามือ พัดกลมปักลายวิจิตรแทรกเข้ามาจากช่องประตูเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยเจ้าของพัดกลมที่ก้าวเดินเข้ามา

นั่นคือรองเท้าปักดิ้นทองลายดอกบัวคู่ใหม่เอี่ยม เป็นดิ้นที่ทำมาจากทองคำแท้ ตีราคาไม่ได้ ทั่วทั้งเมืองหลวงมีเพียงนางคณิกาแห่งหอเซียนเล่อเท่านั้นที่สวมรองเท้าเช่นนี้

ความตื่นตระหนกในแววตาของม่อเชียนเซวี่ยได้จางหายไป แต่กลับแทนที่ด้วยความเกลียดชังแทน

“เจ้ามาทำไม” ม่อเชียนเสวี่ยถามเสียงเย็น

ฮวาซีเหยายิ้มร่า “ข้าก็มาเยี่ยมท่านพี่น่ะสิเจ้าคะ”

ฮวาเชียนเสวี่ยเอื้อมมือไปปิดประตูห้อง ก่อนจะเดินนวยนาดมาหยุดอยู่ที่ริมเตียงของม่อเชียนเสวี่ย

ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยอย่างไม่แยแส “ใครเป็นท่านพี่เจ้ากัน อย่ามานับญาติตามอำเภอใจเช่นนี้”

“หึ” ฮวาซีเหยายกพัดกลมขึ้นมาปิดไปครึ่งใบหน้า หัวเราะเสียงเล็กเสียงน้อย “เป็นหญิงนางโลมเหมือนกัน คงไม่มีผู้ใดสูงส่งไปกว่ากันหรอกกระมังเจ้าคะ อย่าพูดอย่างกับว่าท่านพี่เป็นคุณหนูตระกูลเศรษฐีสิเจ้าคะ”

ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยอย่างเหลืออด “มีอะไรก็รีบว่ามา พล่ามอยู่ได้”

ฮวาซีเหยาหัวเราะตัวโยน “ไม่เจอกันหลายวัน ท่านพี่ยังคงหยาบคายเช่นเดิม ท่านชายผู้นั้นรู้หรือไม่ว่าท่านพี่ประพฤติตัวเช่นนี้ ยามอยู่ต่อหน้าเขา ท่านพี่เสแสร้งเหนื่อยหรือไม่ อ๋อ ข้าลืมไปเสียสนิท ไม่ใช่ท่านชายที่ไหนอะไรเสียหน่อย แต่เป็นคุณหนูคนหนึ่ง ท่านพี่คงเสียดายที่อุตส่าห์ทุ่มเทใจให้สินะเจ้าคะ”

ม่อเชียนเสวี่ยมองนางอย่างเย็นชา “ฮวาซีเหยา เจ้าว่างมากนักหรือ ถ่อมาหาข้าเพื่อพูดจาเช่นนี้”

ฮวาซีเหยาลดพัดกลมที่บังหน้าออก เผยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว “แน่นอนว่าไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้ามาเพื่อเตือนท่านพี่ว่าอย่าลืมกำพืดตัวเอง อย่าได้ทรยศหอเซียนเล่อ”

ม่อเชียนเสวี่ยเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเปล่า”

ฮวาซีเหยาหัวเราะก่อนจะดึงเข็มเงินสามเล่มออกมาจากอก “เช่นนั้นแล้วท่านพี่ไม่ได้เป็นคนฆ่าสามคนนั้นหรอกหรือ เข็มเงินที่เลียนแบบเข็มถังฮวาของถังเหมิน ทั่วทั้งเมืองหลวงนอกจากท่านพี่แล้ว คงไม่มีใครใช้เข็มเช่นนี้”

ผ้าเช็ดหน้าในมือของม่อเชียนเสวี่ยถูกกำแน่น เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าจะทำอะไรต้องอธิบายกับเจ้าด้วยหรือ”

ฮวาซีเหยาโยนเข็มทั้งสามเล็บลงบนผ้าห่มของม่อเชียนเสวี่ย “นายน้อยให้ข้ามา”

แววตาของม่อเชียนเสวี่ยวูบไหว สีหน้าก็พลันจริงจังขึ้นมา “ข้าทำเพื่อซื้อใจนางต่อหาก”

ฮวาซีเหยานั่งลงข้างเตียงของม่อเชียนเสวี่ย มองม่อเชียนเสวี่ยด้วยแววตาซับซ้อน “นางยังเชื่อท่านพี่ไม่พออีกหรือ”

ม่อเชียนเสวี่ยกะพริบตาเนิบ มองฮวาซีเหยาจากมุมบน “ไม่พอ ข้ายังไม่มีโอกาสลงมือ”

ฮวาซีเหยายกยิ้ม ลุกยืนขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วเปิดบานประตู ไล่ปลายนิ้วไปตามเสื้อผ้าของกู้เจียว “นอนห้องเดียวกันขนาดนี้ ยังไม่มีโอกาสลงมืออีกหรือ ท่านพี่หลอกใครกันเจ้าคะ”

“เช่นนั้นเจ้าก็ทำเอง” ม่อเชียนเสวี่ยถามกลับ

ฮวาซีเหยาปิดประตูตู้ลง “ข้าไม่ได้โชคดีเช่นท่านพี่นี่เจ้าคะ ท่านชายคนหนึ่งเผอิญติดเบ็ดก็ดันกลายเป็นปลาตัวใหญ่เสียอย่างนั้น”

ม่อเชียนเสวี่ยเหลือบมองนาง “รู้ตัวว่าไม่มีความสามารถก็ดี กลับไปบอกนายน้อยเสีย ว่าข้าจะฆ่านาง! แต่ข้าต้องการเวลา”

“สามวัน” ฮวาซีเหยาชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว

ม่อเชียนเสวี่ยมองนางด้วยแววตาเย็นยะเยือก

ฮวาซีเหยาเลิกคิ้วหัวเราะ “นายน้อยให้เวลาท่านพี่แค่หนึ่งวัน แต่ข้าต่อรองมาให้ท่านพี่อีกสองวัน ท่านที่อย่าทำให้น้องสาวคนนี้เสียชื่อละเจ้าคะ”

“ฮวาซีเหยา” ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยรั้งฮวาซีเหยาที่กำลังจะหันหลังกลับ

ฮวาซีเหยาชะงักฝีเท้าลง เหลียวมาส่งยิ้มให้ “ท่านพี่มีเรื่องอะไรอีกหรือเจ้าคะ”

ม่อเชียนเสวี่ยสะบัดเชือกเส้นหนึ่งออกไป พันรอบเท้าของฮวาซีเหยาเอาไว้ ก่อนจะกระตุกอย่างแรง สายเชือกกระชากรองเท้าปักดิ้นทองของฮวาซีเหยากระเด็นออกจากเท้า

ม่อเชียนเสวี่ยไม่ปรานีฮวาซีเหยาแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะฮวาซีเหยาเองก็มีวรยุทธ์ไม่เบา ป่านนี้คงล้มหัวกระแทกพื้นไปตั้งนานแล้ว

ฮวาซีเหยาหน้าถมึงทึง ก่อนฟันกรอด “ม่อเชียนเสวี่ย!”

ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยเสียงเย็น “ไสหัวไป”