บทที่ 666 สวนหลี่

บทที่ 666 สวนหลี่

สิ่งที่ฉินเย่จือพูดคือสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานกำลังคิดอยู่ และเป็นสิ่งที่หลี่ฝานกังวล

“ถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวล!” หลี่ฝานพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว

กู้เสี่ยวหวานก็เป็นกังวลเช่นกัน แต่มันง่ายที่จะพูดถึงเรื่องนี้หลังจากได้เห็นคนเท่านั้น

“แล้วคนล่ะ?” กู้เสี่ยวหวานถาม รถม้าวิ่งเร็วมากจนชายคนนั้นอาจคลาดสายตา

หลี่ฝานยังกล่าวอีกว่า “ท่าทางของเขาดูใช้ได้ แต่ในใจข้ายังมีความกังวลอยู่ ข้าจึงขอให้เขาหลีกออกไป ก่อนจากมา ข้าเลยไม่รู้ว่าเขายังอยู่ที่นั่นหรือไม่!”

หลี่ฝานเปิดม่าน มองกลับไปและพูดด้วยความประหลาดใจ “เดี๋ยวก่อน ชายคนนั้นตามมา!”

เมื่อฉินเย่จือได้ยินสิ่งนี้ เขาก็รีบเปิดม่าน กู้เสี่ยวหวานมองออกไปและเห็นเด็กหนุ่มที่เริ่มโตแล้วคนหนึ่งกำลังเดินเหินตามหลังรถม้าเหมือนโบยบินโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ

“ทักษะของชายคนนี้ไม่เลว!” ฉินเย่จือกล่าวอย่างยอมรับ

คงเป็นเรื่องดีหากมีผู้รู้วรยุทธ์อยู่เคียงข้าง

เมื่อกู้หนิงผิงได้ยินว่าชายคนนั้นรู้จักวรยุทธ์ เขาก็ดีใจมาก “อยู่ไหน อยู่ที่ไหน ให้ข้าดู ให้ข้าดูด้วย!” หลังจากพูดจบ เขาก็รีบวิ่งไป และเห็นชายคนนั้นที่ติดตามมาอย่างรวดเร็วผ่านทางหน้าต่างรถม้า

ถ้ารถม้าเร็ว เขาก็เร็วด้วย ถ้ารถม้าช้า เขาก็ช้าด้วย

คนผู้นี้เดินได้เหมือนบินและวิชาตัวเบาของเขาก็ดีมาก

กู้เสี่ยวหวานย่อมเห็นเขาผ่านหน้าต่างรถม้า ซึ่งนางรู้สึกประหลาดใจมาก แม้แต่ฉินเย่จือยังกล่าวว่าทักษะของเขาไม่เลว เขาก็ย่อมต้องมีฝีมือดีมาก!

“อาจารย์ ทักษะของชายผู้นี้ดีมาก!”

“ไม่เลว!”

นั่นเป็นเรื่องธรรมดา อาโม่เรียนรู้ทักษะการต่อสู้ไปพร้อม ๆ กับเขา ดังนั้นจึงย่อมไม่แย่

“คงจะดีถ้าข้าได้เขามาคอยโุแลความปลอดภัยของพวกเรา แต่ข้าไม่รู้ว่าคน ๆ นี้เป็นคนเช่นไร!” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างเสียดาย

หากนางสามารถใช้งานคนผู้นี้ได้ เขาจะสามารถเป็นมือขวาของนางได้

ถึงเวลานั้น จะสามารถช่วยครอบครัวนางได้มากด้วย

ในสายตาของกู้เสี่ยวหวาน มีความประหลาดใจที่ค้นพบคนมีความสามารถเช่นนี้โดยบังเอิญ แต่นางก็เป็นกังวล เนื่องจากนางไม่รู้จักลักษณะนิสัยของคนผู้นี้ หากนางพาอีกฝ่ายกลับบ้านไปก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย

ฉินเย่จือที่ด้านข้างเห็นแล้วก็พูดขึ้นเบา ๆ “หวานเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่ซื้อคนผู้นี้ล่ะ ข้าจะจับตาดูเขาเอง! ตอนนี้ปล่อยให้คนผู้นี้ทำงานบ้านไปก่อน ผ่านไปสักพักเจ้าค่อยตัดสินใจหลังจากเห็นว่านิสัยของเขาเป็นเช่นไร ดีไหม?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินเย่จือพูด กู้เสี่ยวหวานก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว “ตกลง!”

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานเห็นด้วย หลี่ฝานก็เรียกรถม้าให้หยุดอย่างตื่นเต้น

จากนั้นเขาก็ลงจากรถม้า แล้วพาตัวชายคนนั้นมาที่หน้ารถม้า “บอกแม่นางคนนั้นเร็ว ๆ ว่าเจ้าชื่ออะไร”

ชายคนนั้นคุกเข่าลง ก่อนประสานหมัดด้วยมือทั้งสองข้าง และพูดด้วยความเคารพ “เรียนแม่นาง ข้าชื่ออาโม่ ข้าไม่มีพ่อหรือแม่ ตั้งแต่ยังเด็กข้าถูกรับเลี้ยงโดยอาจารย์ของข้า ต่อมาอาจารย์ของข้าเสียชีวิตลง ข้าจึงไม่มีบ้านและได้แต่พเนจรไปมา!”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อาโม่ดูเศร้าเล็กน้อยและพูดด้วยเสียงติดขัดว่า “เมื่อข้ามาถึงเมืองหลิวเจีย ข้ายืนเฝ้าอยู่ที่ประตูเมือง คิดในใจว่า ใครก็ตามที่นั่งรถม้าคันแรกออกมา ข้าจะเป็นคนรับใช้ของเขา รถม้าของแม่นางคือคนแรกที่ออกมา จากนี้ไป ข้าอยากขอติดตามท่านไป!”

หลังจากพูดจบ ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะได้กล่าวอะไร เจ้าตัวคล้ายจะรู้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะรับเขาไปอยู่ด้วยจึงโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง “ได้โปรดแสดงความเมตตาและรับอาโม่เข้าไปด้วยเถิด!”

คนที่เรียกตัวเองว่าอาโม่ผู้นี้ แม้ว่าเสื้อผ้าของเขาจะมอมแมมและเต็มไปด้วยฝุ่น แต่เขาก็ไม่ต่างจากตอนที่ฉินเย่จือมาที่บ้านของนาง ยังคงมีความเย่อหยิ่งอยู่ทั่วร่าง

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นคุณสมบัติเฉพาะของผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ์์

กู้เสี่ยวหวานผละออกจากอ้อมกอดของฉินอี้จือและมองดูเขาอย่างระมัดระวัง

ฉินเย่จือตกตะลึงกับดวงตาที่เปล่งประกายของนาง “เกิดอะไรขึ้นหว่านเอ๋อร์? ทำไมเจ้าถึงมองข้าเช่นนี้!”

ทันใดนั้น กู้เสี่ยวหวานก็มีภาพลวงตาและรู้สึกว่าฉินเย่จือกับอาโม่คนนี้ค่อนข้างคล้ายกัน ทว่า มันก็เป็นเพียงภาพลวงตา

กู้เสี่ยวหวานมองไประหว่างฉินเย่จือและอาโม่ ซึ่งเมื่อหลี่ฝานสงสัยว่ากู้เสี่ยวหวานค้นพบบางสิ่งหรือไม่นั้นเอง กู้เสี่ยวหวานก็พูดขึ้นว่า “ตกลง เจ้าพักที่บ้านของข้าก็ได้! แต่เจ้าไม่มีตัวตน ข้ากลัวว่า…”

อาโม่ดูเหมือนจะเดาได้ว่ากู้เสี่ยวหวานมีความกังวลนี้ เขาจึงหยิบบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ ก่อนยื่นให้กู้เสี่ยวหวานและพูดว่า “ตอนที่ข้ากำลังรอใครบางคนที่ประตูเมือง ข้าเดาด้วยว่าเจ้านายในอนาคตคงมีความระแวง ข้าจึงไปที่สำนักงานของทางการและขอเป็นทาสด้วยตัวเอง นี่คือสัญญาซื้อขายของข้า จากนี้ไป ชีวิตและความตายของอาโม่ทั้งหมดอยู่ในมือของแม่นางแล้ว ดังนั้นท่านไม่ต้องกังวลสิ่งใด”

“ฮ่า ๆ เจ้าค่อนข้างรอบคอบนะเจ้าหนู!” หลี่ฝานหัวเราะไปข้าง ๆ แล้วหยิบเอกสารซึ่งมีตราประทับสีแดงของทางการประทับอยู่ ซึ่งไม่สามารถปลอมแปลงได้ “เสี่ยวหวาน นี่มันวาสนาจริง ๆ!”

ปรากฏว่าก่อนหน้านี้หลี่ฝานได้เดาไว้แล้วว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่ยอมให้อาโม่เข้าประตูครอบครัวกู้ของนางง่าย ๆ ดังนั้นเขาจึงคิด ‘กลอุบายอันขมขื่น’ นี้ขึ้น!

ไม่เพียงแต่สามารถแสดงความสามารถของอาโม่ต่อหน้ากู้เสี่ยวหวานเท่านั้น แต่ยังริเริ่มที่จะส่งมอบสัญญาซื้อขายทาสให้กับกู้เสี่ยวหวาน ซึ่งเหมือนกับการมอบชีวิตของเขาให้กับกู้เสี่ยวหวาน

กู้เสี่ยวหวานย่อมยินดีที่จะยอมรับการรับประกันสองเท่านี้!

“ตกลง เจ้าตามพวกเรากลับบ้านก่อน! พวกเราจะพูดคุยกันเรื่องอื่นหลังจากที่กลับไป!” กู้เสี่ยวหวานพับสัญญาแล้วส่งคืนให้อาโม่

อาโม่พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะนั่งลงข้างนอกกับคนขับรถม้าและเดินทางไปด้วยกัน

รถม้าขับเร็วยิ่ง แต่คนขับมีความชำนาญมาก ยกเว้นการกระแทกเล็กน้อยหนึ่งหรือสองครั้ง รถม้าแล่นเข้าไปยังบ้านของหลี่ฝานที่อยู่ชานเมืองไปยังสวนหลี่!

ทันทีที่เข้าประตูไปจะพบลานกว้างด้านหลังประตู โดยด้านในเป็นโถง ห้องอาหาร และชั้นในเป็นที่อาศัย

บ้านหลังนี้ดีกว่าบ้านในหมู่บ้านอู๋ซีมาก

กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ตื่นเต้นมาก พวกเขาวิ่งไปรอบ ๆ บ้าน ดูที่นี่ สัมผัสที่นั่น รู้สึกอยากรู้อยากเห็นไปกับทุกที่

“ท่านพี่ บ้านหลังนี้ใหญ่มาก สวยจัง!”

“ท่านพี่ ถ้าเรามีบ้านหลังใหญ่แบบนี้ในอนาคตคงจะดีไม่น้อย!”

ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะ วิ่งและหัวเราะ ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขามีความสุขแค่ไหน เมื่อเห็นท่าทางที่มีความสุขของพวกเขาทั้งสอง กู้เสี่ยวหวานก็อารมณ์ดีเช่นกัน