บทที่ 669 ต่อไป ที่นั่นคือเรือนของเจ้า
บทที่ 669 ต่อไป ที่นั่นคือเรือนของเจ้า
หนึ่งเดือนผ่านไป ในที่สุดก็มาถึงวันสู่ขออย่างเป็นทางการ
งานรื่นเริงถูกจัดขึ้นไปทั่วทั้งจวนหลิน แม้แต้หลินเซินที่ชอบความคึกคักเป็นชีวิตจิตใจ ก็ยังแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวปักดิ้นทองลายดอกไม้วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในจวนหลิน
วันนี้เป็นวันสู่ขอของหลินจื้อคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหลิน ส่วนสตรีที่ถูกสู่ขอนั้น ก็คือดวงใจที่เขาถวิลหาทุกเช้าค่ำ นั่นคือไป๋หรูปิงบุตรสาวของไป๋โป๋เจ๋อ
“ท่านพี่ วันนี้ท่านต้องสู่ขอภรรยาแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง?” หลินเซินมองหลินจื้อด้วยความอยากรู้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน แต่ด้วยวัยในตอนนี้ของเขายากจะเข้าใจความรู้สึกของหลินจื้อ
“ตอนนี้เจ้ายังเด็ก ไว้เจ้าโตขึ้นจะเข้าใจเอง”
“ท่านพี่และท่านปู่ล้วนพูดเช่นนี้ ชอบพูดปัดว่าข้ายังเด็ก อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ” หลินเซินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้เจ้าบอกว่าเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เช่นนั้นก็ช่วยข้าออกไปกล่าวทักทายแขกเหรื่อด้านนอกดีกว่า ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะตามออกไป” หลินจื้อมองน้องชายของตัวเอง แล้วอดยิ้มไม่ได้
ผู้เป็นปู่เลี้ยงอาเซินมาอย่างดีให้มีรู้ความและถ่อมตน เพียงแต่เปรียบเทียบกับอายุในตอนนี้ ยังมีความเป็นเด็กพอสมควร
“งั้นก็ได้ จริงสิ เหตุใดข้าไม่เห็นพี่สาวเลยล่ะ?” หลินเซินเดินวนทั่วจวนหลินหลายรอบ แม้แต่ในเรือนหลินซือก็ไปมาแล้วหลายครั้ง แต่กลับไม่เจอหลินซือแม้แต่เงา
“นางไปหาว่าที่พี่สะใภ้ของเจ้า”
“พี่ใหญ่ คำพูดของพี่ทำข้ารับไม่ได้ เมื่อไรจะกลับมาเป็นปกติเสียที? ว่าที่พี่สะใภ้ ท่านเรียกนางว่าพี่ไป๋ไม่ดีกว่าหรือไร?”
“เจ้าไม่เข้าใจ”
“…” ประโยคนี้อีกแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเซินเกลียดชังกับอายุของตัวเองเข้ากระดูกดำ แต่ครั้นเห็นพี่ชายของตัวเองยุ่งตัวเป็นเกลียว จึงไม่กล้ารบกวน ตัวเองจึงออกไปกล่าวทักทายแขกเหรื่อข้างนอก
แม้นจะบอกว่าทักทายแขก แต่กลับเดินเตร็ดเตร่ไปทุกสารทิศ ถึงอย่างไรก็มีเหยาซูและหลินเหรา ไม่ต้องให้หลินเซินลงมือเองหรอก
ครั้นเห็นน้องชายของตัวเองออกไป หลินจื้อก็ทำการเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อ
จริง ๆ แล้วเมื่อคืนเขานอนไม่หลับเลย มีเรื่องให้คิดวนอยู่ในใจ แต่ครั้นตื่นนอนเช้าวันนี้กลับไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย กระปรี้กระเปร่าไปทั้งตัว
ณ เรือนไป๋หรูปิง จวนไป๋ในตอนนี้
เหล่าข้ารับใช้ต่างเดินกันให้ขวักไขว่ ยกสิ่งนั้นแบกสิ่งนี้กันอย่างขะมักเขม้น ส่วนในห้องของไป๋หรูปิงเต็มไปด้วยเครื่องประดับศีรษะ เครื่องยศสตรี ครั้นทุกอย่างครบถ้วน ก็นำมาจัดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบราวกับรู้ว่าวันนี้เป็นวันมงคล
“พี่ไป๋ วันนี้พี่ตื่นตั้งแต่กี่โมงเจ้าคะ?” หลินซือคิดว่าตัวเองตื่นเช้ามากแล้ว แต่ยามนางมาถึงจวนไป๋ กลับเห็นไป๋หรูปิงแต่งกายเครื่องเพียบพร้อมสมบูรณ์แล้ว เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเรียบร้อย นั่งรอตนอยู่ในห้อง
“ยามโฉ่ว”[1]
“เช้าเพียงนี้เลยรึ?”
“ใช่ เพราะมีหลายอย่างต้องทำ ถ้าไม่ตื่นเช้าต้องไม่ทันการแน่นอน”
“พี่ตื่นเต้นหรือไม่? พี่ไป๋”
“เล็กน้อย” จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นก็เป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรก็เป็นเหตุการณ์ใหญ่ในชีวิต แค่นึกว่าคนผู้นั้นคือหลินจื้อ ความตื่นเต้นในใจของไป๋หรูปิงก็ดีขึ้นมากแล้ว
“เร็วมาก คาดไม่ถึงว่าพี่ไป๋จะกลายเป็นพี่สะใภ้ของข้าแล้วจริง ๆ ต่อไปก็ต้องช่วยข้าเยอะ ๆ อย่าให้พี่ใหญ่ดุข้าเด็ดขาด”
“พี่ใหญ่ของเจ้าแสนดีเพียงนั้น ไม่รู้ว่าเจ้าไปทำสิ่งใดให้พี่ใหญ่ของเจ้าต้องโกรธเกรี้ยว” ในห้วงความทรงจำของไป๋หรูปิง ดูเหมือนไม่เคยเห็นหลินจื้อโกรธฉุนเฉียวมาก่อน
“ทำไมจะไม่ได้? พี่ใหญ่ปฏิบัติกับพี่แตกต่างกับข้า เพียงแต่พี่ไม่รู้เท่านั้น พี่ไป๋ ข้าจะบอกพี่ให้นะ วันนี้พี่ใหญ่ดีใจมาก ปลุกข้าตั้งแต่เช้าตรู่ ให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนพี่ บอกว่ากลัวพี่จะอยู่ในห้องเพียงลำพัง กลับไม่เคยคิดว่าน้องสาวอย่างข้าได้นอนแล้วหรือไม่”
กล่าวจบ หลินซือก็อ้าปากหาวหนึ่งครั้งเป็นภาพประกอบ เมื่อคืนนางอ่านตำราดึกไปหน่อย วันนี้จึงค่อนข้างง่วงเล็กน้อย
ครั้นไป๋หรูปิงได้ยินคำพูดของหลินซือ ก็พลันรู้สึกหวานเยิ้มในใจ นางรู้มาตลอดว่าศิษย์พี่ปฏิบัติกับนางดีเสมอมา แต่คาดไม่ถึงว่าศิษย์พี่จะละเอียดเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกเหมือนได้กินน้ำผึ้งก็มิปาน
“คุณหนู เตรียมตัวออกไปคำนับนายท่านกับฮูหยินได้แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยขึ้นจากด้านนอก หากไม่ได้รับอนุญาตจากไป๋หรูปิง นางคงไม่กล้าถลันเข้ามาโดยพลกาล
“ข้ารู้แล้ว” ไป๋หรูปิงตอบรับ จากนั้นก็มองหลินซือ “มิเช่นนั้นเจ้าพักผ่อนอยู่ในนี้ก่อน ประเดี๋ยวข้ากลับมา”
“ไม่ได้ พี่ใหญ่กำชับข้าไว้ว่าให้ข้าตามพี่ไปทุกฝีก้าว หากว่าที่พี่สะใภ้ของข้าถูกคนอื่นลักพาตัวไปในที่ที่ไม่ได้อยู่ในสายตา ข้าจะทำอย่างไร?”
ครั้นเอ่ยถึงเรื่องนี้ หลินซือก็พลันกระปรี้กระเปร่าทันที ลุกขึ้นแล้วเดินมาประคองไป๋หรูปิง เปิดประตู กระทั่งสาวใช้เข้ามา หอบเอาชายเสื้อคลุมแดงด้านหลังของไป๋หรูปิงขึ้นมา ป้องกันไม่ให้มันลากพื้น และตรงไปยังห้องโถงใหญ่
ห้องโถงใหญ่เวลานี้มีผู้คนนั่งอยู่มากมาย ส่วนใหญ่ก็มีแต่เหล่าญาติพี่น้องตระกูลไป๋ ครั้นเห็นไป๋หรูปิงเดินเข้ามา นัยน์ตาก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ทุกคนต่างรู้มาตลอดว่าบุตรสาวของไป๋โป๋เจ๋องดงามเพียบพร้อม แต่ยามอยู่ในชุดแต่งงานแห่งค่ำคืนนี้ยิ่งขับให้ดูโดดเด่นสะดุดตามากขึ้นหลายเท่า
“เชิญคุณหนูไป๋กราบไหว้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋”
หลังจากได้ยิน ไป๋หรูปิงก็ค่อย ๆ คุกเข่าลงตรงหน้าของไป๋โป๋เจ๋อ ซึ่งมีการรองเบาะบนพื้นเรียบร้อยแล้ว
“ลูกขอคำนับท่านพ่อและท่านแม่ ขอบพระคุณท่านพ่อและท่านแม่ที่อบรมสั่งสอนลูกมานานหลายปี ให้ลูกได้สุขกายสบายใจเช่นนี้ หวังว่าท่านพ่อและท่านแม่จะดูแลตัวเองอย่างดี ต่อไปลูกอาจจะไม่สามารถมาดูแลปรนนิบัติพวกท่านได้ในอนาคต หวังว่าท่านพ่อและท่านแม่จะรักษาตนเองอย่างดี”
กล่าวจบ ไป๋หรูปิงก็ก้มศีรษะโขกดินสามครั้งอย่างหนักหน่วง พยายามควบคุมตัวเอง ไม่ให้ตัวเองหลั่งน้ำตาออกมา
หลินซือที่ยืนมองภาพนี้จากด้านข้าง รู้สึกเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่ง แต่เหตุใดถึงได้มีอาการอยากร้องไห้เสียได้เล่า?
“ลูกรัก เราจะดูแลตัวเองอย่างดี เจ้าวางใจเถิด นับแต่นี้ไปเจ้าจะกลายเป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว พ่อและแม่ปลาบปลื้มใจมาก หวังว่าต่อไปลูกจะขยันและมัธยัสถ์กตัญญูต่อพ่อแม่สามี ปรองดองกับน้องสามี ถ้าพบเจอกับเรื่องลำบากใจ ต้องปรึกษาหารือกับสามีของเจ้าดี ๆ ต่อไป ที่นั่นคือเรือนของเจ้า เจ้าเข้าใจไหม?” ไป๋โป๋เจ๋อมองไป๋หรูปิงพลางเอ่ย
กว่าจะเลี้ยงบุตรสาวของตัวเองเติบโตมาถึงตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตัวเองต้องทุ่มเทเลือดเนื้อจิตใจมากเพียงใดมีแต่ไป๋โป๋เจ๋อเท่านั้นที่รู้
แต่หลินจื้อก็เติบโตอยู่ในสายตาของเขาเช่นกัน เชื่อว่าหลินจื้อจะดูแลบุตรสาวของตนอย่างดี แบบนี้เขาถึงจะวางใจได้
“หรูปิง เจ้าจงจำคำพ่อไว้ แม่สั่งสอนเจ้าไปหลายสิ่งหลายอย่างแล้ว หากต่อไปมีเรื่องไหนไม่เข้าใจ จะต้องขอคำชี้แนะจากแม่สามีเข้าใจไหม? ดูแลสุขภาพร่างกายของตนให้ดี อย่าหักโหมเกินไป ความสุขของเจ้า ก็คือความสุขที่ยิ่งใหญ่ของข้ากับพ่อเจ้า”
ฮูหยินไป๋ไม่ได้ใช้คำพูดที่ดูสง่าเหมือนกับที่ไป๋โป๋เจ๋อเอ่ยสักเท่าไร สิ่งที่นางคิดได้ในตอนนี้คืออนาคตของบุตรสาว จะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ จะอยู่อย่างไรเท่านั้น
[1] ยามโฉ่ว (丑时) คือเวลา 01.00 น. – 03.00 น