เล่ม 1 ตอนที่ 174-2 เหล่าฮูหยินรู้ความจริง

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 174-2 เหล่าฮูหยินรู้ความจริง

จีหมิงซิวตอบเรียบๆ ว่า “การแต่งงานครั้งนี้เป็นเรื่องที่อดีตฮองเฮาพระราชทานลงมา ข้าเพียงปฏิบัติตามรับสั่งของอดีตฮองเฮาอย่างเคร่งครัดเท่านั้น หากท่านย่าไม่ยินดีก็ไปขอให้ฝ่าบาทมีราชโองการลบล้างรับสั่งของอดีตฮองเฮาเสียเถิด”

จีเหล่าฮูหยินโกรธจนจุกอก อดีตฮองเฮาสวรรคตไปนานแล้ว ตำแหน่งฮองเฮาว่างมาตลอด เห็นได้ว่าฮ่องเต้มีใจรักใคร่นางลึกซึ้งเพียงใด คนทั่วไปต่างมองออกทั้งสิ้น แล้วฝ่าบาทจะมีราชโองการลบล้างรับสั่งของอดีตฮองเฮาอย่างไม่ให้เกียรติกันได้อย่างไร?

“นางไม่ใช่แม้กระทั่งคนตระกูลเฉียวด้วยซ้ำ!”

จีหมิงซิวจ้องตาอีกฝ่าย “นางกลับเข้าตระกูลเฉียวแล้ว”

จีเหล่าฮูหยินหันไปมองหรงมามา หรงมามาพยักหน้า “บ่าวได้ยินคนเขาว่ากันว่าท่านเจิงปั๋วของตระกูลเฉียวยังไม่ตาย แค่เพียงหายสาบสูญไปเท่านั้น เวลานี้ท่านเจิงปั๋วกลับมาแล้ว เขาช่วยล้างมลทินให้เฉียวซื่อ ทั้งยังรับตัวเฉียวซื่อกลับเข้าตระกูลแล้วอีกด้วย”

หากเป็นเช่นนี้ หนังสือหมั้นหมายก็มีผลแล้วจริงๆ อย่างนั้นสิ

แต่จีเหล่าฮูหยินยังคงไม่ยอม หลานชายที่อนาคตราบรื่นของนางผู้นี้จะแต่งงานกับสตรีที่ชื่อเสียงป่นปี้ได้อย่างไร สตรีนางนั้นยังมีบุตรกับคนอื่นมาแล้ว นี่คิดจะทำอะไร จะให้หลานชายของนางเป็นพ่อเลี้ยงเด็กจนๆ สองคนนั่นน่ะหรือ

จีเหล่าฮูหยินตะคอกเสียงต่ำว่า “นางมีลูกกับคนอื่นมาแล้วนะ!”

“เด็กสองคนนั่นเป็นลูกข้า”

“อะไรนะ”

จีหมิงซิวเอ่ยชัดๆ ทีละคำว่า “เด็กๆ นั่น เป็นลูกข้า”

จีเหล่าฮูหยินเป็นใบ้ไปทันที…

เฉียวเวยเคยคิดเช่นกันว่าตนนั้นอย่างไรก็เป็นบุตรสาวที่ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังมีบุตรก่อนแต่งงาน ต่อให้เด็กสองคนเป็นลูกของหมิงซิวแล้วอย่างไร อย่างไรก็ยังเป็นเรื่องที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปอยู่ดี ลองคิดดูแล้วตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลจีเช่นนั้น น่าจะไม่เห็นดีเห็นงามให้นางเข้าบ้านถึงจะถูก

แต่กระนั่นที่ทำให้นางตกใจก็คือ ช่วงบ่ายวันต่อมา ตระกูลจีส่งมามาคนหนึ่งมาหานาง

คนที่มาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหรงมามาที่รับใช้ข้างกายเหล่าฮูหยิน

เฉียวเวยอึ้งไปทันที ข้าไม่ได้ช่วยเหล่าฮูหยินของบ้านเจ้า คงไม่ใช่ว่าเจ้ารู้ตัวแล้วจึงจะมากล่าวโทษกันหรอกกระมัง

หรงมามาเองก็ตกใจมากเช่นกัน นี่ไม่ใช่หมอหญิงที่ช่วยรักษาเหล่าฮูหยินไว้สองครั้งหรอกหรือ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้

หรงมามาตกใจจนพูดไม่ออก เป็นเฉียวเวยที่ตั้งสติได้ก่อน เอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หรงมามา เจ้ามาได้อย่างไร”

หรงมามาบอกว่า “ข้ามาหาแม่นางเฉียว ผู้มีพระคุณรู้จักแม่นางเฉียวหรือไม่”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “หากเจ้ามาหาแม่นางเฉียวที่อยู่ที่นี่ละก็ เช่นนั้นก็คงเป็นข้า”

หรงมามาตกใจจนไม่อาจหุบปากได้ “เจ้า เจ้า เจ้าก็คือ…แม่นางเฉียว?”

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ใช่แล้ว”

นี่มันผีหลอกชัดๆ! หมอหญิงที่ช่วยรักษาเหล่าฮูหยินสองครั้ง ก็คือแม่นางเฉียวที่มีพันธะหมั้นหมายกับคุณชายใหญ่หรือนี่…

คำว่าตกใจไม่เพียงพอจะอธิบายความรู้สึกของหรงมามาในเวลานี้เสียแล้ว หรงมามาถามอึ้งๆ ว่า “ครั้งนั้น…ที่ถูกจับขังคุกคือเจ้า?”

“ใช่แล้ว” เฉียวเวยยังคงยิ้มเช่นเดิม

หรงมามาเผยอปาก “เช่นนั้นครั้งที่ไปที่วัด…”

เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าผิดหวังว่า “ข้าเองก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเหล่าฮูหยินเป็นท่านย่าของหมิงซิว วันนั้นข้าไปตามที่นัดหมายไว้ แต่ไม่ได้พบท่านย่าของหมิงซิว ไม่ต้องให้บอกเลยว่าข้าผิดหวังเพียงใด”

วันนั้นคำพูดที่ใช้ข่มขู่นาง นางได้ยินทุกคำไม่มีขาดตกบกพร่อง หรงมามาคิดถึงเรื่องนี้แล้วพลันรู้สึกอิหลักอิเหลื่อเหลือแสน “เรื่องในครานั้น เจ้าต้องให้อภัยเหล่าฮูหยินนะ ท่านเองก็เชื่อในคำว่าร้ายของสตรีนางนั้นถึงได้เข้าใจเจ้าผิด หาได้ยากนักที่เจ้าถึงแม้จะไม่รู้เรื่องอะไร แต่กลับมีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์ ช่วยชีวิตเหล่าฮูหยินเอาไว้เป็นครั้งที่สอง”

ช่วยไว้…ครึ่งหนึ่ง เฉียวเวยเม้มปาก ข่มแววประหลาดในดวงตาเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยความเป็นกังวลยิ่งว่า “วันนั้นข้าลืมพกเข็มทองไปด้วย จึงสิ้นหนทางจริงๆ”

หรงมามาบอกว่า “จะโทษเจ้าไม่ได้”

เฉียวเวยยิ้มเอ่ยว่า “สุขภาพของเหล่าฮูหยินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

หรงมามาระบายยิ้ม “พักรักษาตัวมาหลายเดือน ดีขึ้นมากแล้ว”

เฉียวเวยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี”

หรงมามารู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก ดึงมืออีกฝ่ายมาจับอย่างเป็นกันเอง “นี่ช่างมีวาสนาต่อกันโดยแท้!”

เฉียวเวยแย้มยิ้ม เชื้อเชิญหรงมามาให้เข้าไปในห้องโถง

หรงมามามองบ้านที่เก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบแต่กลับไม่หรูหราเพียงพอ “ข้าได้ยินว่าบิดาเจ้ากลับมาแล้ว เป็นเรื่องน่ายินดีนัก”

เฉียวเวยชงชาดอกเก๊กฮวยมากาหนึ่ง “ขอบคุณหรงมามามาก”

หรงมามายกถ้วยชาขึ้น นี่เป็นถ้วยกระเบื้องสีขาวที่เรียบง่ายจนไม่รู้จะเรียบง่ายอย่างไร ห่างไกลกับถ้วยชามที่ทำจากหยกขาวของบ้านตระกูลจีมากนัก แต่เมื่ออยู่คู่กับชาสีอ่อนๆ เช่นนี้กลับดูสดชื่นอย่างประหลาด

หรงมามายกดื่มไปอึกหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ไม่เหมือนชาดอกเก็กฮวยที่ข้าเคยดื่มนัก”

เฉียวเวยจึงบอกว่า “เป็นดอกเก๊กฮวยป่าที่เด็ดมาจากบนเขาน่ะ”

ดอกเก๊กฮวยป่า มิน่าเล่า รสชาติถึงได้หอมสดชื่นกว่าที่ขายกันตามตลาด

หรงมามาดื่มไปสามสี่อึก รู้สึกว่าจิตใจปรอดโปร่งขึ้นไม่น้อย “ใช่สิแม่นางเฉียว เจ้าน่าจะได้คืนสู่ฐานะแล้ว เหตุใดถึงไม่ย้ายกลับไปอยู่บ้านตระกูลเฉียวเล่า อยู่บนเขาลำบากเกินไป”

เฉียวเวยยิ้มเอ่ยว่า “อยู่จนชินเสียแล้ว การค้าก็อยู่ที่นี่ สะดวกต่อการจัดการ”

หรงมามานึกได้ว่าเห็นโรงเก็บของขนาดใหญ่ที่หน้าประตู มีคนเข้าออกอยู่เป็นระยะๆ ดูท่าทางวุ่นวายกันไม่น้อย จึงเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าแม่นางเฉียวทำการค้าอะไรอยู่หรือ”

“ไข่เยี่ยวม้า”

หรงมามาตกใจอีกครั้ง “ไข่เยี่ยวม้าเจ้าเป็นคนทำหรือ”

พวกเขาชอบกินกันทั้งบ้านทีเดียว!

แค่เพียงหาซื้อยาก มีแค่บ้างครั้งที่คุณชายเอากลับมาโหลหนึ่ง หรือไม่ก็ในวังตกรางวัลมาให้บ้าง แต่ก็แทบจะไม่พอกิน

สายตาที่หรงมามามองไปทางเฉียวเวยดูเปลี่ยนไป

อันที่จริงหากตัดเรื่องไม่สำคัญเหล่านั้นออกไป แม่นางตระกูลเฉียวผู้นี้ก็นับว่าไม่เลวเลยจริงๆ รูปโฉมงดงาม จิตใจกว้างขวาง ถึงแม้จะอ่อนหวานอบอุ่นสู้คุณหนูที่บอบบางเหล่านั้นไม่ได้ แต่ก็บากบั่นมีความสามารถ ฝีมือการแพทย์เป็นเลิศ นับว่าหาได้ยากยิ่ง

เฉียวเวยพอเห็นหรงมามาดื่มชาจนหมดถ้วยแล้วก็ยังคงไม่เข้าเรื่องที่มาเสียทีจึงถามว่า “วันนี้ที่หรงมามามาหาข้าด้วยเพราะเรื่องอันใดหรือ”

“ข้า…” หรงมามาสูดหายใจเขาลึกๆ ทีหนึ่ง “ข้าอยากมาดูคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อย”

บอกตามตรงว่าเฉียวเวยไม่คุ้นชินกับการที่บุตรของตนมีคนมา “สนใจ” นัก บุตรที่นางเลี้ยงมากับมือจนเติบใหญ่ เหตุใดถึงกลายเป็นคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยของคนอื่นไปได้ ช่างน่าประหลาดนัก

เฉียวเวยกระแอมให้ลำคอโล่ง “พวกเขาไปเข้าเรียนอยู่ที่สถานศึกษา เกรงว่าจะไม่สะดวกออกมาพบหน้า”

เมื่อถูกปฏิเสธ หรงมามารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ว่ากันตามเหตุผลแล้วนางอยากแต่งเข้าบ้านตระกูลจีเพียงนี้ การมีหมากเป็นบุตรก็ควรจะอยากนำออกมาใช้มิใช่หรือ แต่กลับดูแอบซ่อนไม่อยากให้นางพบหน้ากระนั้น

หรงมามาจึงเอ่ยว่า “ข้าอยากดูอยู่ไกลๆ สักหน่อย”

เฉียเวยลังเลเล็กน้อย เมื่อมั่นใจว่านางจะแค่มองอยู่ไกลๆ จริงๆ จึงพานางไป

สถานศึกษาของซิ่วไฉเฒ่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้วนับว่ามีความเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ มีนักเรียนมากขึ้น ห้องเรียนก็ขยายใหญ่ เฉียวเวยยังออกทุนสร้างห้องเก็บหนังสือให้ เด็กในหมู่บ้านต่างรู้สึกว่าสถานศึกษาใหญ่โต สะอาดสะอ้านน่าอยู่กว่าบ้านของตนเอง

แต่หรงมามาพอเข้าไปในบริเวณลาน กลับเกือบน้ำตาหยดลงมา

คุณชายน้อยคุณหนูน้อยของนางร่ำเรียนหนังสืออยู่ในสถานที่ซอมซ่อเช่นนี้น่ะหรือ น่าเวทนาเกินไปแล้ว!

ในห้องเรียนมีนั่งเรียนนั่งแออัดกันอยู่หลายสิบคน มีอาจารย์เพียงคนเดียวเอ่ยสอนอยู่ข้างหน้า

ต้องรู้ก่อนว่าแค่ห้องหนังสือของหลิวเกอร์ห้องเดียว ก็ใหญ่กว่าสถานศึกษานี้ทั้งหมดแล้ว

หลิวเกอร์คนเดียวมีอาจารย์สอนถึงหกคน แยกกันสอนวิชาที่ต่างกันไป พร้อมพรักทั้งบุ๋นและบู๊

“คนไหนคือคุณชายน้อยหรือ” หรงมามาเขย่งปลายเท้าขึ้นมอง

เฉียวเวยชี้ไปยังที่นั่งตรงกลางแถวหน้าสุดที่กำลังนั่งหลังตรงแน่วอยู่ “คนที่สวมชุดสีฟ้านั่นล่ะ”

หรงมามา: ข้าเห็นแค่ท้ายทอยเท่านั้นเอง!

วั่งซูกลับแยกออกไม่ยาก คนที่ฟุบโต๊ะกรนอยู่ก็คือนางนั่นเอง เสี่ยวไป๋ยังตั้งใจกว่านางเสียอีก

เพียงแต่นางฟุบหน้าอยู่ หรงมามาเลยมองไม่เห็นอีก!

หรงมามาร้อนใจนัก

ในตอนนั้นเอง ซิ่วไฉเฒ่าก็เรียกชื่อจิ่งอวิ๋น “จิ่งอวิ๋น เจ้าออกมาเล่าเรื่องล้อมแคว้นเว่ยช่วยแคว้นจ้าวให้ทุกคนฟังที”

“ขอรับ”

จิ่งอวิ๋นลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า

หรงมามาจับจ้องที่แผ่นหลังเล็กๆ นั้น นางรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด

จิ่งอวิ๋นหันกลับมา ใบหน้าที่แทบจะเหมือนจีหมิงซิวราวกับแกะปรากฏสู่สายตานาง