บทที่ 670 หลินจื้อแต่งงาน

บทที่ 670 หลินจื้อแต่งงาน

“คำสั่งสอนของท่านพ่อและท่านแม่ ลูกจะจดจำไว้เจ้าค่ะ” ไป๋หรูปิงลุกขึ้นภายใต้การประคองของสาวใช้ จากนั้นก็คำนับอีกครั้ง

ลำดับต่อไปคือการกราบไหว้บรรพบุรุษ ในฐานะบุตรสาวแห่งตระกูลไป๋ สตรีที่ออกเรือนทุกคนล้วนต้องบอกกล่าวบรรพบุรุษ ประการที่หนึ่งคือการขอพรจากบรรพบุรุษ ประการที่สองเพื่อบอกกล่าวให้ทุกคนได้รับรู้ บุตรสาวของตระกูลไป๋ได้ออกเรือนแล้ว ถือว่าเป็นพิธีที่ขาดไม่ได้

ในตอนที่กราบไหว้บิดามารดาเมื่อครู่ หลินซือยังยืนดูอยู่ด้านข้าง แต่ถึงคราวกราบไหว้บรรพบุรุษซึ่งเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างลึกลับ หลินซือจึงไม่ได้ตามเข้าไปด้วยเป็นธรรมดา

นางกลับมายังเรือนของไป๋หรูปิงเพียงลำพัง รอให้ไป๋หรูปิงทำพิธีเสร็จแล้วกลับมา จากนั้นก็รอหลินจื้อมารับตัวไป

ไม่นาน ไป๋หรูปิงก็กลับมาในเรือนภายใต้การประคองของสาวใช้ ครั้นเห็นหลินซือ ดวงตาแดงก็ก่ำเล็กน้อย

“พี่ไป๋ พี่เป็นอะไรไปเจ้าคะ?” หลินซือเกิดความกระวนกระวายในใจ พี่ชายของตนกำชับนนักหนา อย่าทำให้พี่ไป๋ได้รับความไม่เป็นธรรมเด็ดขาด แต่ดูเหมือนนางจะทำได้ไม่ดีพอ

“ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดว่าหลังจากนี้คงมีเวลามาเยี่ยมเยือนท่านพ่อและท่านแม่น้อยลง ก็เลยเสียใจเท่านั้น”

“ไม่เป็นไร ต่อไปท่านแม่ของข้าจะเป็นมารดาของพี่เอง บางครั้งข้ายังรู้สึกว่าท่านแม่ของข้าดีกับพี่มากกว่าข้าเสียอีก!” หลินซือเอ่ยด้วยความอิจฉาเล็กน้อย

“นั่นเพราะคิดว่าเจ้าคือลูกสาวแท้ ๆ ของท่านป้าซู นางถึงได้เข้มงวดกับเจ้ามากอย่างไรเล่า” ไป๋หรูปิงที่เดิมทียังรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง เห็นท่าทางน่ารักของหลินซือ ความเสียใจก็หายไปทันใด

เป็นดั่งที่คิดไว้ เอ้อเป่าเป็นที่มาของความสุขของทุกคน ได้อยู่กับเอ้อเป่า การรู้สึกแย่คงเป็นเรื่องยากมาก

“ต่อไปพี่ก็เป็นลูกสะใภ้ของท่านแม่ข้าแล้ว ต้องโดนหนักกว่าข้าแน่นอน”

“แล้วถ้าข้าและท่านป้าซูร่วมมือกันเล่นงานเจ้าล่ะ?”

“…”

“เอาล่ะ ไม่แกล้งเจ้าแล้ว เจ้าช่วยกลับไปก่อนนะ ข้าไม่เป็นไรแล้ว”

“ไม่ได้ ข้ารับปากท่านพี่ไว้แล้วว่าจะรอให้ท่านพี่มารับตัวก่อน ข้าค่อยไป” หลินซือมองไป๋หรูปิงด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

“ก็ได้” ครั้นเห็นท่าทางยืนหยัดของหลินซือ ไป๋หรูปิงก็ไม่กล่าวสิ่งใด

โชคดีที่เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลินซือไม่ต้องรอนานนัก

เป็นดั่งที่คาดคิดไว้ ในตอนที่ไป๋หรูปิงและหลินซือกำลังพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยนั้น แม่งานที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามาเร่งรัด บอกว่าเจ้าบ่าวมาถึงหน้าประตูจวนแล้ว ให้ไป๋หรูปิงรีบเตรียมตัวให้ดี

หลินซือหยิบผ้าคลุมหน้าข้างมือมาคลุมให้ไป๋หรูปิง จากนั้นก็ประคองตัวไป๋หรูปิงออกไปข้างนอก กระทั่งเห็นหลินจื้อในชุดแต่งงานสีแดงทั้งตัวยืนอยู่ดังที่คิดไว้

“ท่านพี่ วันนี้หล่อเหลาเอาการเชียวนะ” ครั้นจูงมือไป๋หรูปิงมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของหลินจื้อ หลินซือก็อดชื่นชมไม่ได้

ส่วนไป๋หรูปิงถูกคลุมหน้าด้วยผ้าสีแดง ย่อมมองไม่เห็นว่าหลินจื้อมีลักษณะเช่นไร ทุกคนต่างล้อมตัวนางไว้ แต่นางเห็นแค่เพียงเท้าของหลินจื้อ

“อย่าซนสิ”

“ก็ได้ ท่านพี่ ข้าจะส่งมอบพี่ไป๋สู่มือของท่านพี่แล้วนะ ต่อไปห้ามรังแกพี่ไป๋เด็ดขาด มิเช่นนั้นข้าจะไปฟ้องท่านแม่”

“ได้” หลินจื้อมองน้องสาวสุดดวงใจของตัวเอง ไม่รู้ว่านางเป็นน้องสาวใครกันแน่

ปกป้องศิษย์น้องอย่างแน่นหนาเพียงนั้น จนคนอื่นที่ไม่รู้คิดว่านางเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของศิษย์น้องไปแล้ว

ต่อจากนั้น ไป๋หรูปิงก็รู้สึกได้ถึงมือของหลินจื้อที่กุมมือของนางแน่น แล้วพานางเดินออกไปข้างนอกทีละก้าว ๆ ทั่วสารทิศเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่คอยส่งเสียงโห่ร้อง แต่นางได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวอย่างชัดเจน

“อย่ากลัว” เหมือนกับรู้ว่าไป๋หรูปิงกำลังกังวล หลินจื้อจึงยื่นหน้าเข้ามาเอ่ยเสียงเบาข้างหูของนาง

จากนั้น ไป๋หรูปิงคล้อยตามการนำพาของหลินจื้อ เดินทีละก้าว ๆ จนมาถึงเกี้ยวลายดอกไม้ ตามมาด้วยเสียงประทัดดังขึ้นข้างหู สร้างความคึกคักไม่น้อย

เกี้ยวลายดอกไม้ถูกหามไปยังตรอกซอยและถนนใหญ่ บรรดาชาวบ้านต่างออกมาดูความคึกคักนี้

หลินจื้อตระเตรียมของกินเล่นและลูกกวาดไว้มากมาย ระหว่างทางได้แจกจ่ายให้กับพวกชาวบ้าน รวมทั้งเด็กบางกลุ่มเพื่อให้ได้รับของกินที่มากขึ้น ปากก็พรั่งพรูคำอวยพรไม่มีหยุดพัก

เวลานี้ไป๋หรูปิงเพิ่งสัมผัสได้ถึงการออกเรือนโดยแท้จริง นับแต่นี้ไปนางจะเป็นภรรยาของศิษย์พี่แล้ว

ครั้นถึงจวนหลิน เกี้ยวดอกไม้ได้เกิดการโยกไปมาเบา ๆ นี่คือการโยกพอเป็นพิธีของหลินจื้อ จากนั้นก็ปล่อยให้แม่งานประคองตัวเจ้าสาวเดินเข้าไปในจวนหลินทีละก้าว ๆ

แม้ว่าจะมาหลายครั้งแล้ว แต่วันนี้กลับแตกต่างไปจากเดิม

“ท่านแม่ทัพหลิน ขอแสดงความยินดีด้วย”

“ฮ่า ๆๆ ขอบคุณมาก วันนี้เชิญดื่มกันตามสบาย”

“พวกเจ้าดูสิ เจ้าสาวถูกคลุมหน้าด้วยผ้าสีแดง รู้ทั้งรู้ว่าต้องเป็นเจ้าสาวที่งามสะพรั่งแน่นอน รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าของเจ้าบ่าวยังไม่หุบเลย”

“พวกเจ้าไม่รู้ใช่ไหม เจ้าบ่าวและเจ้าสาวคู่นี้เป็นสหายที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเปรียบเทียบกับคนทั่วไปได้”

หลังจากเดินผ่านเส้นทางที่ยาวเหยียด ในที่สุดก็มาถึงห้องโถงใหญ่ของจวนหลิน

แม่งานปล่อยตัวไป๋หรูปิง จากนั้นก็ยื่นผ้าไหมสีแดงผืนหนึ่งให้นาง ส่วนอีกด้านก็น่าจะอยู่ในมือของหลินจื้อ

“ฤดูใบไม้ร่วงสีเหลืองทอง อากาศปลอดโปร่งแสนสบาย จวนหลินทั้งบนล่าง ต่างร่วมแสดงความยินดี วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของคุณชายใหญ่แห่งจวนหลินและคุณหนูแห่งจวนไป๋ ลำดับต่อไป คำนับฟ้าดิน!”

เสียงของแม่งานดังกึกก้อง แต่กลับไม่อาจต้านทานเสียงโห่ร้องรอบตัว ไป๋หรูปิงรู้ว่าพวกเข้าลวนดีใจไปกับนางและหลินจื้อด้วยใจจริง

“หนึ่งกราบคำนับฟ้าดิน ชายผู้มีพรรสวรรค์คู่ควรกับหญิงงามเลิศล้ำ สาวทอผ้าไหมคู่ควรกับชายเลี้ยงวัว วาสนาจารึกบนศิลาสามชาติ สองกราบคำนับบรรพบุรุษ บิดามารดาทั้งสองฝ่าย พระคุณจากการเลี้ยงดู สามีภรรยาคำนับซึ่งกันและกัน สวรรค์เป็นผู้ลิขิต จงเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียว ขอแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวใหม่ ขอให้สมหวังดั่งปรารถนาทุกประการ มิตรภาพแห่งสามีภรรยาจะคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ขอให้คู่บ่าวสาวอายุยืนเป็นร้อยปี เต็มเปี่ยมด้วยความสุข มีลูกหลานเร็ววัน เสร็จพิธี ส่งตัวเข้าหอได้!”

หลังจากที่ส่งตัวไป๋หรูปิงเข้าเรือนหอแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ทุกกระบวนการล้วนมีแม่งานคอยชี้แนะอยู่ข้างกายตลอด จึงไม่เกิดข้อผิดพลาดใด

หลินซือมองไป๋หรูปิงกระทั่งตอนนี้ได้กลายเป็นคนในครอบครัวของพวกนาง ในใจก็รู้สึกยินดีไม่น้อย

ส่วนเจี่ยงเถิงที่อยู่ข้างกายครั้นเห็นหลินจื้อ ในใจก็อดอิจฉาไม่ได้ เขาคิดไว้แล้วว่าจะต้องสู่ขออาซือกลับจวนให้จงได้ เช่นนี้เขาจะได้ไม่มีเวลามากังวลว่าอาซือจะถูกคนอื่นแย่งไปอีกแล้ว

ราวกับมีกระแสจิตก็มิปาน ในตอนที่หลินซือมองเจี่ยงเถิง เจี่ยงเถิงก็มองนางเช่นกัน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องพูดมากความ

“ข้าขอตัวก่อน พี่อาเถิง ตามสบาย” ราวกับทนสายตาอันเร่าร้อนของเจี่ยงเถิงไม่ไหว อาซือจึงรีบจากไป

“เจ้าไปเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะต้องไปช่วยพี่ใหญ่ดื่มสุรา”

“งั้นก็ได้ แต่พี่ห้ามดื่มเยอะนะ ร่างกายยังไม่แข็งแรงสมบูรณ์ดี!”

“ข้ายับยั้งได้ เจ้าวางใจเถิด” ครั้นได้ยินคำพูดของเจี่ยงเถิง อาซือจึงจากไปอย่างวางใจ

ส่วนเจี่ยงเถิงก็อดยิ้มไม่ได้ อาซือยังเขินอายเช่นเดิม นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อาซือดึงดูดความสนใจเขาในตอนแรก

ไม่ใช่ใครจะเป็นดั่งอาซือได้ มีแค่อาซือเพียงผู้เดียวที่ทำให้เขาเฝ้าคะนึงหา

วันนี้เป็นวันมงคลของหลินจื้อ ทุกคนในจวนหลินต่างร่วมยินดี แม้แต่ซวีจ้าวที่อาศัยอยู่ในจวนหลินก็ยังกลายเป็นคนต้อนรับแขกไปโดยปริยาย

เพียงแต่แขกที่เขาต้อนรับไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเหยาเอ้อหลาง…