บทที่ 538 ใจอ่อน

ณ ตรอกปี้สุ่ย

ท่านโหวกู้เป็นอันต้องหน้าเสียเมื่อถูกลูกชายเมินเฉย เขากระแอมให้โล่งคอ ก่อนจะคืนลูกชายที่หลับสนิทสู่อ้อมอกของแม่นางเหยา

วันนี้นอกจากมาเยี่ยมแม่นางเหยาและลูกชายแล้ว เขายังมีธุระอีกเรื่องหนึ่ง… คือเรื่องการแต่งงานของกู้จิ่นอวี๋

งานแต่งงานของกู้จิ่นอวี๋และอันจวิ้นอ๋องเดิมทีกำหนดไว้ว่าจะจัดขึ้นก่อนปีใหม่ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะมีเหตุสงคราม หากเป็นเหล่าชาวเมืองหมั้นหมายสู่ขอกันก็คงไม่มีผู้ใดห้าม แต่อันจวิ้นอ๋องเป็นขุนนางในราชสำนัก ส่วนกู้จิ่นอวี๋ก็เป็นลูกสาวจวนขุนนาง ทั้งสองไม่อาจแต่งงานกันได้ในยามที่บ้านเมืองร้อนเป็นไฟเช่นนั้น

ด้วยเหตุนี้งานแต่งงานจึงถูกเลื่อนออกไปหลังปีใหม่

“เดือนหน้านี้แล้ว” ท่านโหวกู้เอ่ยกับแม่นางเหยา “กู้จิ่นอวี๋เป็นลูกสาวของเจ้า มีที่ไหนที่แม่ไม่อยู่ข้างกายลูกสาวในงานแต่งงาน เจ้ากลับไปที่จวนกับข้าก่อนสักสามสี่วันไม่ดีหรือ รอจิ่นอวี๋แต่งงานเรียบร้อยแล้วค่อยว่ากัน”

ความบาดหมางระหว่างแม่นางเหยากับจวนโหวนั้นมาจากความรังเกียจเดียดฉันท์จากทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่ในจวน นำโดยเหล่าฮูหยินกู้ รองลงมาก็คงเป็นกู้ฉังชิงและน้องชาย ส่วนบ่าวไพร่ในจวนนั้นไม่ต้องสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าหาเรื่องแม่นางเหยากันหรอก

ทว่ายามนี้ความเข้าใจผิดต่างๆ ได้ถูกคลี่คลาย ความเกลียดชังของสามพี่น้องตระกูลกู้ที่มีต่อแม่นางเหยาก็ได้หายไปแล้ว ท่านโหวกู้จึงเห็นว่าถึงเวลาที่แม่นางเหยาจะกลับไปอยู่ด้วยกัน

แม่นางเหยาลังเล

นางรู้ว่าเหล่าฮูหยินกู้ยังคงไม่อยากเห็นลูกสะใภ้ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้เช่นนาง รอยร้าวระหว่างนางทั้งสองคนคงไม่มีวันต่อติด

อีกอย่างต่อให้นางกลับไปแล้ว กู้เหยี่ยนและกู้เจียวก็คงไม่ตามนางกลับไปด้วย

นางทำใจจากลูกทั้งสองไม่ได้ ทั้งยังอาลัยอาวรณ์ครอบครัวใหญ่ในตรอกปี้สุ่ยแห่งนี้

ทว่าที่ท่าวโหวพูดก็ถูก จิ่นอวี๋เองก็เป็นลูกสาวของนาง

ตอนนั้นภรรยาของกู้ซานหลังเองก็เลี้ยงดูเจียวเจียวปานแก้วตาดวงใจ แล้วเหตุนางถึงจะไม่ใยดีจิ่นอวี๋

“ช่วงนี้ท่านแม่ไม่สบาย คงไม่มาจู้จี้เรื่องในจวนหรอก” ท่านโหวกู้มองนางพลางเอ่ย

แม่นางเหยามองกู้เจียวที่กำลังซ่อมห่วงตาข่ายสำหรับเล่นชู่จวี[1]อยู่ท้ายเรือน ก่อนเอ่ยกับท่านโหวกู้ “ท่านมาตั้งนานแล้ว จะไม่พูดคุยกับเจียวเจียวหน่อยหรือ”

ท่านโหวกู้ส่งเสียงฮึดฮัด “นางต่างหากที่ไม่คุยกับข้า! ข้ามาตั้งนานแล้ว เจ้าได้ยินนางเรียกข้าว่าพ่อสักคำหรือยังเล่า”

แม่นางเหยาเอ่ย “เจียวเจียวก็แค่ยังไม่คุ้นชิน อีกอย่างท่านทำตัวเหมือนพ่อเจียวเจียวแล้วหรือ”

“ข้า…” ท่านโหวกู้อยากจะเถียงแต่ก็เถียงไม่ออก

แม่นางเหยาเอ่ยต่อ “ท่านเคยใช้แส้ฟาดนาง”

“เรื่องนั้น…” ท่านโหวกู้รู้สึกผิดจนสะอึก “เรื่องตั้งนานมาแล้ว เจ้ายังจำได้อีกหรือ ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่านางเป็นลูกสาวของเรา นึกว่านางคิดร้ายกับเจ้านี่นา”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนั้นท่านโหวกู้ก็พลันหงุดหงิด เขาแค่ฟาดเด็กนั่นเป็นแค่แส้เดียว แต่เด็กนั่นเจ้าคิดเจ้าแค้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ! เขาทำอะไรก็ผิดไปหมด! แถมยังดึงทั้งลูกทั้งเมียของเขาไปเป็นพวกตัวเองอีก!

ลูกชายทั้งสองคน!

เขาไม่เหมือนคนเป็นพ่อหรืออย่างไร

นางต่างหากที่ทำตัวไม่สมกับคนเป็นลูกสาว!

ไม่เห็นนางจะเอาอย่างจิ่นอวี๋บ้าง เรียบร้อยอ่อนหวาน น่ารักน่าเอ็นดู ลูกสาวจวนโหวควรจะเป็นเช่นนั้นต่างหาก!

ท่านโหวกู้กลอกตาเอ่ย “หากเด็กนั่นรู้ความได้สักกึ่งหนึ่งของจิ่นอวี๋ ข้าก็คงเอ็นดูนางบ้าง”

แม่นางเหยาอุ้มกู้เสี่ยวเป่าที่กำลังหลับปุ๋ยลุกยืนขึ้น ก่อนจะขมวดคิ้วมองท่านโหวกู้ “ท่านยอมรับแล้วหรือว่าท่านไม่ได้รักเจียวเจียวเลย”

“ไม่ใช่…ข้า…” ท่านโหวกู้พูดไม่ออก เหตุใดเขาถึงได้ปากไวเช่นนั้น แถมฮูหยินยังจับผิดเล่นงานเข้าอีก!

แม่นางเหยาโกรธจนสั่นไปทั้งตัว “แท้จริงที่แล้วที่ท่านเคยพูดว่ารักเจียวเจียวล้วนแต่หลอกข้าทั้งสิ้น”

ท่านโหวกู้ลนลาน รีบเอ่ยในทันใด “ข้าไม่ได้หลอกเจ้า! ข้าพูดจากใจจริง! ข้ารักเจียวเจียว! ข้ารักนางที่สุดแล้ว!”

แม่นางเหยาไม่อยากเสียงดังรบกวนลูกชายที่กำลังหลับสนิท เก็บกลั้นไฟโกรธเอาไว้ก่อนจะถามออกไป “เช่นนั้นข้าถามท่าน เจียวเจียวชอบกินอะไรที่สุด”

ท่านโหวกู้อ้าปากพะงาบ

เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเด็กนั่นชอบกินอะไร!

“แค่นี้ท่านก็ยังตอบไม่ได้ ยังมีหน้ามาพูดว่ารักเจียวเจียวอีก!” แม่นางเหยาว่าจบก็อุ้มกู้เสี่ยวเป่าเดินจากไปโดยไม่เหลียวมองกลับมา

ท่านโหวกู้ “…”

โว้ย!

กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นไปหาอาจารย์แม่หนานเซียงและอาจารย์หลู่ ไม่ได้อยู่ที่เรือน แม่นางเหยาเองก็เมินเฉยใส่เขา ท่านโหวกู้ขยี้จมูกด้วยความหงุดหงิด ไรขนชูชันทั่วทั้งกายบ่งบอกว่าในใจนั้นกระอักกระอ่วนเพียงใด

เขากำลังสองจิตสองใจว่าจะกลับไปก่อนดีหรือไม่ ในตอนนั้นเองเสี่ยวจิ้งคงก็เดินออกมา

เสี่ยวจิ้งคงเหมือนกับลูกเจี๊ยบของกู้เจียว กู้เจียวไปไหนเขาก็ตามไปที่นั่น ทว่าตอนนี้เขากลับไม่ตามติดกู้เจียว

ท่านโหวกู้ประหลาดใจไม่น้อย

เขามองไปยังเจ้าถั่วน้อยที่ไม่ว่าอย่างไรก็เหมือนไม่โตขึ้นเสียที หาได้ยากนักที่จะพูดจากับอีกฝ่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสักครั้ง “เจ้ามาทำอะไรรึ”

เสี่ยวจิ้งคงไม่ตอบ แต่เดินเตาะแตะไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ ยืนอยู่บนธรณีประตู มือน้อยไขว่ไว้ด้านหลัง มองเขาตาปริบๆ

ท่านโหวกู้มุมปากกระตุก “นี่เจ้ากำลังไล่แขกหรือ”

เสี่ยวจิ้งคงส่ายหัว “เจียวเจียวเคยบอกว่า ต้องเป็นเด็กมีมารยาท ผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก จะไล่แขกออกไปเพียงเพราะไม่อยากต้อนรับไม่ได้นั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ พวกข้าเป็นเด็กมีหน้าที่เชื่อฟังก็พอ”

ท่านโหวกู้ “…”

ท่านโหวกู้ที่หมดหนทางสู้จึงจำใจเดินคอตกกลับไปในที่สุด

กู้เจียวซ่อมห่วงตาข่ายของเสี่ยวจิ้งคงเสร็จแล้ว เสี่ยวจิ้งคงจึงแตะลูกชู่จวีได้อย่างสนุกสนานอีกครั้ง

“ขอบคุณเจียวเจียวยิ่งนัก!” เสี่ยวจิ้งคงยืนอยู่หน้าห่วงตาข่าย เอ่ยด้วยหน้าตาบ้องแบ๊ว

มุมปากกู้เจียวยกยิ้ม ก่อนจะหยิบลูกชู่จวีบนโต๊ะหินยื่นให้เขา “อยากเล่นไหม”

“เจียวเจียวจะเล่นกับข้าหรือ” เสี่ยวจิ้งคงถาม

“ได้สิ” กู้เจียวพยักหน้า

กู้เจียวเล่นกับเสี่ยวจิ้งคงได้ครู่หนึ่ง จนกระทั้งจี้จิ่วอาวุโสเลิกเวร กลับมาก็ตรวจการบ้านให้เสี่ยวจิ้งคงจนเสร็จ เขาถึงยอมกลับบ้านอย่างอาลัยอาวรณ์

ส่วนกู้เจียวก็กลับไปที่โรงหมอ

นางนำผลไม้เชื่อมและขนมซานจาที่ท่านปู่ทำมาด้วย

ยามนางเดินเข้ามาในห้อง ม่อเชียนเสวี่ยกำลังนั่งพิงหัวเตียงหน้าบึ้งตึง พอเห็นนางเดินเข้ามาก็ส่งเสียงฮึดฮัด กลอกตามองบน ก่อนจะเบี่ยงตัวหันหลังค้อนใส่กู้เจียว

กู้เจียวไม่เคยสนว่าเรื่องใด แต่สนใจว่าใครเป็นคนทำ หากเป็นคนที่นางยอมรับ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ก็ยอมได้ทั้งนั้น ในสายตาของกู้เจียวนั้นนิสัยงอแงของม่อเชียนเสวี่ยเป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋ว เหมือนกับตอนตากผ้าไม่แห้งอะไรประมาณนั้น

“วันนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือไม่” หมอกู้ถามไถ่

ม่อเชียนเสวี่ยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ตรงไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น!”

กู้เจียววางขนมลงบนโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะเอื้อมมือไปจับชีพจรนาง “อย่างนั้นหรือ ไหนข้าดูซิ”

ม่อเชียนเสวี่ยชักมือกลับ “ข้าไม่ให้คนโกหกดูหรอก!”

เกรี้ยวกราดปานนี้ ดูท่าแล้วช่วงบ่ายคงไม่มีอาการอะไรจริงๆ

กู้เจียวเป็นหมอ ย่อมใส่ใจอาหารการกินของคนป่วยเป็นธรรมดา นางเคยถามสาวใช้ ม่อเชียนเสวี่ยกินไม่มากนัก กับข้าวสองอย่างกับน้ำแกงอีกหนึ่งถ้วย นางกินแค่คำสองคำเท่านั้น

กู้เจียวเปิดกล่องอาหาร หยิบขนมซานจาเนื้อเงาวับที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ขึ้นมาก่อนจะเอ่ย “นี่เป็นขนมซานจาที่ท่านปู่เขยข้าทำ เจ้าลองชิมดู”

ยามใครคนหนึ่งเป็นห่วงอีกคน สิ่งที่สนใจก็มักจะเปลี่ยนไปจนรู้สึกแปลกประหลาด

ได้ยินดังนั้นม่อเชียนเสวี่ยก็แค่นหัวเราะ “ท่านปู่เจ้าไม่ได้มีน้องสาวเสียหน่อย เจ้าจะมีปู่เขยได้อย่างไร”

สายตาของกู้เจียวสะดุดกึกก่อนจะเหลียวมองนาง “เจ้าสืบเรื่องข้าหรือ”

ม่อเชียนเสวี่ยแววตาไหววูบ

ซวยแล้ว หลุดปากเสียแล้ว!

ม่อเชียนเสวี่ยเพิ่งจะรู้ว่ากู้เจียวคือหนุ่มใบ้ที่เคยเกี้ยวนางก็หลังจากกู้เจียวช่วยชีวิตนางกลับมาที่โรงหมอ แถมกู้เจียวยังไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นใคร ท่านตาเป็นใคร

จะว่าอีกอย่างก็คือก่อนที่นางจะรู้ว่ากู้เจียวเป็นใคร ม่อเชียนเสวี่ยผู้นี้เคยสืบประวัติลูกสาวของจวนติ้งอันโหว

เรื่องนี้ช่างน่าสงสัยนัก

เหตุใดม่อเชียนเสวี่ยถึงต้องสืบเรื่องของนาง

ม่อเชียนเสวี่ยตั้งสติ เอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “เรื่องพวกนี้ยังต้องสืบอีกหรือ เรื่องที่ลูกสาวจวนติ้งอันโหวเป็นหมอหญิงอยู่ที่โรงหมอ คนเขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว”

กู้เจียวจ้องนางไม่กะพริบ “แล้วเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าข้าคือหมอหญิงคนนั้น”

ม่อเชียนเสวี่ยทนสายตาไม่ยี่หระทว่าแฝงไปด้วยความแหลมคมของนางไม่ไหว “ก็เจ้าแซ่กู้ไม่ใช่หรือไร”

กู้เจียววางขนมซานจาลงบนมือของม่อเชียนเสวี่ยอย่างเฉยชา “ก็จริง”

ม่อเชียนเสวี่ยลอบถอนหายใจ โชคดีที่นางยังมีไหวพริบ!

กู้เจียวเอาขนมมาให้ม่อเชียนเสวี่ยเรียบร้อยแล้วก็ออกไปจัดยาให้นาง พออาการทรงตัวแล้วก็ต้องปรับยาให้ถูก

หลังจากนางเดินออกไป ม่อเชียนเสวี่ยก็ล้วงห่อยาผงออกมาจากอก ก่อนจะโรยลงบนขนมซานจาชิ้นหนึ่ง นางปัดผงยาส่วนเกินออก ผงยารวมตัวกับชั้นน้ำตาลที่เคลือบอยู่บนผิวหน้าเป็นเนื้อเดียว มองอย่างไรก็มองไม่ออก

เมื่อกู้เจียวยกถ้วยยาต้มร้อนกรุ่นเข้ามาในห้อง ม่อเชียนเสวี่ยก็นั่งพิงหัวเตียงด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง

บนตู้ข้างหัวเตียงของนางยังคงมีขนมซานจาที่วางเรียงซ้อนกันอยู่ นางส่งเสียงฮึดฮัด “รสชาติแปลกประหลาดอะไรก็ไม่รู้ ปู่เขยเจ้าทำเองอย่างนั้นรึ เจ้าไม่อยากดูแลข้างก็ว่าตามตรง ไม่จำเป็นต้องซื้อของริมทางพวกนั้นมาหลอกข้า”

“ไม่อร่อยรึ” กู้เจียวถามอย่างประหลาดใจ

ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยเสียงหงุดหงิด “ไม่อร่อยเลยสักนิด! ไม่เชื่อเจ้าก็ลองชิมเองสิ”

กู้เจียวหยิบขนมซานจาชิ้นบนสุดขึ้นมา

ม่อเชียนเสวี่ยคว้ามือของนางไว้พลางเอ่ยถาม “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะวางยาเจ้าเลยหรือ”

กู้เจียวถามกลับ “เจ้าจะทำเช่นนั้นหรือ”

ม่อเชียนเสวี่ยคลายมือออกก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ทำ! ทำแน่นอน! ข้าล่ะอยากจะวางยาคนโกหกอย่างเจ้าให้ตายไปเลย!”

กู้เจียวชิมขนมซานจาในมือหนึ่งคำ เรียวคิ้วก็ขมวดมุ่น “อืม เหมือนจะเปรี้ยวไปหน่อย ข้าคงหยิบมาผิดน่ะ นี่คงทำให้ท่านย่า”

“หมอกู้! ทางนู้นมีคนป่วยเป็นลมขอรับ”

เสียงของเสี่ยวซานจื่อดังมาจากข้างนอกเรือน

“จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!” กู้เจียววางขนมซานจาในมือลง ก่อนหันหลังเดินออกจากห้องไป

ม่อเชียนเสวี่ยมองขนมซานจาที่กู้เจียวกัดไปหนึ่งคำ ก่อนจะมองนกตัวหนึ่งและขนมซานจาอีกครึ่งชิ้นบนพื้นหิมะนอกหน้าต่าง เท้าที่อยู่ในผ้าห่มดีดดิ้นไปมาไม่หยุด!

คราวหน้า…คราวหน้าไม่มีทางใจอ่อนแน่นอน!

หากใจอ่อนอีกละก็ ข้าม่อเชียนเสวี่ยผู้นี้จะเปลี่ยนชื่อเป็นเสวี่ยเชียนม่อเลยคอยดู!

[1] ชู่จวี เป็นการละเล่นในสมัยโบราณคล้ายกับกีฬาฟุตบอล ผู้เล่นต้องเตะให้ลงห่วงตะข่ายที่ตั้งอยู่บนเสาตรงกลางสนาม