บทที่ 668 ลู่เหยา เจ้าช่างแสนดีจริง ๆ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 668 ลู่เหยา เจ้าช่างแสนดีจริง ๆ

บทที่ 668 ลู่เหยา เจ้าช่างแสนดีจริง ๆ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นวันนี้คงเป็นข้าที่ไร้มารยาทเอง หวังว่าฮูหยินหลินจะให้อภัย”

“หม่อมฉันจะกล้ารับคำขอโทษจากองค์รัชทายาทได้อย่างไร ขอแค่ต่อไปองค์รัชทายาทไม่ใส่ร้ายเอ้อเป่าของเราอีก หม่อมฉันจะขอบพระคุณเป็นอย่างสูง”

“องค์รัชทายาท เดินทางปลอดภัย กระหม่อมขอไม่น้อมส่ง” หลินจื้อที่อยู่ด้านข้างได้ลั่นวาจาออกไป

ลู่เหยาเตรียมจะตามองค์รัชทายาทออกไป แต่กลับได้ยินเสียงหนึ่งของหลินซือจึงหยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับไปมองหลินซือ

“คุณหนูลู่ ความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าไม่ได้ลึกซึ้งกันสักเท่าไร ข้าคงเป็นพี่สาวดั่งที่เจ้าเรียกไม่ได้ ต่อไปได้โปรดคุณหนูลู่เรียกข้าว่าคุณหนูหลินเถิด ถึงอย่างไร ระหว่างเราก็ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นเรียกพี่กับน้องได้”

แม้ว่าหลินซือจะนิสัยดี แต่เจี่ยงเถิงก็เป็นผู้มีอิทธิพลทางใจของนาง วันนี้นางเข้าใจแล้ว องค์รัชทายาทตั้งใจมาหาเรื่องนางถึงในจวนท่านแม่ทัพเพียงเพราะลู่เหยา

ถ้าแค่มาหานางก็แล้วไป แต่นางยังทำให้พี่อาเถิงได้รับบาดเจ็บด้วย หลินซือทนไม่ได้จริง ๆ

“ข้าเข้าใจแล้ว คุ…คุณหนูหลิน” ครั้นได้ยินคำพูดของหลินซือ ใบหน้าของลู่เหยาดูอ้างว้างเล็กน้อย เป็นดั่งที่คาดคิดไว้ นางและพี่หลินซือไม่สามารถเป็นสหายกันได้

เดิมทีองค์ชทายาททรงอยากตรัสบางอย่าง แต่ครั้นเห็นลู่เหยามีท่าทีหดหู่ใจและสิ้นหวัง จึงรีบดึงตัวลู่เหยาออกจากจวนหลินโดยเร็ว

หลังจากออกจากจวนหลินแล้ว ลู่เหยาก็เดินอยู่ข้างหน้าตลอด องค์รัชทายาททรงคอยเดินตามอยู่ด้านหลัง ไม่มีผู้ใดชวนใครพูดก่อน

ต่อมาองค์รัชทายาททนไม่ไหว จึงเร่งฝีเท้าไล่ตามไปข้างกายของลู่เหยา

“วันนี้เจ้าเป็นอะไร?”

“องค์รัชทายาท หม่อมฉันไม่เอาไหนจริง ๆ ใช่ไหมเพคะ?”

“เล็กน้อย แต่นี่ก็เป็นจุดเด่นของเจ้า ถ้าเจ้าเป็นไปเสียทุกอย่าง ก็คงไม่ต่างอะไรกับสตรีนางอื่น”

“แต่ท่านแม่ไม่ชอบหม่อมฉัน นางบอกว่าข้าทัดเทียมคุณหนูหลินไม่ได้เลย อีกทั้งเช้าวันนี้คุณชายเจี่ยงก็มาหาข้า บอกให้ข้าอยู่ห่างคุณหนูหลินสักหน่อย ทำไมพวกนางต้องชอบคุณหนูหลินมากเพียงนั้น แต่กลับไม่เคยถามไถ่หม่อมฉัน เป็นเพราะหม่อมฉันไม่เอาไหนจริง ๆ ใช่หรือไม่?”

“เจ้าแสนดีที่สุดแล้วจริง ๆ นะ” องค์รัชทายาทมองลู่เหยา ด้วยความปวดใจไม่น้อย

เห็นได้ชัดว่าตอนที่เขาเจอนางครั้งแรก นางยังเป็นแค่คุณหนูใหญ่จอมหลงทางคนหนึ่ง แต่กลับต้องยอมรับว่านางไม่ควรได้รับความกดดัน นี่คงเป็นสาเหตุว่าทำไมช่วงนี้นางถึงเปลี่ยนเป็นคนเงียบขรึมสินะ

ถ้าฐานะเอื้ออำนวย ใครบ้างเล่าจะไม่อยากเป็นคุณหนูใหญ่ที่ไร้ความกังวลใด? เหมือนกับอาซือ แต่เพราะลู่เหยารู้ความเช่นนี้ เขาจึงปวดใจ

แม้ว่าเรื่องในวันนี้ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอาซือผิดไป แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเองในวันนี้แม้แต่น้อย อย่างน้อยก็ทำให้ลู่เหยารู้ว่านางไม่ได้ไม่เอาไหน ใต้หล้านี้ ยังมีคนที่ใส่ใจนางอยู่

อีกอย่าง ต่อให้องค์รัชทายาทเสียหน้าต่อจวนหลินเพียงใด เขาก็ไม่เคยคิดจะถือโทษลู่เหยาเลยแม้แต่น้อย

เพราะเขาเข้าใจนิสัยของลู่เหยาดี ไม่ว่าเจอกับเรื่องอะไร ก็มักจะสร้างความไม่เป็นธรรมให้ตนเสมอ เติมเต็มให้ผู้อื่น แต่คนแบบนี้ มักเป็นที่โปรดปรานของผู้อื่น

“จริงหรือ?” ดูเหมือนจะไม่กล้าเชื่อว่าองค์รัชทายาทจะทรงตรัสประโยคนี้ออกมา องค์รัชทายาทไม่ชอบนางมาตลอดไม่ใช่รึ?

ทำไมถึงใช้คำพูดแบบนี้มาปลอบใจนาง? หรือว่านางฟังผิดไป?

“จริงแท้แน่นอน เจ้าแสนดี ลู่เหยา ไม่ต้องสร้างความไม่เป็นธรรมให้ตัวเองเพราะผู้อื่นหรอก เจ้าคือเจ้า ไม่ใช่ใครก็ได้ แค่เจ้ารักษาปณิธานเดิมของเจ้าให้ได้ เจ้าเก่งที่สุดแล้ว”

“ขอบพระทัยเพคะองค์รัชทายาท หม่อมฉันเข้าใจแล้ว” ครั้นได้ยินคำปลอบใจขององค์รัชทายาท ลู่เหยากลับไม่ได้รู้สึกแย่เพียงนั้น

“หยุดเศร้าได้แล้ว ข้าชอบเห็นเวลาเจ้ายิ้ม”

“วันนี้ก่อเรื่องเสียใหญ่โตเช่นนี้ พระองค์จะโดนองค์จักรพรรดิลงโทษหรือไม่เพคะ?”

“วางใจเถอะ เรื่องเสด็จพ่อข้ารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่เจ้าห้ามเศร้าอีก เข้าใจไหม?”

“เข้าใจแล้วเพคะ”

“นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้า แล้วค่อยเตรียมตัวกลับวัง”

“งั้นก็ได้เพคะ”

องค์รัชทายาทพาลู่เหยาไปส่งที่จวนลู่ แล้วค่อยกลับวัง

แม้ว่าเรื่องในวันนี้จะเป็นเขาที่เข้าใจหลินซือผิดไป แต่เขามักรู้สึกว่าอาซือนั้นไม่เหมือนแต่ก่อน หรือเขาจะมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป?

อีกด้านหนึ่งที่จวนหลิน หลังจากที่ลู่เหยาและองค์รัชทายาทจากไป ความโกรธเกรี้ยวของทุกคนก็จางหาย

หลินซือเห็นมารดา พี่ใหญ่ และพี่อาเถิงออกหน้าแทนตน ก็ยิ่งปลื้มปีติเต็มเปี่ยมในใจ ไฉนจะต้องสนใจเรื่องขององค์รัชทายาทด้วย

“พี่ไป๋ ข้าไม่เจอพี่นานมากแล้ว” หลินซือมองไป๋หรูปิง แล้วลากแขนนางมาคลอเคลียออดอ้อน

“ไม่เจอข้านานที่ไหนกัน เกรงว่าในสายตาของเจ้ามีแต่พี่อาเถิงของเจ้าล่ะสิไม่ว่า” ไป๋หรูปิงเติบโตมาพร้อมกับหลินซือตั้งแต่เด็ก ยามพูดจึงไม่ได้ใส่ใจคนนอกมากนัก

อีกทั้งเรื่องของหลินซือและเจี่ยงเถิง ตอนนี้ได้รับการอนุญาตจากตระกูลหลินและตระกูลเจี่ยงแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้เอ่ยอย่างเป็นทางการเท่านั้น

ในฐานะที่ไป๋หรูปิงเป็นว่าที่ฮูหยินของหลินจื้อ ย่อมรู้เรื่องนี้ดีเป็นธรรมดา ดังนั้นจึงกล้าหยอกเย้าอย่างไร้ความเคอะเขิน

“ที่ไหนกันเล่า เห็น ๆ อยู่ว่าช่วงนี้พี่อยู่กับท่านพี่ตลอด ไม่เคยมาหาข้า”

“นั่นเพราะช่วงนี้เจ้าค่อนข้างยุ่ง ข้ารู้ดีว่าช่วงนี้เอ้อเป่าของเราเก่งกาจยิ่งนัก กลายเป็นแม่ค้าขายเกลือ ตอนนี้กลายเป็นคนที่ใคร ๆ ก็ต้องยำเกรง”

“เหอะ ท่านแม่สอนมาดีต่างหาก” หลินซือเอ่ยอย่างเหนียมอาย

“เอาล่ะ เอ้อเป่า กว่าพี่ไป๋ของเจ้าจะได้มาแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าอย่าทำให้นางต้องอายเลย อีกอย่างหรูปิงและอาจื้อกำลังจะหมั้นหมายกัน ให้พวกเขาได้ใกล้ชิดกันเป็นเรื่องที่สมควร ถ้าเจ้าเป็นเหมือนพี่ใหญ่ ให้ข้าหยุดเป็นห่วงได้ จะขอบพระคุณเบื้องบนอย่างสูง”

“ท่านแม่ ท่านลำเอียง ตอนนี้ท่านแม่รักแต่พี่ไป๋ ไม่รักข้าแล้ว”

“ข้ารักใครนั้นไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าถ้ายังไม่ใส่ยาให้บาดแผลของพี่อาเถิงของเจ้า อาจจะทิ้งรอยแผลเป็นได้”

ครั้นเหยาซูพูดเช่นนี้ หลินซือก็นึกถึงพี่อาเถิงที่อยู่ข้างกายได้

เจี่ยงเถิงคาดไม่ถึงว่าเหยาซูจะพูดเช่นนี้ เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่ง เรื่องรอยแผลเป็นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องใส่ใจ แต่ถ้าอาซือจะไม่ชอบเขาเพราะรอยแผลเป็น เช่นนั้นเขาคงเสียเปรียบมาก

“พี่อาเถิง ข้าจะประคองพี่เข้าไปทายาเจ้าค่ะ”

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้” แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่เจี่ยงเถิงก็ยังปล่อยให้หลินซือเข้ามาประคองลุกขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าให้เหยาซู หลินจื้อและคนอื่น ก่อนจะปล่อยให้หลินซือประคองเขาเข้าไป

“เด็กสองคนนี้ ทำให้ข้าเป็นห่วงอยู่เรื่อย” เหยาซูมองทั้งสองคนจากไป แล้วพูดกับไป๋หรูปิง

ตอนนี้ยิ่งเธอได้เห็นไป่หรูปิงก็ยิ่งพอใจ ลูกสะใภ้คนนี้เป็นคนที่นางเลือก โชคดีที่บุตรชายของตนก็ชื่นชอบ จึงประหยัดแรงใจนางไปไม่ใช่น้อย

“ป้าซูช่างขบขันยิ่งนัก เอ้อเป่าเป็นเด็กดี คงนำพาความสุขและความเบิกบานใจมาไม่ใช่น้อย”

“เจ้าช่างพูดช่างจาจริงเชียว” เหยาซูมองไป๋หรูปิง แล้วอดยิ้มไม่ได้

หลินจื้อมองการกระทำของผู้เป็นแม่และศิษย์น้องอยู่ข้างกาย โดยไม่กล่าวสิ่งใด