ตอนที่ 1331 สุสานที่หายไป (1) ตอนที่ 1332 สุสานที่หายไป (2)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 1331 สุสานที่หายไป (1) / ตอนที่ 1332 สุสานที่หายไป (2)
ตอนที่ 1331 สุสานที่หายไป (1)

ความยากลำบากที่โหดร้ายซึ่งทุกคนต้องเผชิญในทุกๆ ย่างก้าว ไม่อาจหยุดพวกเขาจากการเดินหน้าต่อไปได้ พวกจวินอู๋เสียเดินทางผ่านผาสุดขอบฟ้าไปจนถึงจุดหมายปลายทางของพวกเขาในที่สุด

พวกเขากำลังมองดูทะเลดอกไม้ที่ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า ดอกไม้สีม่วงแผ่ขยายไปทั่วผืนดินจนสุดสายตา สายลมพัดดอกไม้พริ้วไหวเอนไปมา งดงามราวภาพวาด ความแตกต่างที่ตรงกันข้ามนี้ไม่เข้ากับอันตรายที่พวกเขาเจอมาตลอดทางเลย

“สุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิอยู่ไหนเล่า” ฟ่านจัวถามขึ้นขณะมองไปที่ทุ่งดอกไม้กว้างไกลสุดสายตาด้วยสายตาว่างเปล่า ตามตำแหน่งที่ระบุไว้บนแผนที่ พวกเขาควรยืนอยู่ตรงหน้าสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิแล้ว แต่ข้างหน้าพวกเขาในตอนนี้ นอกจากทุ่งดอกไม้ ก็ไม่เห็นวี่แววของอย่างอื่นเลย

หลังจากผ่านความทรมานที่ไม่สามารถจินตนาการได้มานับไม่ถ้วน พวกจวินอู๋เสียก็ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมดอกไม้ สีเขียวข้างใต้ทำให้ทะเลดอกไม้สีม่วงดูสดใสมากขึ้น ยามที่ลมพัด ทะเลดอกไม้ก็พริ้วไหวเป็นระลอกคลื่น กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยอบอวล เป็นภาพที่สวยงามอย่างแท้จริง แต่พวกเขากลับรู้สึกได้แค่ความสิ้นหวัง

บนแผนที่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าตำแหน่งของสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิอยู่ด้านหน้าพวกเขาไม่กี่ร้อยเมตรนี้เอง แต่ในรัศมีหนึ่งพันเมตรมีแต่ทุ่งดอกไม้ที่พริ้วไหวตามสายลม เมื่อไม่มีหมอก พื้นที่ทั้งหมดรอบตัวพวกเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และเหนือหัวพวกเขา ถึงมีเมฆปกคลุมอยู่ แต่แสงอาทิตย์ก็ส่องลงมา ทำให้ภาพตรงหน้าพวกเขาสว่างไสว

นอกจากดอกไม้สีม่วงแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นให้เห็นอีกเลย

เหมือนไม่เคยมีสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิอยู่เลย ไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็นเลยสักนิด

“เป็นไปได้อย่างไร…เป็นไปได้อย่างไร…” เฉียวฉู่คร่ำครวญ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าหลังจากที่พวกเขาทุ่มเทพยายามกันมาอย่างสุดกำลังแล้ว นี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาได้

ไม่มีอะไรเลย…

ไม่มีอะไรทั้งนั้น…

ทิวทัศน์ที่สวยงามตรงหน้าผลักคนทั้งกลุ่มให้ตกลงสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง

จวินอู๋เสียมองทุ่งดอกไม้ที่ไร้ที่สิ้นสุด สายลมพัดกลีบดอกไม้ขึ้นโปรยปรายไปทั่วบริเวณ กลีบดอกไม้สีม่วงหมุนวนรอบตัวนาง นำพากลิ่นหอมมาให้ แต่นางก็ไม่รู้สึกดีเลยสักนิด

จวินอู๋เสียหยิบแผนที่ออกมาตรวจสอบตำแหน่งของพวกเขาอีกครั้ง ทุกอย่างเป็นไปตามลำดับ ยกเว้นเป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร จวินอู๋เสียขมวดคิ้ว ทุกอย่างที่ระบุเอาไว้บนแผนที่แม่นยำไม่มีข้อผิดพลาด ซึ่งแปลว่าแผนที่นี้เป็นของแท้ บิดามารดาของพวกเฉียวฉู่ต้องเสียสละกันไปมากเท่าไรในตอนนั้นเพื่อทำแผนที่นี้ให้สมบูรณ์

พวกเขาเห็นกองกระดูกมนุษย์มากมายนับไม่ถ้วนตลอดทางที่มาที่นี่ และตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ จำนวนคนที่เสียชีวิตที่ผาสุดขอบฟ้านั้นมีมากมายเกินกว่าจะนับได้แล้ว ตัวเลขนั้นไม่น่าจะแค่หลักหมื่น แต่น่าจะถึงหลักล้าน…หรือหลายสิบล้าน ที่ผาสุดขอบฟ้าได้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนสุดท้ายของพวกเขา แผนที่ที่สร้างขึ้นจากชีวิตของผู้คนมากมายนั้นจะผิดได้อย่างไร

เป็นไปไม่ได้…

จวินอู๋เสียปฏิเสธแนวคิดนั้นโดยสิ้นเชิง บิดามารดาของฟ่านจัวและคนอื่นๆ ได้เสียชีวิตไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตรวจสอบว่าคนพวกนั้นได้พบสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิจริงๆ หรือเปล่า

และเวินอวี่ก็เคยเข้าไปในสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิมาแล้วจริงๆ แม้ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าไปที่นั่นได้อย่างไร หรือว่าเขาออกจากที่นั่นมาได้อย่างไร แต่เวินอวี่ก็ได้เข้าไปในสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิผ่านทางผาสุดขอบฟ้าอย่างแน่นอน นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันว่าสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิอยู่ที่นี่จริงๆ

แต่…

สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขานี่คืออะไรเล่า

จวินอู๋เสียไม่เข้าใจเลย สุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิอยู่ที่ผาสุดขอบฟ้าอย่างแน่นอน นางเชื่อว่าบิดามารดาของพวกฟ่านจัวได้พบสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิก่อนจะกลับไปที่สามโลกชั้นกลางพร้อมแผนที่หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ด้วยความภักดีที่พวกเขามีต่อสิบสองตำหนักในเวลานั้น เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรายงานเท็จ

ตอนที่ 1332 สุสานที่หายไป (2)

แผนที่นั้นเป็นของแท้ และสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิก็ไม่สามารถปลอมได้ อย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงไม่เจอมันเล่า

มีบางอย่างผิดปกติที่นี่

“อย่าเพิ่งร้อนใจกันเกินไป ทุกคนพักหายใจแล้วค่อยๆ คิดให้ดีๆ” เมื่อเห็นสหายพากันหดหู่สิ้นหวัง หรงรั่วก็พูดขึ้นทันที พวกเขาเหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทาง ร่างกายและจิตใจก็ถูกใช้งานอย่างสาหัส ตอนนี้สภาพจิตใจของพวกเขาจึงไม่มั่นคง แต่พวกเขาต้องไม่ทำให้ตัวเองผิดหวังจนเกินไป

“ทุกคนพักผ่อนกันเถอะ เจ้าโง่เฉียว ส่งถุงน้ำเจ้าให้ข้าหน่อย ของข้าหมดเกลี้ยงแล้ว หิวน้ำจะตายแล้วเนี่ย” เฟยเยียนพูดพร้อมกับนั่งลงบนทุ่งดอกไม้ ยื่นมือออกไปรับถุงน้ำที่เฉียวฉู่โยนมาให้ ก่อนจะเงยหน้าเทน้ำลงในลำคอ

น้ำเย็นไหลผ่านลำคอของเขา ทำให้ความเหนื่อยล้าหายไปเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็ทำให้ความปั่นป่วนในใจของเขาคลายลง

ทุกคนนั่งลงท่ามกลางทะเลดอกไม้สีม่วง พวกเขามาถึงขั้นที่ว่าไม่สามารถย้อนกลับไปได้แล้ว แทนที่จะโกรธและหงุดหงิด ทำไมไม่ให้ตัวเองพักสักหน่อยและทำให้หัวเย็นลงบ้าง ร่างกายที่เหนื่อยล้าก็จะได้พักฟื้นสักเล็กน้อย

ทุกคนใช้โอกาสพักที่หาได้ยากนี้พยายามฟื้นฟูพละกำลังของตัวเอง พวกเขาดื่มและกินอาหารเพื่อให้ท้องอิ่ม อาหารแห้งส่วนใหญ่ที่กินก็คือเนื้อที่แห้งและแข็ง เวลาเคี้ยวก็จะจืดชืดไร้รสชาติเหมือนกินท่อนไม้ ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังต้องกินของแบบนี้มาตลอดหนึ่งเดือน จนต่อมรับรสชาติของพวกเขาไม่รู้สึกอะไรแล้ว

สิ่งที่เฉียวฉู่ปรารถนามากที่สุดในตอนนี้ก็คือ หลังจากที่พวกเขาออกจากผาสุดขอบฟ้ากลับไปที่รัฐชีได้ ขออาหารดีๆ ให้พวกเขากินสักมื้อ จะเป็นอะไรก็ได้ ต่อให้เป็นแค่ข้าวต้มธรรมดากับกับข้าวจานเล็กๆ เขาก็ไม่รังเกียจเลยสักนิด ตราบใดที่ไม่ต้องเคี้ยวเนื้อแห้งบ้าๆ พวกนี้อีก!

“ตอนกลับไป ข้าอยากเลี้ยงฉลองติดต่อกันทั้งเดือน จะกินให้อ้วกเลย!” เฉียวฉู่บ่นพลางเคี้ยวเนื้อแห้งเหนียวๆ แล้วลงนอนกางแขนบนทุ่งดอกไม้ อุณหภูมิที่นี่อบอุ่นสบายเหมือนฤดูใบไม้ผลิ แตกต่างจากความหนาวจัดและร้อนจัดก่อนหน้านี้ เมื่อรวมกับกลิ่นหอมของดอกไม้และทิวทัศน์ที่สวยงาม ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ผิดที่ผิดเวลา เขาก็คิดว่านี่เป็นสถานที่ที่ดีทีเดียว

น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกอยากชื่นชมมันเลยสักนิด

“ขอบ่อน้ำให้ข้าลงแช่น้ำก่อนเถอะ” เฟยเยียนพูดพลางเอนหลังลง เขาสกปรกเสียจนเกือบทนตัวเองไม่ได้แล้ว เนื่องจากที่ด้านล่างผาสุดขอบฟ้าไม่มีแหล่งน้ำมากนัก ถึงมี ถ้าไม่มีสัตว์ประหลาดซ่อนอยู่ ก็เต็มไปด้วยพิษร้ายแรงถึงตาย ไม่มีแหล่งน้ำไหนที่ใช้ได้เลย

ตอนนี้เขาอยากอาบน้ำอุ่นๆ ล้างเนื้อล้างตัวเอาสิ่งสกปรกออกไปให้หมด

เสียงบ่นของเฉียวฉู่กับเฟยเยียนคงทำให้เขาคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ฟ่านจัวที่นั่งอยู่ท่ามกลางดอกไม้ก็เอ่ยถามฮวาเหยาที่มักจะเงียบอยู่เสมอว่า

“ตอนกลับไป เจ้าอยากทำอะไร”

ฮวาเหยาหันไปมองฟ่านจัว หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “อยากนอนหลับดีๆ สักตื่น”

เขาจำครั้งสุดท้ายที่ได้นอนหลับอย่างสงบสุขไม่ได้แล้ว เวลาที่พวกเขาต้องพักผ่อนที่ด้านล่างของผาสุดขอบฟ้านั้นสั้นมาก และมักจะถูกล้อมรอบด้วยอันตรายทุกรูปแบบ ต่อให้หลับได้ พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองหลับสนิทเกินไปได้

ฟ่านจัวหัวเราะเบาๆ และเอามือเท้าคางพลางพูดว่า “ข้าอยากกลับไปดูสำนักศึกษาเฟิงหัว” เขาอยากรู้ว่าพี่ชายของเขาที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง และเขาก็คิดถึงเรือนไม้ไผ่เล็กๆ ของเขาที่อยู่ที่นั่น

ความคิดที่มีความสุขช่วยให้จิตใจที่กระวนกระวายหงุดหงิดของพวกผู้เยาว์ค่อยๆ สงบลง มุมปากของทุกคนมีรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา ในวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเยาว์วัยโลหิตร้อน พวกเขาจึงไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ

“ที่จริงข้าสงสัยอะไรบางอย่างมาตลอดเลย” เฉียวฉู่พูดพร้อมกับลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน

“อะไร” ฮวาเหยาถามพร้อมกับมองหน้าเขา

“เจ้าว่าสิบสองตำหนักส่งคนมาตั้งเยอะแยะนับไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่มีแค่บิดามารดาของพวกเราที่พบที่ตั้งของสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ เจ้าไม่คิดว่ามันบังเอิญมากเกินไปบ้างหรือ” เฉียวฉู่ถามพลางเกาหัว