บทที่ 544 คู่หูถังเจียว
คำพูดพวกนั้นฆ่าเขาได้เลยทีเดียว
โดยเฉพาะสองประโยคสุดท้าย
ทั้งสนามตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่เสียงนกกระจอกในป่าก็พลันหายไป ถังเย่ว์ซานที่เพิ่งสำนึกได้ว่าเผลอหลุดปากออกไปได้ยินแต่เสียงของอีกาบินผ่านหัวไป…
ถังเย่ว์ซานไม่ใช่คนปากคอเราะร้าย ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนร่างท้วมใหญ่ และไม่ใช่เพราะหน้าที่การงานของเขา ชายชาติทหารน้อยคนนักที่จะมีลักษณะชอบต่อปากต่อคำ
เรื่องใช้กำลัง เขาไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว แต่ถ้าเรื่องทะเลาะวิวาท คนอย่างเขาไม่สู้แน่นอน
แต่ตั้งแต่เขามาเป็นเพื่อนร่วมห้องกับกู้เฉิงเฟิง เขาถูกกลั่นแกล้งบ่อยมาก จนกลายเป็นว่าติดนิสัยชอบพูดในสิ่งที่อยู่ในใจออกมาในทันที
เป็นเพราะเจ้าเด็กนั่นแพร่เชื้อให้เขา!
เขาจะไม่มีวันยอมรับว่าเขากำลังช่วยกู้เจียวอยู่เด็ดขาด!
ไม่ใช่!
ไม่มีทาง!
บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดถึงขั้นที่ว่าเขาสามารถใช้เท้าขุดหลุมที่ใหญ่เท่ากับตรอกปี้สุ่ยได้ เว่ยกงกงจ้องตาค้างไปทางองค์หญิงหนิงอัน ก่อนจะหันมามองที่ฝ่าบาท สีพระพักตร์ของทั้งสองพระองค์ดูไม่ดีเอาเสียเลย
ตายแน่ ถังเย่ว์ซานเจ้าตายแน่
เล่นกับใครไม่เล่น ดันมาเล่นกับองค์หญิงหนิงอันเข้าจนได้!
เขาไม่รู้หรือว่าองค์หญิงหนิงอันเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมากเพียงใด
ถังเย่ว์ซานที่อยู่ในสภาพอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาสักหยดเดียว เย่ว์แม้สิ่งที่ข้าพูดจะเป็นเรื่องจริง แต่ข้าขอคืนคำจะได้ไหม
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ”
เสียงนุ่มดังขึ้นจากทางด้านหลัง
เว่ยกงกงหันกลับมาด้วยความประหลาดใจ รีบคำนับให้พลางเอ่ย “แม่นางกู้ วันนี้เข้าวังด้วยธุระอันใดหรือ”
“ข้ามาเยี่ยมท่านย่าน่ะ” กู้เจียวตอบ
ที่ผ่านมากู้เจียวมัวแต่ยุ่งกับการดูแลม่อเชียนเสวี่ยจนไม่มีเวลาเข้ามาที่วัง
ที่กู้เจียวเดินเข้ามาเพราะขณะที่กำลังเดินผ่านสวนดอกไม้ก็บังเอิญได้ยินเสียงก่นด่าคำรามของนายพลท่านหนึ่ง จึงแวะเข้ามาดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น
ฮ่องเต้ส่งสายตาเย็นชาให้ถังเย่ว์ซานหนึ่งที พยายามข่มความคิดที่จะลากชายคนนี้ไปโบยจนตายให้ได้ ก่อนจะหันไปทักทายกู้เจียวด้วยท่าทีอ่อนโยน “เจียวเจียวเองหรือนี่”
“ฝ่าบาท องค์หญิงหนิงอัน จอมพลถัง” กู้เจียวทักทายทุกคน
น้ำเสียงของนางฟังดูราบเรียบไร้ซึ่งความเป็นมิตรราวกับคนไม่สบอารมณ์ และไม่เหมือนกับเสียงของเซียวเหิงที่ยังพอมีความรู้สึกเกรงใจอยู่ในน้ำเสียงบ้าง
หากเป็นคนอื่น ฮ่องเต้คงกริ้วไปนานแล้ว แต่ด้วยความที่พระองค์รู้นิสัยใจคอของนางก็เลยไม่ได้คิดว่าท่าทีของนางนั้นไร้มารยาทแต่อย่างใด
“พวกท่านกำลังยิงธนูกันอยู่รึ” กู้เจียวเอ่ยถามขณะมองไปที่เป้าธนูที่ตั้งอยู่ไม่ไกลราวห้าสิบก้าว
เว่ยกงกงยิ้มให้พร้อมเอ่ย “ใช่ขอรับ แม่นางกู้ยิงธนูเป็นหรือไม่ขอรับ”
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนจะตอบ “อื้อ ข้ายิงได้นิดหน่อย ยังไม่ชำนาญเท่าใดนัก”
เว่ยกงกงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยชวนอย่างจริงใจ “แม่นางกู้จะลองสักหน่อยไหมขอรับ”
“ได้สิ” กู้เจียวพยักหน้า
“เอ่อ…” เว่ยกงกงหันไปทางองค์หญิงด้วยสีหน้าลังเล เขาเตรียมธนูมาแค่คันเดียวเท่านั้น
องค์หญิงหนิงอันจึงยื่นธนูให้เว่ยกงกง
“ขอบพระทัยองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงยื่นมือรับธนูด้วยความเกรงใจ ก่อนจะยื่นให้กับกู้เจียว
แล้วเขาก็เห็นว่าแม่นางกู้นั้นใช้มือข้างขวาจับคันธนู ขณะที่มือข้างซ้ายถือลูกธนู
ท่าทีของกู้เจียวดึงความสนใจของฮ่องเต้และเว่ยกงกงเป็นอย่างมาก เพราะปกติก็ไม่ยักกะเห็นว่ากู้เจียวเป็นคนถนัดซ้าย เหตุใดถึงคิดจะใช่มือซ้ายดึงสายธนูล่ะ
หรือเป็นเพราะนางไม่ชำนาญพอจึงไม่รู้ว่าต้องใช้มือข้างไหนดึง
จากนั้นกู้เจียวผู้ไม่ชำนาญธนูก็หยิบลูกธนูสามดอกจากทหารองครักษ์ แล้วางไว้ที่สายธนู จากนั้นทำการเล็งแล้วปล่อยมือในทันที!
ลูกธนูสามดอกถูกยิงออกไป แต่ละดอกพุ่งเข้าตรงกลางเป้า ยิ่งไปกว่านั้น ลูกธนูทะลุผ่านจุดศูนย์กลางของเป้าไปเต็มๆ !
“น่ะ นี่ นี่น่ะหรือที่บอกว่าไม่ชำนาญ” ฮ่องเต้ประหลาดใจมากจนถึงกับคว้าที่วางแขนของเก้าอี้แล้วนั่งตัวตรง
“อื้ม” กู้เจียวพยักหน้า จากนั้นก็พูดด้วยท่าทีจริงจัง “ธนูของตระกูลถังสามารถใช้ลูกธนูยิงทะลุใบต้นหลิ่วพร้อมกันได้ถึงสี่ดอกในระยะร้อยก้าว แต่ด้วยความที่เป้าของที่นี่มีหน้ากว้างและห่างเพียงห้าสิบก้าว หากเป็นมือธนูของตระกูลถังต่อให้หลับตาก็สามารถยิงเข้ากลางเป้าได้อย่างง่ายดาย”
แต่กู้เจียวเลือกที่จะลืมตา อีกทั้งหากเปลี่ยนระยะเป็นร้อยก้าว เกรงว่าคงยิงได้ไม่แม่นขนาดนี้
ฮ่องเต้มองดูเป้าธนูที่กู้เจียวยิงเข้าได้ สลับกับหันไปมองขององค์หญิงที่ยิงเข้าบริเวณช่วงริมของเป้าธนู และทันใดนั้นฮ่องเต้กลับรู้สึกว่าคำพูดของถังเย่ว์ซานที่ว่าคนตาบอดสามารถยิงได้ดีกว่านางนั้นไม่เกินจริงเลยสักนิด
“เก่งขนาดนั้นเลยรึ” ฮ่องเต้หันไปถามถังเย่ว์ซาน
“มิบังอาจ มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ปากเขาจะพูดเช่นนั้น แต่มือของเขากลับหยิบธนูสี่ดอกแล้วยิงออกไป
แม้ดูเผินๆ เหมือนเขาจะยิงไม่โดนอะไรเลย แต่เมื่อเว่ยกงกงนำทหารองครักษ์ไปเก็บลูกธนูที่เขายิง เขาพบว่าลูกธนูทุกดอกทะลุก้านของดอกไม้จนปักทะลุติดกับลำต้นของต้นไม้ใหญ่
นี่มันยากกว่าการยิงผ่านใบหลิ่วในระยะร้อยก้าวเสียอีก อย่างน้อยใบหลิ่วก็ไม่บางเท่าก้านดอกไม้
เว่ยกงกงนำดอกไม้นั้นกลับมาด้วย
ฮ่องเต้ถึงกับไม่รู้จะตรัสอะไรต่อ
องค์หญิงหนิงอันกล่าว “ท่าทางการใช้ธนูของท่านทั้งสองคล้ายคลึงกันยิ่งนัก แม่นางกู้เรียนวิถีธนูจากท่านนายพลถังใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งกู้เจียวและถังเย่ว์ซานปฏิเสธพร้อมกัน
ในวินาทีถัดมา ฮ่องเต้และคนอื่นๆ เห็นทั้งสองคนหยิบผ้าออกมาเพื่อเช็ดธนูพร้อมกัน
ฮ่องเต้ “…”
คนอื่นๆ
ทันใดนั้น ฮ่องเต้เพิ่งจะนึกธุระที่เรียกถังเย่ว์ซานมาในวันนี้ขึ้นได้
“องค์หญิงทรงชื่นชมฝีมือการยิงธนูของถังอ้ายชิงเป็นอย่างมาก หากท่านมีเวลารบกวนช่วยสอนให้องค์หญิงได้หรือไม่”
ตามหลักแล้ว ฮ่องเต้เป็นกษัตริย์ที่ใจดี ทว่าความเมตตานี้เป็นดาบสองคม ทำให้พระองค์เป็นที่เคารพนับถือของคนรอบข้าง และกลับกันทำให้พระองค์ใจอ่อนต่อข้าราชบริพารที่ล่วงเกินพระองค์ด้วยวาจาอีกด้วย
หากเป็นฮ่องเต้องค์ก่อน ป่านนี้ถังเย่ว์ซานคงได้ถูกถลกหนังไปแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของฝ่าบาท จึงระลึกได้ว่าเขารอดแล้ว ถังเย่ว์ซานแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกหนึ่ง เช็ดเหงื่อที่ไหลบนหน้าผาก จากนั้นประสานมือแล้วพูดว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคนต่ำต้อยผู้นี้เป็นคนหยาบกระด้างไม่เข้าใจมารยาท อาจทำให้องค์หญิงขุ่นเคืองได้ ถ้าองค์หญิงต้องการเรียนรู้การยิงธนูจริงๆ กระหม่อมสามารถแนะนำคนที่เหมาะสมหนึ่งหรือสองคนได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ที่เพิ่งเคยประสบพบเจอกับความปากไว้ของถังเย่ว์ซานไปหมาดๆ จึงหันไปทางองค์หญิงอย่างเป็นกังวล
แต่หารู้ไม่ว่าองค์หญิงหนิงอันกลับไม่คิดถือสาอย่างใด ซ้ำยังกล่าวว่า “ไม่เป็นไร จอมพลถังเป็นคนพูดตรงไปตรงมา และการได้อยู่กับเขาข้ารู้สึกสบายใจกว่าอยู่กับพวกบ่าวที่ชอบประจบสอพลอเสียอีก”
ถังเย่ว์ซานไม่พอใจอย่างมาก
วิชาธนูของตระกูลถังไม่ใช่สิ่งที่สามารถเผยแพร่ได้ง่ายๆ ที่สมัยก่อนองค์หญิงทรงเคยไปที่เรือนตระกูลถังเพื่อเรียนวิชาธนูนั่นก็เป็นเพราะบิดาของถังเย่ว์ซานดื่มจนเมาและเผลอตบปากรับคำ แม้จะรู้สึกผิด แต่กระนั้นองค์หญิงก็เรียนได้ไม่นาน
เรียนไปได้ไม่กี่เดือนก็เลิกไปเสียก่อน
“จอมพลถังไม่เห็นดีรึ” องค์หญิงเอ่ยถาม
นี่มันคำถามตัดสินความเป็นความตายกันชัดๆ
ถังเย่ว์ซานเอ่ยเสียงแหบ “กระหม่อมเพียงคิดว่า…”
“เขาสอนไม่ได้หรอก” กู้เจียวเอ่ยขึ้น “เขาได้รับบาดเจ็บ ต้องได้รับการบำบัด การยิงธนูจะทำให้การฟื้นฟูร่างกายของเขาแย่ลง”
บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดอีกครั้ง
ลูกตาของเว่ยกงกงสอดส่ายไปที่เหล่าท่านๆ ทั้งหลาย องค์หญิงทรงเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของฝ่าบาท ขณะที่แม่นางกู้ก็เป็นที่โปรดปรานเช่นกัน ฝ่าบาทจะทรงฟังใคร
จะทรงเข้าข้างน้องสาวของพระองค์ผู้ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน หรือท่านหมออัจฉริยะตัวน้อยที่ช่วยชีวิตพระองค์ไว้
ขณะที่ทุกอย่างอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน จู่ๆ ปรากฏร่างอ้วนท้วนวิ่งร้องไห้เข้ามาแทรกกลางวง
“เสด็จพ่อ! เสด็จพ่อ! ช่วยลูกด้วย!”
ฉินฉู่อวี้พุ่งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของฮ่องเต้โดยไม่ทันได้ระวัง จากนั้นก็คว้าคอเสื้อของฮ่องเต้พร้อมกับร่างที่สั่นเทา
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว แม้การกระทำเช่นนี้จะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่ก็รู้สึกสงสารเจ้าโอรสตัวอ้วนคนนี้อย่างอดมิได้
“มีเรื่องอันใด” ฮ่องเต้เอ่ยถาม
“สุนัขของข้า…สุนัขของข้า…” ฉินฉู่อวี้ร้องไห้สะอื้นจนหายใจไม่ทัน
“ใจเย็น ค่อยๆ พูด สุนัขของเจ้าเป็นอะไรไป”
ฉินฉู่อวี้ร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม “หวง หวงฝู่เสียนฆ่าสุนัขของข้า!”
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนในทันที
แม้ทุกคนจะรู้ว่าหวงฝู่เสียนเป็นเด็กที่มีนิสัยแปลกประหลาด แต่ฆ่าสุนัขเนี่ยนะ ซ้ำยังเป็นสุนัขของพระโอรส จะไม่เกินไปหน่อยหรือ
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น ดึงร่างอ้วนที่กำลังกอดเขาอยู่ออก “เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ ท่านพี่เสียนของเจ้าจะฆ่าสุนัขของเจ้าได้อย่างไร”
ฉินฉู่อวี้พยายามฝังศีรษะของตัวเองไว้ในอ้อมอกของเสด็จพ่อของเขา “ข้าเห็นเองกับตา! จิ้งคงก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย! เขาอยู่ที่นั่น! ที่สระไท่เยี่ย! หากเสด็จพ่อไม่เชื่อก็ทรงลองไปทอดพระเนตรเองดูสิ!”
องค์หญิงหนิงอันลุกขึ้นยืน “ฝ่าบาท ข้าไปดูเอง”
ฮ่องเต้ “ข้าไปด้วย”
“เสด็จพ่ออย่าไป!” ฉินฉู่อวี้ดึงแขนเสื้อของฮ่องเต้
“ก็ไหนเจ้าบอกเองว่าให้ข้าไปเห็นกับตาไม่ใช่รึ”
ฉินฉู่อวี้สะอื้น “ข้ากลัวนี่นา ถ้าเสด็จพ่อไปแล้วข้าจะอยู่กับใครล่ะ!”
เป็นเรื่องปวดหัวสำหรับฮ่องเต้ที่มีองค์ชายเป็นคนขี้กลัวเช่นนี้ ทรงได้แต่ถอนหายใจ “ให้เว่ยกงกงพาเจ้ากลับไปที่ตำหนักคุนหนิง”
เนื่องจากมีเรื่องกะทันหัน ฮ่องเต้จึงไม่มีเวลามาจัดแจงเรื่องที่จะให้ถังเย่ว์ซานช่วยสอนธนูให้องค์หญิง จากนั้นพวกเขามุ่งหน้าไปยังสระไท่เยี่ย
ถังเย่ว์ซานมองตามไปที่ด้านหลังของกลุ่มคนที่เดินออกไปพร้อมกับบ่นพึมพำ “องค์หญิงเหยาะแหยะ ฝึกไปก็เปล่าประโยชน์ สั่งสอนตักเตือนอะไรก็ไม่ได้ คนที่ได้สอนคงโชคร้ายน่าดู!”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็สังเกตเห็นว่า กู้เจียวกำลังจ้องธนูในมือของเขาด้วยแววตาเปล่งประกาย
ถังเย่ว์ซานถึงกับสะดุ้ง จนรีบกอดคันธนูไว้ในอ้อมแขนของเขา “อย่าแม้แต่จะคิด! ข้าจะไม่ให้เจ้าแตะต้องมัน! ถ้าข้าให้เจ้าจับมัน ข้าคงโง่เต็มที!”