มือของจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่กำลังลูบขนแมวขาวชะงักทันใด
เจ้าแมวตัวสีขาวร้องครางอย่างไม่พอใจ มันสะบัดมือใหญ่ให้พ้นตัวก่อนจะวิ่งหนีไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้สนใจแมวสุดที่รัก เขาจ้องไปที่พานไห่พลางถาม “ยังมีชีวิตอยู่งั้นรึ”
พานไห่รีบพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ คุณชายรองแซ่เจียงยังมีชีวิตอยู่ และตอนนี้ก็กลับไปถึงจวนตงผิงปั๋วแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะถาม “แล้วเยี่ยนอ๋องล่ะ”
“เยี่ยนอ๋องกลับไปกับคุณชายรองเจียงพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พ่นลม “กลับมาถึงเมืองหลวงแทนที่จะกลับมารายงานข้าก่อน แต่กลับไปโผล่ที่จวนตงผิงปั๋วเสียอย่างนั้น…”
นี่เขาเก็บลูกคนอื่นมาเลี้ยงงั้นรึ
พานไห่มิได้แสดงความเห็น เขาเพียงแต่ส่งยิ้มจืดเจื่อน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองไปที่ขันทีคนสนิท “ไปเรียกเยี่ยนอ๋องและตงผิงปั๋วซื่อจื่อให้เข้าวังมาเดี๋ยวนี้”
พานไห่ลังเลชั่วอึดใจ
ให้ไปเรียกเยี่ยนอ๋องเข้าวังก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด เพียงแต่ตงผิงปั๋วซื่อจื่องั้นหรือ…ฝ่าบาทตรัสอะไรผิดไปหรือเปล่า
ลูกหลานของข้าราชการที่ทำคุณแก่แผ่นดินใช่ว่าเกิดมาแล้วจะมียศติดตัว ต้องมีการแต่งตั้งและได้รับการรับรองจากฮ่องเต้เสียก่อน
ซึ่งโดยส่วนมาก ฮ่องเต้จะไม่คัดค้านการแต่งตั้งตำแหน่งเช่นนี้ ยกเว้นในบางกรณีเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น หากรู้สึกไม่พอใจข้าราชการคนใด การแต่งตั้งตำแหน่งก็มักจะถูกยับยั้งไว้ก่อน รอให้อีกฝ่ายปรับเปลี่ยนตัวเองเสียก่อน หรือถ้าหากข้าราชการคนใดที่มีภรรยาแต่ไร้บุตรตั้งใจจะยกอนุภรรยาขึ้นมาแทนที่ภรรยาหลวง ก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่ามีการทำร้ายภรรยาหลวงเพื่อการนี้หรือไม่
จากที่กล่าวมาข้างต้น จิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นประมุขที่ใส่ใจในเรื่องเล็กน้อย หากผู้ใดประพฤติตัวอยู่ในทำนองคลองธรรม ฮ่องเต้ก็จะทรงตอบรับโดยไม่มีท่าทีอิดออด แต่เมื่อเป็นข้าราชการฉ้อฉลก็ทรงปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใดดุจกัน
เมื่อเห็นพานไห่มีท่าทีลังเล จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงขยับเปลือกตาพลางบอก “ไปซิ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
พานไห่เดินไปถึงประตู แต่ดูเหมือนจิ่งหมิงฮ่องเต้จะคิดอะไรออกจึงสั่งไปว่า “เชิญฮองเฮามาด้วย”
ไม่นานเกินรอ ฮองเฮาก็มาถึง ภาพที่เห็นคือจิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังนั่งหลังตรงคอยอยู่ นางนอนหมอนเคียงคู่ฮ่องเต้มานานหลายปีย่อมรู้จักเขาเป็นอย่างดี นางรู้สึกว่าฝ่าบาทในวันนี้มีอาการตื่นเต้น ทั้งที่ปกติแล้วมักจะแสดงท่าทีเฉยเมย
“ฝ่าบาทเรียกหม่อมฉันมาเข้าเฝ้า ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดจะรับสั่งหรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลืมตา “เจ้าเจ็ดกลับมาแล้ว”
ฮองเฮาแสดงท่าทีประหลาดใจ “เยี่ยนอ๋องกลับมาแล้ว แล้ว…”
“เขาพาบุตรชายของตงผิงปั๋วกลับมาด้วย”
ฮองเฮาคลี่ยิ้ม “สวรรค์มีตา ถึงได้ตอบแทนความตั้งใจของเยี่ยนอ๋อง”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้ว่าฮองเฮากำลังเข้าใจผิด แต่ก็ไม่คิดจะอธิบาย เขาเพียงแต่แย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย
ไม่นานพานไห่ก็กลับเข้ามา “ฝ่าบาท เยี่ยนอ๋องและคุณชายรองเจียงมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“พาเข้ามา”
ฮองเฮารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เหตุใดถึงบอกว่าเยี่ยนอ๋องและคุณชายรองเจียงมาถึงแล้ว
ในขณะที่นางกำลังสับสนก็เห็นบุรุษหนุ่มสองคนเดินเคียงไหล่กันเข้ามาและถวายความเคารพอย่างนอบน้อม
ใบหน้างามของฮองเฮาที่แสนสงบนิ่งขาดสีในทันใด มือสั่นเทาจนเป็นเหตุให้ฝาถ้วยชากลิ้งหล่นบนพื้นส่งเสียงขลุกขลัก
แต่เพราะจิ่งหมิงฮ่องเต้เตรียมใจมาแล้ว สีหน้าของเขาจึงมิได้เปลี่ยนจากเดิม แต่เขามองไปที่เจียงจั้นไม่วางตา
ยังมีชีวิตเดินเหินได้เป็นปกติจริงๆ ด้วย
“นั่งสิ”
ข้าหลวงยกเก้าอี้ตัวเล็กสองตัวเข้ามา
อวี้จิ่นและเจียงจั้นนั่งลงตามคำสั่ง
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองซ้าย มองขวา แล้วคำถามนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นในหัว เขาไม่รู้ว่าควรเริ่มถามจากตรงไหน สุดท้ายจึงบอกออกไปว่า “กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว บิดาของเจ้าคงดีใจน่าดู”
เจียงจั้นรู้สึกซาบซึ้ง
ดู๊ดู ฝ่าบาททรงเปี่ยมไปด้วยความเมตตายิ่งนัก ตั้งแต่เขาเดินเข้ามาจนถึงบัดนี้ ฝ่าบาทยังมิได้ละสายพระเนตรไปจากเขาเลย ไม่เหมือนท่านพ่อที่ดีใจอยู่เดี๋ยวเดียวก็หันไปสนใจแต่ลูกเขย
“เล่าให้ข้าฟังซิว่าไปเจอได้อย่างไร”
เจียงจั้นชำเลืองไปทางอวี้จิ่น
อวี้จิ่นจึงเป็นคนตอบ “ไปพบที่อูเหมียวพ่ะย่ะค่ะ”
แววตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ขับประกายลุ่มลึก “อูเหมียว?”
ฮ่องเต้และฮองเฮาหันมาสบตากัน อวี้จิ่นจึงอธิบายต่อ “ตอนที่ลูกไปถึงที่ทางใต้ ลูกได้สอบถามจากคนมากมาย และได้ทราบจากปากของหญิงที่มาซักผ้า นางเคยเห็นหญิงสาวที่สวมเครื่องแต่งกายชนเผ่าช่วยชีวิตคุณชายคนหนึ่งขึ้นมาจากแม่น้ำ ลูกเลยถามรายละเอียดเพิ่มเติมจนยืนยันได้ว่าคนที่ช่วยคือชาวอูเหมียว ลูกไม่อาจปล่อยความเป็นไปได้อันริบหรี่นี้ไป ถึงตรงไปที่เผ่าอูเหมียวทันที และพี่รองคือคนที่ชาวอูเหมียวช่วยชีวิตเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ…”
อวี้จิ่นรู้ดีว่าต้องเพิ่มเติมรายละเอียดให้เรื่องราวดูสมจริงเพื่อให้ไม่ถูกจับได้
แต่เขาไม่ได้ปิดบังเรื่องที่ตนเองไปที่เผ่าอูเหมียว เนื่องจากเจียงจั้นก็อยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน หากองครักษ์จิ่นหลินที่แฝงตัวอยู่ที่ทางใต้สืบดูก็อาจทราบความจริง แทนที่จะปล่อยให้เสด็จพ่อต้องมาสงสัยทีหลัง สู้เขาบอกไปก่อนจะดีกว่า
“เหตุใดตอนที่ถูกอูเหมียวช่วยขึ้นมาถึงไม่รีบส่งข่าวมาเลยล่ะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปถามเจียงจั้นด้วยน้ำเสียงกล่าวโทษ “ข่าวที่เจ้าเสียชีวิตในสนามรบทำให้คนมากมายต้องเป็นทุกข์ใจ”
เจียงจั้นนึกชื่นชมวิสัยทัศน์ของอวี้จิ่นที่เตี๊ยมกับเขาไว้ล่วงหน้าว่าควรตอบเช่นไร เมื่อถูกถามเช่นนั้น เจียงจั้นก็เอ่ยตอบด้วยท่าทีรู้สึกผิด “เป็นเพราะกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่กระหม่อมฟื้นคืนมา กระหม่อมความจำเสื่อมไประยะหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
ความจำเสื่อมงั้นหรือ
คำตอบนั้นทำให้มุมปากของจิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกโดยพลัน เพราะมันทำให้คิดถึงอดีตไท่จื่อที่เสียชีวิตไปแล้ว
ตอนนั้นไอ้ลูกไม่เอาถ่านนั่นก็เคยบอกว่า ‘ความจำเสื่อม!’
แต่เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของบุรุษหนุ่มตรงหน้า จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ค่อยๆ ปรับอารมณ์ให้เข้าที่
เด็กคนนี้ดูเป็นคนสัตย์ซื่อ เขาคงไม่ได้แกล้งความจำเสื่อมหรอกกระมัง
อีกอย่าง คนที่พลัดหลงไปอยู่ต่างถิ่น หากมิใช่เพราะความจำเสื่อมคงจะรีบหาทางติดต่อครอบครัวให้ได้โดยเร็วที่สุด ฉะนั้นการจะบอกว่าเขาแกล้งความจำเสื่อมดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
จิ่งหมิงฮ่องเต้เชื่อคำกล่าวนั้นอย่างสนิทใจ เขาส่งยิ้มพลางกล่าว “ถึงอย่างไร กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว”
เจียงจั้นรีบตอบ “โชคดีที่ได้ท่านอ๋อง มิฉะนั้นแล้วกระหม่อมไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปหาอวี้จิ่นก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “คราวนี้เจ้าทำได้ดี”
เมื่อเป็นบุตรชายของตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องสรรเสริญเยินยอให้มากความ เขาจะได้ไม่เหลิง
จิ่งหมิงฮ่องเต้สวมบทบาทบิดาที่เคร่งครัด เขาเอ่ยเสียงเข้ม “จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ลำบากภรรยาของเจ้าไม่น้อย”
อวี้จิ่นชะงักงัน
แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยากพูดเพื่อเรียกร้องสิ่งใดจากเสด็จพ่อ อีกทั้งเขาเองก็รักภรรยาของเขายิ่งกว่าสิ่งใด แต่การที่เสด็จพ่อตรัสเช่นนี้ทั้งที่ไม่ทราบว่าอาซื่อหนีไปทางใต้ ไม่เกินไปหน่อยหรือ
เจียงจั้นประหม่าจึงหลุดถาม “น้องสี่ทำไมรึ”
หรือว่าฝ่าบาททรงทราบเรื่องที่น้องสี่หนีไปทางใต้
เจียงจั้นพิจารณาสีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้แล้วจึงได้คำตอบ
ฝ่าบาททรงมีเมตตาถึงเพียงนี้ คงมิได้ข่มขู่โดยการเอ่ยวาจาประชดประชันหรอกใช่หรือไม่
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะ “พวกเจ้าอาจจะยังไม่รู้ เจ้าเจ็ดออกจากเมืองหลวงไปไม่ทันไร พระชายาเยี่ยนอ๋องก็เฝ้าสวดมนต์เฝ้าภาวนาเก็บตัวอยู่แต่ในจวน เพื่อให้จิตสัมฤทธิผล นางไม่ยอมพูดกับผู้ใด ข้าไม่คิดเลยว่าการตั้งจิตสวดมนต์จะได้ผลถึงขนาดนี้…”
เมื่อได้คำตอบจนพอใจแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็สั่งให้ทั้งสองกลับไปได้
ทั้งตำหนักสงบเงียบ มีเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาที่นั่งมองหน้ากัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “ไว้ฮองเฮาไปถามสะใภ้เจ็ดหน่อยว่านางบูชาพระโพธิสัตว์องค์ใดถึงได้ขลังเพียงนี้”
คนที่คิดว่าตายไปแล้วกลับกลายว่ายังมีชีวิตอยู่ ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก หากรู้เช่นนี้ไว้สร้างหอพระในวังหลวงให้ฮองเฮาไว้บูชา เผื่อว่าเคราะห์ร้ายทั้งหลายแหล่จะได้กลายเป็นดี
ฮองเฮามีลางสังหรณ์แปลกๆ จึงเพียงตอบรับอย่างแผ่วเบา