บทที่ 671 เจ้าต้องอยู่กับข้า
บทที่ 671 เจ้าต้องอยู่กับข้า
“ซวีจ้าว ที่ผ่านมาเจ้ามักจะปฏิเสธร่วมดื่มสุรากับข้า วันนี้เจ้าคงหนีข้าไม่พ้นแล้วใช่ไหมล่ะ?”
เหยาเอ้อหลางเห็นท่าทางจนปัญญาของซวีจ้าว ก็อดขบขันในใจไม่ได้
หรือในใจของเขา ตนเหมือนพ่อพวงมาลัยที่เอ้อระเหยลอยชายอย่างนั้นสิ? แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ วันนี้เขาไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปเด็ดขาด
“เอ้อหลาง เจ้าเมาแล้ว”
“ชิ ข้าเพิ่งดื่มไปไม่เท่าไรก็เมาแล้ว เจ้ากล่าวหาว่าข้าคออ่อนงั้นสิ”
เหยาเอ้อหลางไม่ชอบให้ใครมากล่าวหาว่าตนเมา อีกอย่างวันนี้เขายังไม่ได้เริ่มดื่มเป็นจริงเป็นจัง จะเมาได้อย่างไร
“นั่นน่ะสิ ซวีจ้าว เจ้าไม่รู้จักเหยาเอ้อหลางหรือ เขาเป็นคนที่ยิ่งดื่มยิ่งสนุก นี่ยังไม่ทันได้เริ่มดื่มเลย”
คุณชายที่อยู่ข้างกายท่านหนึ่งก็เป็นพวกที่ชอบดูความคึกคักเพื่อความบันเทิงเทือกนั้น ครั้นเห็นซวีจ้าวและเหยาเอ้อหลาง สายตาคู่นั้นก็ฉายแววมาดร้ายวาบออกมา
“ถูกต้อง ๆ วันนี้เป็นวันน่ายินดี เจ้าให้เขาดื่มเถอะ ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ซวีจ้าว วันนี้ข้าไม่ต้องเอ่ยสิ่งใด พวกเขาทำให้เจ้าหมดคำพูดแล้ว” เหยาเอ้อหลางมองพี่น้องที่เข้าข้างตัวเองเต็มกำลัง จู่ ๆ ก็รู้สึกสงสารซวีจ้าว
คนตั้งมากตั้งมาย แต่ไม่มีใครช่วยเขาสักคน ใครใช้ให้เขาไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไม่ยอมคบค้าเพื่อนพ้องกันเล่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเจ้าก็ค่อย ๆ ดื่มเถอะ” ซวีจ้าวเอ่ยขณะเตรียมจะหมุนตัวจากไป เหยาเอ้อหลางในตอนนี้ทำเขาหมดคำพูด ซึ่งเขาไม่อยากเสียเวลากับอีกฝ่ายเช่นกัน
แต่หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ถูกเหยาเอ้อหลางดึงแขนเสื้อไว้ ซวีจ้าวมองเหยาเอ้อหลางอย่างไม่เข้าใจ
“จะไปไหน วันนี้ในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้าภาพงาน ควรอยู่ดูแลแขกเหรื่อในงานไม่ใช่รึ?”
“เจ้าก็เป็นเจ้าภาพงาน” ซวีจ้าวจำได้ แม้ว่าเหยาเอ้อหลางจะเป็นแขกในนาม แต่เขาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับหลินซือ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องร่วมเป็นเจ้าภาพด้วยกันครึ่งหนึ่ง
ดังนั้นตอนนี้เหยาเอ้อหลางกำลังอาศัยฤทธิ์สุราแกล้งเมากับเขางั้นสิ?
“ข้าไม่สนใจ เจ้าคือเจ้าภาพ ถ้าเจ้าไม่อยู่กับข้า ข้าจะไปดื่มสุรากับอาจื้อ”
“เจ้า…”
“พี่รองเป็นอะไรไป เมาแล้วอย่างนั้นรึ?” หลินซือที่ต้อนรับแขกเหลืออยู่ข้างนอกตลอดได้สังเกตเห็นสถานการณ์ของเหยาเอ้อหลางทางนี้
นางจึงค่อย ๆ ย่างเดินออกมา จากนั้นก็มองเหยาเอ้อหลางพลางเอ่ยขึ้น มารดาเคยบอกกับนาง ให้นางดูแลพี่ซวีจ้าวให้ดี แต่ญาติผู้พี่คนรองคือคนที่ชอบรังแกพี่ซวีข้าวเป็นที่สุด
“น้องหญิง เจ้ามาได้อย่างไร?” เหยาเอ้อหลางที่อาศัยฤทธิ์สุราแกล้งเมาเมื่อครู่ ใครเลยจะรู้ว่าหลินซือจะเดินมา
เขารักญาติผู้น้องคนนี้ของเขาที่สุด ครั้นนึกถึงเหตุการณ์ที่ญาติผู้น้องต้องกระโดดหน้าผาเพียงเพราะตัวเองไล่ตามไปไม่ทันในคราวนั้น เวลานี้จึงสร่างเมาสุราในทันที
“ถ้าข้าไม่มา เกรงว่าพี่รองคงรังแกพี่ซวีจ้าวไปแล้ว พี่รอง พี่นะพี่ รังแกแต่ผู้อื่นเก่งยิ่งนัก”
“เหอะ ๆ ไม่ใช่เพราะข้าเห็นซวีจ้าวไม่ค่อยพูดค่อยจา เลยหยอกล้อเขาเล็กน้อยหรอกหรือ” ครั้นเห็นเอ้อเป่า เหยาเอ้อหลางไม่ได้โกรธเคือง แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นทำให้หลินซือหมดปัญญาพูดต่อเช่นกัน
“พี่ซวี ท่านไปนั่งโต๊ะอื่นเถิด ข้าดูแลพี่รองเอง”
“อื้อ” แม้ว่าการให้หลินซือเด็กสาวตัวน้อยมาออกหน้าแทนเขาเป็นเรื่องไม่ดี แต่ซวีจ้าวก็ไม่สามารถทนเห็นเหยาเอ้อหลางโวยวายโดยไร้เหตุผลได้อีกต่อไป ได้ยินคำพูดของหลินซือจึงรีบเดินไปโต๊ะอื่นทันที
สายตาของเหยาเอ้อหลางจับจ้องไปยังซวีจ้าวที่ย้ายตัวออกไป ทำให้หลินซือถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกโดยแท้จริง
ดูท่าคงมีแค่พี่ซวีคนเดียวที่สามารถกำหราบพี่คนรองที่ไม่มีความยำเกรงต่อสิ่งใดคนนี้ได้
“น้องหญิง เจ้าจะทำอะไร? หรือพี่ไม่น่าเชื่อถือมากเพียงนั้นเลยรึ?”
“วันนี้เป็นวันแต่งงานของท่านพี่ใหญ่ พี่รองไม่กลัวว่าพี่ของข้าจะมาตามคิดบัญชีกับท่านทีหลังรึ?”
“ก็ได้ ๆ ข้าไม่หาเรื่องซวีจ้าวแล้วก็ได้”
“ก็ดี จริงสิ พี่รอง ท่านแม่ฝากให้ข้ามาบอกท่านอย่างหนึ่ง อีกไม่นานพี่ซวีจะออกเดินทางแล้วนะ ดังนั้นต่อไปเขาอาจจะยุ่งมาก คาดว่าวันเวลาที่จะได้เจอกันของพวกท่านคงน้อยลงแล้ว”
“เมื่อไร? เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“พี่รองลืมไปแล้วหรือว่าท่านพ่อข้าเป็นท่านแม่ทัพใหญ่? หากองค์จักรพรรดิต้องการเคลื่อนทัพ ท่านพ่อของข้าก็ย่อมต้องรู้เป็นธรรมดา”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ เหยาเอ้อหลางก็เคร่งขรึมลง เขาจะลืมได้อย่างไร เดิมทีซวีจ้าวเป็นทหารที่ต้องออกรบ ต่อให้เขาชอบที่ได้อยู่ร่วมกับอีกฝ่ายมาก แต่เขาจะรั้งอีกฝ่ายได้นานเพียงใด?
“ครานี้เพราะเหตุผลใดละ?”
“ดูเหมือนเป็นเพราะเผ่าซยงหนูรุกรานเข้ามา ราษฎรที่อาศัยอยู่ริมชายแดนต่างได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นเจ้าเมืองทางนั้นได้ส่งฎีการ้องตรงต่อองค์จักรพรรดิ องค์จักรพรรดิคิดว่าเผ่าซยงหนูกำเริบเสิบสานมากเกินไป คิดโจมตีอำนาจของเขา”
“ซวีจ้าวต้องไปจริง ๆ ใช่ไหม?”
“ท่านพ่อขอปฏิเสธการเดินทางในครานี้ต่อองค์จักรพรรดิ ซึ่งองค์จักรพรรดิทรงเห็นด้วย แต่ในขณะเดียวกันได้มีการร้องขออย่างหนึ่ง คือการให้พี่ซวีนำทัพแนวหน้า ดังนั้นพี่ซวีจึงต้องไป” หลินซือได้ยินเรื่องที่ท่านแม่เอ่ยถึงซวีจ้าวและเหยาเอ้อหลางไม่มากก็น้อย ดังนั้นจึงอดพูดมากไม่ได้
“ข้าเข้าใจแล้ว ต่อไปข้าจะไม่รบกวนซวีจ้าวอีก น้องหญิง เรื่องนี้เจ้าวางใจได้”
เหยาเอ้อหลางไม่รู้ว่าจะมีเหตุผลเหล่านี้ จึงเงียบขรึมลงทันใด
รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องนี้อาจทำให้เหยาเอ้อหลางต้องคิดมาก แต่ครั้นหลินซือเห็นเหยาเอ้อหลางเงียบขรึมไป จึงไม่เอ่ยสิ่งใด ออกไปต้อนรับแขกข้างนอกต่อ
ท่าทางของเหยาเอ้อหลางที่เห็นอยู่ในงานเลี้ยงที่ค่อนข้างครึกครื้นเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นไร้ชีวิตชีวา
“เอาล่ะ หยุดคิดมากได้แล้ว วันนี้เป็นงานแต่งของหลินจื้อ ถ้าเจ้าทำหน้าซังกะตายเช่นนี้ อีกเดี๋ยวหลินจื้อออกมาเห็นคงคิดว่าเจ้าต้องการแย่งเจ้าสาวของเขาไปแน่”
“ก็ใช่ เรื่องอื่นเราค่อยว่ากันทีหลัง วันนี้เราต้องดื่มกันให้เต็มที่”
“เยี่ยม พวกเจ้าพูดถูก แต่ขอบอกว่าฮูหยินของหลินจื้อช่างงดดงามยิ่งนัก ก่อนหน้านั้นข้ารู้สึกว่าสองคนนั้นพยายามหลบ ๆ ซ่อน ๆ ตอนนี้ดูท่าจะกลายเป็นเรื่องจริง รู้เช่นนี้เป็นแม่สื่อให้ก็ดี”
“ใครจะอยากให้เจ้าเป็นแม่สื่อ? เจ้าไม่รู้หรือไรว่างานแต่งในครานี้เป็นการหารือของตระกูลหลินและตระกูลไป๋ต่างหาก? ฝ่ายชายมีความรัก ฝ่ายหญิงมีใจ ไฉนต้องมีเจ้า?”
ต่อให้ต้องเจอเรื่องทุกข์เพียงใด วันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนมีความสุข เหยาซูและหลินเหราร่วมส่งแขกกลุ่มสุดท้าย กระทั่งเห็นเหยาเอ้อหลางและหลินซือกำลังสนุกสนาน
แม้จะเป็นเด็ก แต่หลินซือยังมีความรับผิดชอบ ทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้อง นานมากแล้วที่ไม่ได้กลับเรือนเร็วเช่นนี้ เขาเองก็อยากอยู่กับฮูหยินของตัวเอง ได้เสพสุขช่วงเวลาของพวกเขาสองคน
เจี่ยงเถิงนั่งอยู่ข้างกายหลินซือ ช่วยแกะเปลือกถั่วเปลือกแข็งให้นาง ยื่นเนื้อถั่วให้หลินซือ ทั้งยังมีความสุขอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ด้วยเหตุนี้ เหยาเอ้อหลางจึงมักอิจฉา แต่ก็ช่วยไม่ได้ไม่มีใครแกะเปลือกถั่วให้เขา ก็แค่ต้องแกะเอง แล้วก็ต้องกินดีอยู่ดี
งานเลี้ยงต่อให้คึกคักเพียงใดก็ต้องมีวันเลิกรา ครั้นเห็นเวลาดึกมากแล้ว เจี่ยงเถิงจึงพาหลินซือกลับมายังเรือนของนาง ให้นางพักผ่อน ส่วนเหยาเอ้อหลางก็โวยวายให้ซวีจ้าวไปส่งเขาตลอด มิเช่นนั้นเขาจะไม่ยอมกลับเด็ดขาด