บทที่ 545 ไออุ่น
ฮ่องเต้และองค์หญิงหนิงอันมุ่งหน้าไปยังสระไท่เยี่ย และพวกเขาก็เจอกับร่างอาบเลือดของหวงฝู่เสียนบริเวณหลังภูเขาหิน
ภาพที่ฮ่องเต้ได้เห็น คงเป็นอะไรที่จะตราตรึงอยู่ในห้วงความทรงจำของเขาไปชั่วชีวิต ช่วงขาของหวงฝู่เสียนไร้ซึ่งผ้าที่คลุมไว้เหมือนทุกครั้ง กางเกงของเขาเต็มไปด้วยรอยเลือดพร้อมกับลมที่พัดโชยขากางเกงของเขาจนปลิวลู่ลม สองมือของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือดเช่นเดียวกัน รวมไปถึงบริเวณหน้าผาก ใต้ตา ลำคอเองก็มีคราบเลือดติดอยู่
แม้แต่ตรงมุมปากของเขายังมีหยดเลือดที่กำลังจะไหลหยดลงมา
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความมืดดำว่างเปล่า เรือนร่างและเงานั้นช่างดูว้าเหว่และแหลกสลาย
ทันใดนั้นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ก็ปะทุขึ้นในพระทัยของฮ่องเต้ เป็นความรู้สึกที่เกือบจะเหมือนอาการหวาดผวา กระนั้นก็แฝงไปด้วยความตะลึงเช่นกัน
มีเด็กที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่บนโลกนี้ได้เยี่ยงไร นี่คือประโยคแรกที่เข้ามาในหัวของฮ่องเต้
หวงฝู่เสียนอายุแค่สิบสามปี น้อยกว่ากู้เสี่ยวซุ่นหนึ่งปี กระนั้นความเย็นชาที่เขาแสดงออกนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนปกติควรมี
ขณะที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่ขากางเกงที่ว่างเปล่าของหวงฝู่เสียน จู่ๆ ก็ทรงมีอาการจุกที่คอ
“เสียนเอ๋อร์! ทำอะไรน่ะ!”
องค์หญิงร้องอุทานและวิ่งเข้าไปคว้าไหล่ของหวงฝู่เสียนจนแน่นด้วยมือทั้งสองข้างและเขย่าร่างผอมของเขาในสภาพที่แตกสลาย “เจ้าทำอะไรลงไป!”
หวงฝู่เสียนได้แต่นั่งนิ่งยอมให้องค์หญิงเขย่าตัวเขาบนรถเข็นที่เย็นเยือกนี้
องค์หญิงหนิงดวงตาแดงก่ำ “พูดสิ! ว่าทำอะไรลงไป! เจ้าทำแบบนี้ทำไม!”
หลังจากที่ฮ่องเต้ฟื้นคืนสติ ก็รีบก้าวไปข้างหน้าและดึงร่างองค์หญิงออกมา จากนั้นองค์หญิงยกมือปิดหน้า โน้มตัวเข้าหาผู้เป็นพี่และร่ำไห้ “มันเป็นความผิดของข้าทั้งหมด…มันเป็นความผิดของข้า…”
ฮ่องเต้มองไปรอบๆ แต่ไม่พบศพของเจ้าสุนัข ไม่รู้ว่าเขาจะโยนมันทิ้งลงทะเลสาบไปแล้วหรือไม่
ฮ่องเต้หลับตาและอ้าปากค้างอย่างอดไม่ได้ พอได้รู้ว่าเด็กที่อายุแค่สิบสามมีใจคอที่โหดเหี้ยมเช่นนี้
เพราะเขาเป็นบุตรของหนิงอัน ฮ่องเต้จึงต้องข่มกลั้นความรู้สึกให้ได้มากที่สุด
หนิงอันลำบากมานานหลายปี เขาจะไม่ยอมให้นางต้องลำบากอีก
“เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าคุยกับเขาเอง” ฮ่องเต้ตรัสกับองค์หญิง
องค์หญิงหนิงอันสะอื้นพร้อมหันไปมองผู้เป็นลูก ฮ่องเต้เห็นดังนั้นจึงยืนมือตบไหล่ของนางเบาๆ “ข้าไม่อะไรกับเขาหรอก แค่อยากพูดคุยกับเขาไม่กี่ประโยคเท่านั้น”
ในเมื่อฮ่องเต้ทรงว่ามาเช่นนี้ คงเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่งหากองค์หญิงไม่กลับตำหนัก
“อย่าทำให้เสด็จลุงของเจ้ากริ้วล่ะ” องค์หญิงหนิงอันกำชับกับลูกชาย
หวงฝู่เสียนเอนตัวลงบนพนักพิงพร้อมกับเมินใส่
จากนั้นองค์หญิงก็เดินทางกลับไปที่ตำหนักปี้สยา
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรที่หวงฝูเสียน ทรงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วหยุดยืนที่ข้างเก้าอี้รถเข็นพร้อมกับถอนหายใจ “เสียนเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังทุกข์ทรมาน เจ้าสูญเสียขาทั้งสองข้าง สูญเสียบิดา ข้าเข้าใจความเศร้าโศกของเจ้า”
“เหอะ” หวงฝู่เสียนแสยะยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
นับตั้งแต่ฮ่องเต้เสด็จขึ้นครองราชย์ นอกจากจวงไทเฮาแล้ว ก็ไม่เคยมีใครกล้าแสดงท่าทีเช่นนี้กับเขา กระนั้นฮ่องเต้พยายามมองข้ามแล้วตรัสต่อ “แม้ข้าไม่เคยสูญเสียขาเช่นเจ้า ไม่อาจเข้าใจความเจ็บปวดทั้งหมดของเจ้าได้ แต่ข้าเข้าใจความทุกข์จากการสูญเสียบิดา”
หวงฝู่เสียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ฝ่าบาทไม่เหมือนกับกระหม่อม เสด็จพ่อของท่านจากไปด้วยอาการประชวร แต่เสด็จพ่อของกระหม่อมถูกคนสังหาร”
ฮ่องเต้ย่นคิ้ว “เสด็จพ่อเจ้าเป็นผู้ทรยศต่อราชวงศ์”
หวงฝู่เสียนโต้กลับเสียงเบา “ราชวงศ์ของเสด็จพ่อคือราชวงศ์ต้าลี่ต่างหาก”
ฮ่องเต้กำหมัดแน่นพร้อมกับสูดปาก
นี่พระนัดดานะ ห้ามกริ้ว ห้ามกริ้ว
ฮ่องเต้พูดขึ้น “ถ้าเจ้าจะโทษใคร ก็โทษข้าเถิด อย่าไปโทษเสด็จแม่ของเจ้าเลย และอย่าก่อเรื่องให้นางกริ้วด้วย”
หวงฝู่เสียนไม่ได้มองหน้าเสด็จลุงของเขาแต่อย่างใด กลับหันไปทางสระน้ำพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เสด็จแม่ทรยศต่อเสด็จพ่อ กระหม่อมโทษนางที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นและจะไม่มีวันให้อภัยนางเป็นอันขาด และแน่นอน กระหม่อมจะไม่มีทางยกโทษให้ฝ่าบาทเช่นกัน กระหม่อมขอแนะนำว่าฝ่าบาทควรสังหารกระหม่อมให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น หากวันใดวันหนึ่งกระหม่อมมีกำลังมากพอ กระหม่อมจะสานต่องานอันยิ่งใหญ่ของเสด็จพ่อในการฟื้นฟูอาณาจักร!”
“เจ้า!”
“กระหม่อมเป็นคนของราชวงศ์ต้าลี่ โลหิตของเสด็จพ่อไหลเวียนอยู่ในตัวกระหม่อม หากกระหม่อมยังอยู่ ราชวงศ์ต้าลี่ก็จะยังคงอยู่เช่นกัน!”
…
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!”
เสียงเรียกของเว่ยกงกงดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา
หลังจากได้สติ ฮ่องเต้ก็ตระหนักว่าเขามาอยู่ที่ห้องทรงงานแล้ว
เมื่อครู่นี้เขาเกือบจะบีบคอเจ้าเด็กนั่นให้ตายคามือเขา!
แต่ที่เขาไม่ทำเช่นนั้น เพราะใบหน้าของเด็กคนนั้นคล้ายกับหนิงอันมากเกินไป
ฮ่องเต้เกรงว่าหากเขาอยู่ที่นั่นนานกว่านี้คงได้มีรับสั่งให้คนมาตัดหัวเด็กคนนั้นอย่างแน่นอน จึงรีบข่มใจตัวเองแล้วเดินออกมาแต่เพียงผู้เดียว
“ฝ่าบาท ทรงไม่เป็นอะไรใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงเอ่ยถามอย่างกังวล
ฮ่องเต้ปาดเหงื่อบนหน้าผากตัวเองพลางส่ายศีรษะ “ข้าไม่เป็นไร แล้วองค์ชายเจ็ดเป็นอย่างไรบ้าง”
เว่ยกงกงเอ่ยเสียงเบา “กระหม่อมพาองค์ชายเจ็ดไปส่งที่ตำหนักคุนหนิง แล้วพอเรื่องไปถึงฮองเฮา ก็ทรง…ไม่พอพระทัยนักพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องแบบนี้ใครมันจะรับได้กันเล่า
ถูกคนเดียวกันแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าขนาดนี้
เซียวฮองเฮาเองก็มิใช่คนประนีประนอมง่ายๆ คราวนี้ดูเหมือนสะพานระหว่างตำหนักคุนหนิงและตำหนักปี้สยาเป็นอันต้องขาดสะบั้นเสียแล้ว
“เจ้าไปบอกคนของตำหนักคุนหนิงทีว่าคืนนี้ข้าจะไปเสวยมื้อเย็นที่นั่น” ฮ่องเต้เอ่ยพร้อมกับกำมือแน่น
แปลว่าทรงต้องการไปปลอบขวัญเซียวฮองเฮา
เว่ยกงกงน้อมรับ “พ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นเว่ยกงกงก็เดินออกไป
ฮ่องเต้ยังคงไม่คลายคิ้วทั้งสองข้างที่ขมวดแน่น
เรื่องของเซียวฮองเฮาไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่คาพระทัยเขาอยู่ในตอนนี้
ประโยคนั้นของหวงฝู่เสียนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ‘หากกระหม่อมยังอยู่ ราชวงศ์ต้าลี่ก็จะยังคงอยู่เช่นกัน!’
พวกอดีตราชวงศ์ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ยังคงทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้จนถึงตอนนี้
ในความเป็นจริง หวงฝู่เสียนเป็นเพียงเด็กพิการอายุสิบสามเท่านั้น แล้วจะฟื้นฟูอาณาจักรได้อย่างไร
สักพัก ก็มีอีกประโยคหนึ่งของหวงฝู่เสียนดังลอยขึ้น ‘โลหิตของเสด็จพ่อไหลเวียนอยู่ในตัวกระหม่อม กระหม่อมจะสานต่องานอันยิ่งใหญ่ของเสด็จพ่อในการฟื้นฟูอาณาจักร’
เด็กนั่นเป็นคนที่ไม่มีความเห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าเขาโตไป เขาจะต้องลำบากอย่างไม่รู้จบสิ้น
จากนั้น ฮ่องเต้ก็หยิบหนังสือที่มีคำร้องขอให้แต่งตั้งองค์หญิงหนิงอันเป็นองค์หญิงผู้พิทักษ์
ในตอนแรกฮ่องเต้ได้ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะถูกคัดค้านแค่ไหน เขาก็จะยกตำแหน่งนี้ให้หนิงอันแน่นอน
แต่ตอนนี้ ทรงเริ่มไม่มั่นใจแล้ว
ว่าจะมอบตำแหน่งองค์หญิงผู้พิทักษ์ให้หนิงอันหรือไม่
หากเป็นเช่นนั้น ในอนาคต ตำแหน่งนี้จะต้องถูกส่งต่อไปยังหวงฝู่เสียน เช่นนั้น อาจเป็นไปได้ว่าจะมียี่อ๋องหรือหวงฝู่เจิงคนที่สองเกิดขึ้น
ฮ่องเต้มีทางเลือกสองทาง
หนึ่ง เขาจะมอบตำแหน่งให้องค์หญิง แต่ต้องกำจัดหวงฝู่เสียนทิ้ง
สอง ไม่ให้องค์หญิงรับตำแหน่ง ส่วนห่วงฝู่เสียนจะได้เป็นแค่บุตรของชนชั้นขุนนาง ไม่มีอำนาจสืบทอดบัลลังก์
…
หวงฝู่เสียนเข็นล้อรถกลับมายังตำหนัก
องค์หญิงนั่งรอเขาอยู่ที่ห้องของเขา พอเขากลับมา องค์หญิงหนิงอันจึงสั่งให้บ่าวทั้งหมดออกไปจากห้อง
ทั้งห้องเหลือเพียงแค่สองแม่ลูก องค์หญิงหนิงอันมองไปที่ขาของเขาพร้อมถาม “ผ้าห่มล่ะ”
“สกปรกแล้ว เลยทิ้งไป” หวงฝู่เสียนเอ่ยเสียงนิ่ง
องค์หญิงสูดปาก “หวงฝู่เสียน…”
ทันใดนั้น หวงฝู่เสียนก็รีบเอ่ยขัด “ท่านไม่อยากรู้หรือว่าข้าพูดอะไรกับฝ่าบาทไปบ้าง”
“เจ้าพูดอะไรกับฝ่าบาท” องค์หญิงเอ่ยถาม
หวงฝู่เสียนพูดด้วยรอยยิ้มกวน “ข้าพูดว่า ข้าเกลียดเสด็จแม่ และข้าก็เกลียดฝ่าบาทด้วย เสด็จแม่ฆ่าเสด็จพ่อ สักวันหนึ่งข้าจะล้างแค้นให้เสด็จพ่อ ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ราชวงศ์ต้าลี่จะยังคงอยู่!”
เพี้ยะ!
องค์หญิงตบเขาด้วยหลังมืออย่างไร้ซึ่งความปรานี!
แรงตบของนางทำให้ร่างของหวงฝู่เสียนล้มลงกับพื้นพร้อมกับรถเข็นของเขา จนเลือดไหลกบปาก
หวงฝู่เสียนแค่นเสียงหัวเราะ “เสด็จแม่มีแรงแค่นี้เองรึ”
องค์หญิงหนิงอันจ้องมองเขาอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยร่างที่สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
หวงฝู่เสียนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เลือดที่แห้งบนแก้มของเขาผสานกับเลือดสดจากมุมปากของเขา ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม “เสด็จแม่ลองเดาสิว่าหากฝ่าบาทรู้เข้าว่าบุตรชายของท่านต้องการก่อกบฏ ฝ่าบาทจะยังมอบตำแหน่งองค์หญิงผู้พิทักษ์ให้ท่านอยู่หรือไม่”
เล็บขององค์หญิงจิกลึกเข้าไปในเนื้อที่ฝ่ามือ “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากห้อง!”
พูดจบ องค์หญิงก็เดินออกจากห้องไป
ไม่มีใครเข้ามาช่วยพยุงร่างเขา
เขาได้แต่แนบตัวลงบนพื้นเย็นๆ จ้องมองที่คานแกะสลักบนเพดานด้วยสายตาว่างเปล่า
ลมหนาวพัดเข้ามาทางหน้าต่าง
ร่างของหวงฝู่เสียนหนาวเหน็บจนไร้ความรู้สึก กระนั้นเขาไม่ได้เปล่งเสียงเรียกใดๆ
ทันใดนั้น เกิดเสียงบางอย่างดังขึ้นที่บริเวณขอบหน้าต่าง ราวกับมีนกตัวใหญ่บินลงมาเกาะตรงนั้น
หวงฝู่เสียนไม่สนใจ
เขายังคงนอนราบบนพื้นเฉกเช่นคนตาย
สักพัก ร่างเล็กของใครบางคนปีนขึ้นไปบนขอบหน้าต่างและล้มลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง
คราวนี้หวงฝู่เสียนเริ่มสนใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ร่างของเขาถูกแช่แข็งทำให้ระยะการเคลื่อนไหวของเขามีจำกัด ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็นอะไรเลย
จนกระทั่งร่างเล็กๆ นั้นวิ่งเข้ามาและชะโงกหัวมองเขา
“พี่ชาย”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยทัก
“เจ้ามาที่นี่ทำไม” หวงฝู่เสียนหลับตาลงพร้อมเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่มันใช่ที่ที่เจ้าควรมารึ”
เสี่ยวจิ้งคงไม่สนใจท่าทีเย็นชาของเขา จากนั้นเดินอ้อมไปที่ข้างลำตัวของเขาแล้วเอ่ยถาม “ทำไมมานอนตรงนี้”
“เหอะ สนุกมั้ง” หวงฝู่เสียนประชด
“อ๋อ” เสี่ยวจิ้งคงจึงลองนอนลงไปที่พื้นตามเขา
หวงฝู่เสียน “…”
จิ้งคงนอนไปได้สักพักก็รีบเอามือกุมหน้าท้อง “ข้าว่ามันหนาวนะ”
หวงฝู่เสียน ก็ใช่น่ะสิ พูดอะไรโง่ๆ
จิ้งคงลุกขึ้นนั่งและหยิบขวดลายครามขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋า “อ่ะ นี่”
“มันคืออะไร” หวงฝู่เสียนเอ่ยถาม
“ยาทาแผลอย่างไรเล่า” จิ้งคงตอบ
“สุนัขนั่นตายแล้วนะ” หวงฝู่เสียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เสี่ยวจิ้งคง “ข้าจะเอาให้ท่านต่างหาก มือท่านบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่รึ”
หวงฝู่เสียนกะพริบตา
มือของเขามีแผลอยู่จริงๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ทันสังเกต
คิดว่ารอยเลือดที่เปื้อนมือเป็นของสุนัขอย่างเดียว
จิ้งคงเห็นว่าเขาไม่ยื่นมือรับไว้ ก็เลยมัดมือชกคว้ามือเขาแทนเพื่อจะยัดขวดยาใส่ไว้ที่มือเขา
แต่พอเสี่ยวจิ้งคงได้สัมผัสมือของเขาก็ถึงกับร้องอุทาน “เหตุใดมือท่านถึงได้เย็นเฉียบขนาดนี้! รีบลุกขึ้นมาเร็ว!”
“ไม่ใช่ธุระของเจ้า!” หวงฝู่เสียนโต้กลับ
เสี่ยวจิ้งคงมองไปรอบๆ และเห็นว่ารถเข็นของเขาล้มพลิกอยู่บนพื้น “นี่ท่านหกล้มใช่ไหม”
“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ใช่ธุระของเจ้า!”
เสี่ยวจิ้งคงลุกขึ้นแล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีพลิกรถเข็นที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาให้ตั้งพื้นเหมือนเดิม จากนั้นก็เข้าไปช่วยพยุงร่างของหวงฝู่เสียน
ร่างของหวงฝู่เสียนอยู่ในสภาพแข็งทื่อเพราะอากาศหนาว และไม่สามารถลุกขึ้นได้ในทันที เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้ามือของเขาแล้วเริ่มถูไปมา “วิธีนี้จะทำให้มือของเจ้าอุ่นขึ้น”
ตั้งแต่เขาสูญเสียขาทั้งสองข้าง เขาก็เกลียดการเข้าใกล้ผู้คน แม้แต่องค์หญิงก็ไม่สามารถแตะต้องตัวเขาได้ แต่เจ้าตัวเล็กกลับเอามือของเขาไปลูบๆ ถูๆ เนี่ยนะ
“ปล่อยข้า!” หวงฝู่เสียนเอ่ยอย่างโมโห
“เดี๋ยวก็ดีขึ้นน่า อย่าเพิ่งใจร้อนสิ” เสี่ยวจิ้งคงเรียนวิธีนี้มาจากกู้เจียว เขายื่นมือไปสัมผัสหน้าผากของหวงฝู่เสียน
กล้าดีอย่างไรมาแตะศีรษะของเขา!
หวงฝู่เสียนโกรธจนเลือดขึ้นหน้า!
หลังจากที่เสี่ยวจิ้งคงถูมือซ้ายของเขาเสร็จ ก็เปลี่ยนไปถูมือขวาของเขา และมือขวาก็อุ่นขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ถูมือเสร็จ ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กกำลังจะไปถูที่ขาของเขาต่อ
ซึ่งขาของเขาเป็นจุดต้องห้าม แม้แต่เสด็จพ่อของเขายังหลีกเลี่ยงและรังเกียจขาของเขา
ห้ามแตะต้องตรงนั้นเด็ดขาด!
ไม่อย่างนั้นเขาต้องเป็นบ้าแน่ๆ !
หวงฝู่เสียนจ้องจิ้งคงตาเขม็ง
โชคดีที่จิ้งคงไม่แตะต้องขาของเขา หลังจากอุ่นมือให้แล้ว จิ้งคงก็พยายามช่วยให้เขาลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความตื่นเต้นในขณะนั้นหรือเปล่าที่ทำให้เลือดของเขาพุ่งไปทั่วร่างกาย จนร่างของเขาไม่แข็งทื่อแบบเมื่อครู่แล้ว
เขาลุกขึ้นนั่ง
จิ้งคงดันรถเข็นไปข้างหน้า จากนั้นหวงฝู่เสียนใช้มือยันตรงที่วางแขนรถเข็นด้วยมือทั้งสองข้าง กัดฟันและยกตัวขึ้นนั่งบนรถเข็น
“เจ็บไหม”
เสี่ยวจิ้งคงถามเขา
คราวเสี่ยวนี้จิ้งคงพูดถึงขาของเขา
หวงฝู่เสียนกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งที ก่อนตอบ “ไม่เจ็บเท่าไหร่”
เสี่ยวจิ้งคงโน้มตัวลง
หวงฝู่เสียนที่นึกว่าเจ้าตัวเล็กกำลังจะยกขากางเกงของเขาขึ้น จึงรีบชักสีหน้าทันที
แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวเล็กเป่าลมใส่กางเกงของเขา พร้อมกับเอ่ย “เป่าๆ หน่อยเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว”
ไม่มีความกลัวหรือความรังเกียจในดวงตาเล็กๆ ที่ใสสะอาดคู่นั้น