บทที่ 546 แม่ลูก
“องค์ชาย!”
เหลียนเอ๋อร์เปิดประตูเข้ามาในห้อง “เหตุใดถึงมานั่งริมหน้าต่างคนเดียวเพคะ ลมแรงนัก เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะเพคะ!”
หวงฝู่เสียนจ้องมองไปที่ทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ไม่เอ่ยตอบใดๆ
เสี่ยวจิ้งคงออกจากห้องนี้ไปแล้ว และไม่มีแม้แต่ร่องรอยว่าเขาเคยมาที่นี่
เหลียนเอ๋อร์จึงรีบเดินไปปิดหน้าต่าง
“อย่าปิด” หวงฝู่เสียนห้าม
เหลียนเอ๋อร์ถึงกับหันไปมองนายน้อยของตัวเองอย่างสงสัย “แต่อากาศมันหนาวมากเลยนะเพคะ”
“ข้าไม่หนาว” หวงฝู่เจิงเอ่ยเบาๆ
“เช่นนั้น ก็ได้เพค่ะ หม่อมฉันจะแง้มไว้ให้เล็กน้อยเพคะ” เหลียนเอ๋อร์ปิดหน้าต่างแค่ครึ่งบาน
หวงฝู่เสียนมองลอดผ่านช่องหน้าต่าง สีหน้าของเขาเฉยเมย มืดมน และหดหู่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหลียนเอ๋อร์ทำงานรับใช้องค์หญิง แม้นางจะชินกับท่าทางของหวงฝู่เสียน แต่ก็ยังรู้สึกปวดใจอยู่ดี
นางมองไปที่รอยเลือดแห้งที่ติดอยู่ตามเนื้อตัวของเขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะนางได้ยินข่าวแล้วว่าเขาฆ่าสุนัขขององค์ชายเจ็ด
“เดี๋ยวหม่อมฉันไปเอาน้ำมาเช็ดหน้าให้องค์ชายนะเพคะ” เหลียนเอ๋อร์เอ่ย
จากนั้นเหลียนเอ๋อร์เดินเข้ามาพร้อมกับกะละมังน้ำ แค่ล้างหน้าอย่างเดียวเหลียนเอ๋อร์ต้องคอยเปลี่ยนน้ำถึงสองรอบ พอล้างหน้าเสร็จ ก็ล้างมือต่อ ก็เห็นว่าที่มือของหวงฝู่เสียนมีแผลที่ทิ้งเป็นรอยยาว
เหลียนเอ๋อร์ทำหน้าตกใจ “องค์ชายทรงบาดเจ็บหรือเพคะ! เหตุถึงไม่พูดอะไรเลยเพคะ หรือว่ารอยเลือดที่มือจะเป็นเลือดขององค์ชายเพคะ”
แน่นอนว่าไม่ใช่เลือดของเขาทั้งหมด แผลแค่นั้นไม่มีทางทำให้เลือดไหลออกมาได้เยอะขนาดนี้อยู่แล้ว
“น่ารำคาญ ออกไปเสีย ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า” หวงฝู่เสียนขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยอย่างหมดความอดทน
“หม่อมฉันจะไปเชิญหมอหลวงให้มาดูอาการนะเพคะ” เหลียนเอ๋อร์พูดต่อ
“ข้าไม่อยากได้หมอหลวง” หวงฝู่เสียนโต้กลับ
“แต่ว่า…”
คราวนี้หวงฝู่เสียนเอ่ยเสียงแข็ง “ถ้ายังมัวแต่พูดไร้สาระอยู่อีก ข้าจะไล่เจ้าออกไป!”
เหลียนเอ๋อร์ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมเงียบลง
บางทีอาจเป็นเพราะบาดแผลนี้ที่ดึงดูดความสนใจของเหลียนเอ๋อร์ ทำให้นางเริ่มสังเกตเนื้อตัวเขามากขึ้น จนเจอเข้ากับรอยฝ่ามือบนพวงแก้มของเขา
“องค์หญิงทรงตบหน้าองค์ชายหรือเพคะ” เหลียนเอ๋อร์เอ่ยถาม
หวงฝู่เจิงไม่สนใจนาง
เหลียนเอ๋อร์ก้มศีรษะลงอย่างเศร้าสร้อย และยังคงเช็ดมือให้เขา “องค์ชาย ต่อไปทรงอย่าทำให้องค์หญิงกริ้วได้ไหมเพคะ องค์หญิงทรงลำบากมามาก พระนาง…”
ทันใดนั้น หวงฝู่เซียนก็พูดแทรกด้วยน้ำเสียงประชด “อย่างนางหรือจะลำบากอะไร ลำบากที่เลี้ยงคนพิการอย่างข้าใช่ไหม”
เหลียนเอ๋อร์ถึงกับพูดไม่ออก
เหลียนเอ๋อร์ไม่กล้าพูดอะไรต่อ ก้มหน้าก้มตาเช็ดเลือดที่แก้ม มือ และคอของเขา จากนั้นช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า
เหลียนเอ๋อร์เปลี่ยนแค่อาภรณ์ท่อนบนให้เขา ท่องล่างเขาเป็นคนจัดการเองทุกครั้ง
ตั้งแต่มีเหตุการณ์ที่พวกบ่าวมักจะทำท่าตกใจเวลาเปลี่ยนกางเกงให้เขา เขาจึงตัดสินใจไม่ให้ใครมายุ่งกับการเปลี่ยนกางเกงของเขาอีก
เมื่อองค์หญิงหนิงอันมาที่ห้อง หวงฝู่เสียนก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยและนั่งเงียบๆ อยู่บนรถเข็นริมหน้าต่าง
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าบาดเจ็บที่มือรึ” องค์หญิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินไปปิดหน้าต่าง
นางไม่ใช่เหลียนเอ๋อร์ที่ต้องฟังคำสั่งของเขา
กลับกัน หวงฝู่เสียนคือบุตรของนาง เขาต่างหากที่ควรเชื่อฟังนาง
“ให้ข้าดูหน่อย” องค์หญิงเอ่ยกับเขา
แต่เขากลับไม่ขยับตัวแม้แต่นิด
องค์หญิงจึงคว้ามือของเขาขึ้นมาด้วยตัวเอง “แผลยาวขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่บอกแต่แรก”
หวงฝู่เสียนเบือนหน้าหนีนาง
องค์หญิงหนิงอันเปิดขวดยาที่นำมา จุ่มปลายนิ้วเล็กน้อยแล้วทาลงบนบริเวณที่เป็นแผลตรงมือ จากนั้นทาลงบนแก้มที่บวมเป่ง
เขาพยายามเบนศีรษะออกห่าง
“ยังคงไม่ชอบให้ใครแตะตัวสินะ” ปลายนิ้วของนางยังคงแตะที่แก้มของเขา
หลังจากทายาเสร็จ องค์หญิงก็กล่าวว่า “ก่อนเข้านอนข้าจะมาทายาให้อีกรอบ เดี๋ยวข้าจะออกไปหาไทเฮา เจ้าจะไปด้วยกันไหม”
“เสด็จแม่แน่ใจแล้วหรือว่าอยากให้ไทเฮาเจอข้าในสภาพที่เพิ่งถูกท่านตบหน้ามาหมาดๆ” หวงฝู่เจิงแสยะยิ้มพร้อมกับเอ่ยอย่างประชด
องค์หญิงหนิงอันกำมือแน่น หายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะวางขวดยาลงบนโต๊ะ หันหลังและเดินออกไป
…
ณ ตำหนักเหรินโซ่ว เซียวเหิงมีธุระจึงต้องขอตัวกลับก่อน
ตอนแรกมีแค่เขากับเสี่ยวจิ้งคงที่เข้าวัง สักพักกู้เจียวก็ตามมาทีหลัง
พอจิ้งคงได้อยู่กับเจียวเจียวก็ลืมพี่เขยตัวแสบไปในทันที รีบโบกมือบอกลาเซียวเหิงยกใหญ่!
แล้วเจ้าตัวเล็กก็เริ่มทำตัวซุกซนในตำหนักเหรินโซ่ว
เมื่อเขาโตขึ้น พลังทำลายล้างของเขาก็แข็งแกร่งขึ้น แต่ทุกครั้งกู้เจียวก็สามารถแก้ปัญหาให้เขาได้
ขณะที่องค์หญิงหนิงอันเดินเข้าตำหนักเหรินโซ่ว ก็เจอกับกู้เจียวที่กำลังซ่อมโครงชิงช้าให้กับเสี่ยวจิ้งคง
องค์หญิงเห็นชิงช้านี้หลายรอบแล้ว เพียงแต่ไม่เคยได้เอ่ยถามว่ามันมาจากที่ใด
ตอนแรกทรงคิดว่าชิงช้านี้ทำขึ้นเพื่อองค์หญิงน้อยสองคนของหนิงอ๋องด้วยซ้ำ
“เจียวเจียว ซ่อมเสร็จหรือยัง” เสี่ยวจิ้งคงที่ยืนอยู่ด้านหลังชิงช้าเอ่ยถามกู้เจียวด้วยท่าทีออดอ้อน
กู้เจียวตอบกลับ “ไม่เร็วขนาดนั้นหรอก เบาะรองนั่งพัง แถมจำเป็นต้องเสริมความแข็งแรงให้ตัวเชือกด้วย”
“เช่นนั้นข้าขอไปหาท่านย่าก่อนนะ!” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย
กู้เจียวพยักหน้า “ได้สิ”
“ท่านย่า! ข้ามาหาแล้ว!” จากนั้นเจ้าตัวเล็กก็วิ่งจ้ำเข้าไปในตำหนัก
กู้เจียวย่อตัวลงและทำการซ่อมอย่างระมัดระวัง โดยไม่เห็นว่าองค์หญิงกำลังยืนอยู่ที่ประตู
องค์หญิงหยุดฝีเท้าลง มองไปทางกู้เจียวโดยไม่กระพริบตา
หลังจากเข้ามายังเหมืองหลวง องค์หญิงก็กลับมาสวมอาภรณ์หรูหรา รวมถึงแต่งหน้าให้ดูสดใส ซึ่งต่างจากตอนอยู่ชายแดนที่พระองค์มักจะสวมเสื้อผ้าธรรมดาและไม่แต่งหน้า
โดยเฉพาะในวันนี้ พระองค์ทรงแต่งหน้าโดยมีการวาดลวดลายดอกไม้ลงบริเวณกรอบหน้าด้วย
หากมองเผินๆ รอยปานแดงบนใบหน้าของกู้เจียวนั้นเกือบจะคล้ายคลึงกับลายดอกไม้ที่ตกแต่งอยู่บนพระพักตร์ขององค์หญิง
จะต่างก็แค่ลายดอกไม้ถูกวาดขึ้นในลักษณะกลีบดอกเล็กๆ และมีความประณีต ขณะที่ปานแดงของกู้เจียวนั้นดูซีดเซียวกว่า
อุปนิสัยเดิมขององค์หญิงเป็นคนร่าเริงแจ่มใส แต่เวลาที่องค์หญิงเงียบขรึมก็เผยให้เห็นด้านที่สุขุมและอ่อนโยนในคราวเดียวกัน
การวางตัวของกู้เจียวนั้นค่อนข้างคล้ายกับรูปลักษณ์ที่สงบนิ่งขององค์หญิงหนิงอันในอดีต เพียงแต่กู้เจียวจะดูเย็นชามากกว่า
“องค์หญิงเพคะ” นางข้าหลวงที่กำลังทำความสะอาดอยู่พอเห็นองค์หญิงก็รีบโน้มตัวถวายบังคม
กู้เจียวที่หันไปมองก็เจอกับองค์หญิงหนิงอันส่งยิ้มอ่อนมาให้ กู้เจียวพยักหน้าน้อมรับ
คนในวังต่างก็ชินกับการที่ไม่เห็นกู้เจียวถวายบังคมให้ใคร
ขนาดต่อหน้าฮ่องเต้ กู้เจียวก็ไม่ได้ทำท่าโน้มตัวลงอย่างที่คนอื่นทำ ซึ่งฮ่องเต้และเว่ยกงกงก็ไม่ได้ติดใจอะไรและยังปฏิบัติต่อนางเช่นเดิม
แม้ว่าองค์หญิงกับกู้เจียวจะเดินทางออกจากชายแดนด้วยกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่กู้เจียวบาดเจ็บหนักท่ามกลางพายุหิมะจนกู้ฉังชิงต้องแบกนางขึ้นหลัง พอเดินทางถึงค่ายทหารก็รีบกักตัวในทันที
กู้เจียวมักจะอยู่ด้วยกันกับกู้ฉังชิง ส่วนองค์หญิงนั่งอยู่ในรถม้าตลอดทาง
ดังนั้นพวกเขา…แทบไม่รู้จักมักคุ้นกันเลย
องค์หญิงเดินอ้อมทางเดิน ผ่านประตูฉุยฮวา ไปยังตำหนักของจวงไทเฮา
พระองค์หันกลับมามองทางกู้เจียวอย่างอดไม่ได้
ในตอนนั้นเอง องค์หญิงก็เห็นว่ามีขันทีนายหนึ่งรีบวิ่งไปหากู้เจียว “แม่นางกู้! แม่นางกู้! ข้าน้อยว่านิ้วของข้าน้อยหัก!”
ขันทีคนนั้นเป็นขันทีระดับล่าง
“ไหนข้าขอดูหน่อย” กู้เจียววางอุปกรณ์ลง จากนั้นหยิบผ้าสะอาดแล้วช้อนมือของขันทีขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วเอ่ยขึ้น “นิ้วเจ้าไม่ได้หักนะ ว่าแต่ไปโดนอะไรมารึ”
พอรู้ว่านิ้วของตัวเองไม่ได้หัก ขันทีก็ถอนหายใจโล่งอก “เมื่อครู่นี้…ข้าน้อยแกะเมล็ดถั่วสมองมาน่ะ”
นางข้าหลวงที่อยู่บริเวณนั้นพอได้ยินเข้าก็เอามือป้องปากหัวเราะกันใหญ่
ขันทีคนนั้นเขินจนต้องเอามือเกาหัว
กู้เจียวเอ่ยต่อ “เจ้าเอามือห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าแล้วประคบน้ำแข็ง ถ้าอาการบวมไม่ลดลงในวันพรุ่งนี้ ให้ประคบอีกครั้ง สองวันต่อมาค่อยประคบร้อน”
“ขอบพระคุณแม่นางกู้มากเลยขอรับ ข้าน้อยจะจำและนำไปใช้!” ขันทีเอ่ยขอบคุณ
องค์หญิงหนิงอันละสายจากลับมา เดินต่อไปยังตำหนักของจวงไทเอา แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง ก็เจอกับขันทีคนเมื่อครู่นี้ที่ขอความช่วยเหลือกับกู้เจียว
ขันทีผู้นี้คงมาใหม่ ยังไม่รู้กฎในวังมากนัก ถึงได้รีบวิ่งออกมาจากด้านหลังของทางเดินและเกือบจะชนกับองค์หญิง
องค์หญิงหนิงอันไม่ได้พูดอะไร แต่ตัวขันทีกลับรู้สึกหวาดกลัวจนขาทรุดคุกเข่าลงกับพื้น “องค์หญิงไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะค่ะย่ะ! องค์หญิงไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะค่ะย่ะ!”
“ลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ถือโทษเจ้า” องค์หญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“พ่ะค่ะย่ะ! ขอบพระทัยองค์หญิงเป็นอย่างมากพ่ะค่ะย่ะ!” ขันทีน้อยยืนตัวสั่นไม่กล้าเงยหน้ามององค์หญิง
องค์หญิงหนิงอันเอ่ยช้าๆ “ข้าไม่ได้กินคนสักหน่อย ว่าไปแล้วเจ้าไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเช่นนี้ตอนอยู่กับแม่นางกู้นี่นา”
“ท่านเป็นถึงองค์หญิง เป็นที่รักของพระพันปี กระหม่อมมิบังอาจล่วงเกินพ่ะค่ะย่ะ” ขันทีเอ่ยด้วยท่าทีเกรงใจ
องค์หญิงหนิงอันโต้กลับ “แล้วแม่นางกู้มิใช่ที่รักของไทเฮาหรอกหรือ”
ขันทีเริ่มอึกอัก “แม่นางกู้เองก็ใช่ขอรับ เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร” องค์หญิงหนิงอันจ้องมองพวกเขา
“แม่นางกู้เขา…เขา…” ขันทีเริ่มตะกุกตะกัก ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปหรือไม่
องค์หญิงหนิงอันยิ้มเล็กน้อย “นางดูเข้าถึงง่ายกว่า พวกเจ้าก็เลยชอบนางมากกว่าสินะ”
“กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้นพ่ะค่ะย่ะ!” ขันทีเริ่มตัวสั่น