ใบหน้าของอวี้จิ่นขับประกายเย็นชา ทว่าในใจกลับร้อนรุ่ม
อาซื่อนี่เก็บความลับเก่งเสียเหลือเกิน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ยอมเอ่ยให้เขาฟังเลยตลอดระยะทางที่กลับมายังเมืองหลวง
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เขาหมดอารมณ์จะมาเสียเวลาอยู่กับคนพวกนี้
อวี้จิ่นจ้องฉีอ๋องด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ฉีอ๋องที่ถูกจ้องเช่นนั้นเริ่มมีเหงื่อซึมไหลไปทั่วร่าง
เขาเป็นคนที่มีโอกาสเข้าชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทมากที่สุด หากถูกเจ้าเจ็ดต่อยเข้าคงขายหน้าเป็นแน่ แค่คิดก็สยอง เจ้าเจ็ดก็เป็นพวกไม่สนใจโลกอยู่แล้ว ขอให้ได้ชกให้หนำใจก่อนแล้วค่อยมาคิดหาเหตุผลเอาทีหลัง…
ฉีอ๋องรีบอธิบาย “ในตอนนั้นหมู่เฟยประชวรหนัก พวกนางเลยไปถวายธูปขอพรให้เสด็จแม่ที่วัดไป๋อวิ๋น”
ใบหน้าของอวี้จิ่นเรียบเฉยหนักว่าเดิม “เหอะ ที่แท้ก็ไปเพราะเสียนเฟยเหนียงเหนียง”
ไปถวายธูปแล้วดันเกิดเหตุม้าพยศ ใครเชื่อก็โง่เต็มทน ในที่สุดพระชายาฉีอ๋องก็เผยธาตุแท้ออกมา เพียงแต่ไม่คิดว่าเสียนเฟยจะมีส่วนเอี่ยวด้วย
อวี้จิ่นมิได้รู้สึกรักใคร่พันผูกต่อเสียนเฟยเลยแม้แต่น้อย เมื่อคิดถึงผู้เป็นมารดาจึงมีเพียงความเย็นชาเท่านั้น
ให้กำเนิดแต่มิได้เลี้ยงดู หนำซ้ำยังแสดงออกชัดว่าเกลียดชัง ทั้งยังฝักใฝ่แต่เรื่องผลประโยชน์ คนเช่นนี้ใครจะเรียก ‘มารดา’ ได้ลง
“แล้วเสียนเฟยเหนียงเหนียงดีขึ้นแล้วหรือยัง”
ฉีอ๋องไม่นึกว่าอวี้จิ่นจะสงบนิ่งเพียงนี้ เมื่อทบทวนดู เขาคิดว่าตนคงกังวลเกินไปเอง เพราะเจ้าเจ็ดไม่ทราบเรื่องที่หลี่ซื่อใช้จังหวะไปถวายธูปลอบทำร้ายพระชายาเยี่ยนอ๋องโดยละเอียด ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่เขายังไม่คลุ้มคลั่ง
เมื่อคิดตกเช่นนี้ ฉีอ๋องก็เบาใจ เขาส่งยิ้มพลางถาม “ตั้งแต่น้องเจ็ดกลับมายังไม่ได้ไปเยี่ยมหมู่เฟยอีกหรือ”
อวี้จิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ทว่ามิได้ใส่ใจคำพูดของฉีอ๋อง เขาถามต่อ “แล้วเสียนเฟยเหนียงเหนียงดีขึ้นหรือยัง”
ใบหน้าของฉีอ๋องแสดงถึงความกังวล “ยังไม่ใคร่จะดี บางครั้งก็ดูปกติ แต่ก็มักจะมีอาการปวดศีรษะฉับพลันอย่างไม่ทราบสาเหตุ”
“อย่างนี้นี่เอง ไว้ข้าจะเข้าไปเยี่ยมเสียนเฟยเหนียงเหนียงก็แล้วกัน”
ฉีอ๋องอาศัยจังหวะที่มีองค์ชายคนอื่นๆ อยู่ด้วยหาเรื่องอวี้จิ่น “น้องเจ็ด เจ้าอย่าเรียกหมู่เฟยว่าเหนียงเหนียงให้ดูห่างเหินเช่นนั้นเลย”
อวี้จิ้นผุดหัวร่อ “พี่สี่ก็ช่างใส่ใจรายละเอียดเสียเหลือเกิน”
หากคนหน้าหนาถูกปะทะด้วยแรงกระแทกแล้วจะไม่รู้สึกเจ็บงั้นหรือ
ฉีอ๋องไม่คิดว่าอวี้จิ่นจะเอ่ยวาจาเช่นนี้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่รู้ว่าควรเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เซียงอ๋องพยายามช่วย “น้องเจ็ด อย่างไรพี่สี่ก็เป็นพี่ของพวกเรา…”
อวี้จิ่นเบนสายตาไปทางเซียงอ๋องก่อนที่มุมปากจะปรากฏรอยยิ้มเย็นเยียบ “แล้วจะทำไม พี่ชายมิใช่บิดาเสียหน่อย ตอนที่อดีตไท่จื่อเสียชีวิต ข้ายังไม่เห็นสักคนในพวกเจ้าไปยืนร้องห่มร้องไห้อยู่หน้าหลุมเลย”
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปโดยพลัน
สู่อ๋องกระแอมไอ “น้องเจ็ด นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน”
ปากของเจ้าเจ็ดนี่ช่างไม่มีหูรูดเอาเสียเลย อะไรที่ไม่ควรพูดก็พูด หากเรื่องที่เอ่ยถึงอดีตไท่จื่อดังถึงพระกรรณของเสด็จพ่อ พวกเขาคงไม่ได้ตายดี
อีกอย่าง หากพูดออกมาอีกสองสามประโชคคงได้มีการลงไม้ลงมือกันเป็นแน่
เมื่อคิดตกเช่นนี้ สู่อ๋องจึงเห็นว่าชิงออกมาจากตรงนั้นก่อนจะดีกว่า
ทันทีที่สู่อ๋องลุกขึ้น ฉีอ๋องก็รีบลุกตามพร้อมฝืนยิ้มกว้าง “ข้าก็ต้องขอตัวก่อน เรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่ น้องเจ็ดก็ลองเอาไปคิดดูก็แล้วกัน ในตอนนี้เจ้าก็เป็นพ่อคนแล้ว น่าจะเข้าใจความรู้สึกของสตรีที่ต้องอุ้มท้องสิบเดือนได้ไม่ยาก”
อวี้จิ่นขยับเปลือกตา
คิดบ้าอะไร
หากเขาเข้าใจความรู้สึกของสตรีที่อุ้มท้องสิบเดือนจริง ตอนที่เจ้าห้าเล่นงานพระชายาฉีอ๋อง เขาจะยังอยู่นิ่งเช่นนั้นหรือ ปอดแหกสิไม่ว่าถึงได้ไม่ดูดำดูดีมารดาของลูกตัวเองเช่นนั้น
คนอะไรว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
เมื่อเห็นฉีอ๋องและคนอื่นๆ เตรียมตัวแยกย้าย หลู่อ๋องก็ค่อยๆ ยืนขึ้นด้วยความเสียดาย “น้องเจ็ด เช่นนั้นข้าก็ขอตัวกลับก่อน ไว้วันหลังมีเวลาข้าจะมาเยี่ยมใหม่”
ไม่มีเรื่องสนุกๆ ให้ดูเลย สุดท้ายพวกคนที่หมายตาเก้าอี้นั้นก็เป็นพวกขี้ขลาด
อวี้จิ่นเดินไปส่งเหล่าองค์ชายที่หน้าประตูก่อนจะกลับไปที่อวี้เหอย่วน
เมื่อกลับมาถึงจวน เจียงซื่อเปลี่ยนไปใส่อาภรณ์สำหรับใส่ในเรือน หลังจากกล่อมอาฮวนเรียบร้อยแล้ว นางก็มานั่งเอนหลังพิงอยู่ที่หัวเตียง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรี่ดังลอยมา
เสียงฝีเท้าแสนคุ้นหูทำให้นางรู้ทันทีว่าคือผู้ใด นางค่อยๆ ลืมตาพลางคลี่ยิ้ม
อวี้จิ่นก้าวฉับเข้ามาใกล้ เขาเตะเก้าอี้ตัวเล็กที่ขวางทางอยู่และพุ่งตัวลงไปนั่งข้างเตียง
เจียงซื่อเลิกคิ้ว “ไปทะเลาะกับใครมา”
แต่เดี๋ยวสิ ก่อนที่นางจะเดินออกมาจากเรือนหน้าก็มิได้ดูมีวี่แววจะทะเลาะกัน หากจะมีเรื่องก็คงทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
“ไม่ได้ทะเลาะ มันไม่คุ้ม” อวี้จิ่นจดจ้องไปที่ใบหน้าของเจียงซื่อก่อนยกมือขึ้นลูบเรือนผมของหญิงสาว “ก่อนหน้านี้พระชายาฉีอ๋องนัดเจ้าออกไปถวายธูปงั้นหรือ”
เจียงซื่อผงะเล็กน้อยก่อนจะรีบส่งยิ้ม “นึกว่าจะไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้เสียอีก”
“เล่าให้ข้าฟังโดยละเอียดเลย”
“ก็ไม่มีอะไรให้พูดหรอก พระชายาฉีอ๋องตั้งใจจะทำให้ข้าตกลงไปในหน้าผา แต่ข้าหลบทันจึงกลายเป็นนางที่ไปอยู่ตรงนั้นแทน เดิมทีข้าคิดว่าควรแล้วที่คนอำมหิตอย่างนางจะตายไปเสีย แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายนางจะรอดชีวิตกลับมาได้”
“นางตกใจจนสติวิปลาสไปแล้วหรือ”
เจียงซื่อยิ้มบางๆ “อาการตกใจจะทำให้คนสติวิปลาสได้อย่างไร ก็แค่มีคนต้องการให้นางกลายเป็นคน ‘วิปลาส’ ก็เท่านั้น แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี ให้พระชายาฉีอ๋องลืมตามาดูว่าคนที่นางอุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำเพื่อเขาปฏิบัติกับนางเช่นไร เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ การอยู่ไม่สู้ตาย”
การตายเป็นความทุกข์เพียงชั่วพริบตา แต่การมีชีวิตกลับทุกข์ระทมชั่วกัปชั่วกัลป์
อวี้จิ่นเห็นด้วยกับคำพูดของเจียงซื่อ “จะว่าไปแล้วข้าคงต้องส่งคนไปคุ้มครองความปลอดภัยของพระชายาฉีอ๋องแล้วล่ะ มิควรปล่อยให้นางตายไปง่ายๆ”
พระชายาอ๋องที่ถูกขนานนามว่าเป็นคนวิกลจริตไม่สามารถจัดการดูแลเรื่องต่างๆ ภายในจวนได้ หนำซ้ำยังครองตำแหน่งพระชายาอยู่เรื่อยไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต แค่คิดก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เพียงพอแล้วสำหรับฉีอ๋อง
“แล้วเสียนเฟยล่ะ นางมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือไม่” เมื่อเอ่ยถึงเสียนเฟย น้ำเสียงของอวี้จิ่นกลับเย็นชายิ่งกว่า
ในสายตาของอวี้จิ่น พระชายาฉีอ๋องเป็นเพียงคนแปลกหน้า ไม่ว่านางจะร้ายกาจเพียงใด เขาก็มิได้สะทกสะท้าน แต่เขาและเสียนเฟยมีสัมพันธ์ทางสายโลหิต การที่นางลงมือกับเจียงซื่อยิ่งทำให้หัวใจของอวี้จิ่นเย็นยะเยือกทบเท่าทวีคูณ
“หากเสียนเฟยไม่ป่วยก็คงไม่มีการเดินทางไปวัดไป๋อวิ๋นครั้งนี้” เจียงซื่อเอ่ยราบเรียบ
อวี้จิ่นชกกำปั้นเข้าที่เสาหัวเตียง
เตียงทั้งหลังสั่นสะท้าน
เจียงซื่อมองบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาตำหนิ “เตียงอยู่ของมันดีๆ ไปลงที่มันเสียอย่างนั้น คืนนี้จะไม่นอนแล้วรึ”
อวี้จิ่นคิดได้ก็ยิ้มร่า คราวนี้เตะเก้าอี้ตัวเล็กไปไกลกว่าเดิม
นอกจากเสียงเก้าอี้กลิ้งขลุกขลัก ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี้จิ่นก็เอ่ยว่า “อาซื่อ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”
ไม่รู้ว่าอาจิ่นกำลังคิดอะไร จู่ๆ ถึงได้บอกว่าเปลี่ยนใจ
อวี้จิ่นถูฝ่ามือเข้าด้วยกันพลางยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าสี่ใฝ่ฝันจะได้ครองตำแหน่งนั้น ส่วนเสียนเฟยก็หวังให้เจ้าสี่ได้ขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งนั้น เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะคอยขัดขามิให้เจ้าสี่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา แต่พอมาคิดดูแล้ว ข้าว่าความคิดเช่นนั้นช่างน่าขัน เพราะต่อให้เรากำจัดเจ้าสี่ และให้เจ้าหกขึ้นแทนก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครมายุ่งกับพวกเราจริงไหม”
เจียงซื่อเดาความหมายที่อวี้จิ่นกำลังจะสื่อ นางพึมพำ “อาจิ่น เจ้ากำลังคิดว่า…”
อวี้จิ่นหัวเราะออกเสียง “ข้าเนี่ยแหละจะขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งนั้นเอง จะได้ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องพวกเราอีก”
อีกอย่าง การทำเช่นนี้จะทำให้อาซื่อได้ทุกอย่างที่นางต้องการ