เมื่อถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้ตัดบทเช่นนั้น อวี้จิ่นก็งุนงงเล็กน้อย “ลูกบอกว่าที่ลูกเข้าวังหลวงในวันนี้มีด้วยกันสองเรื่อง…”
“หนึ่งในนั้นคือมาเยี่ยมเสียนเฟย?”
“พ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นมองฮ่องเต้ด้วยใบหน้าฉงนงงงวย
ท่าทีใสซื่อของบุตรชายทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ชะงักไป
เขาเสียเวลานอนคิดอยู่ทั้งคืนว่าจะตำหนิเขาว่าอะไรบ้าง แต่กลายเป็นว่าเจ้าเจ็ดมาเยี่ยมเสียนเฟยด้วยตัวเองเช่นนี้ แล้วเขาจะว่าอะไรได้
แม้ว่าบิดามีสิทธิ์ชอบธรรมในการอบรมบุตร แต่เขาเป็นถึงประมุขของแผ่นดิน ดังนั้นควรหรือที่จะเอ็ดคนอื่นอย่างไม่มีสาเหตุ
ทำแบบนั้นไม่ได้!
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกถ้วยชาขึ้นมาละเลียดเพื่อบรรเทาความรู้สึกอัดอั้นในอก
“แล้วอีกเรื่องล่ะ”
เมื่อฮ่องเต้เอ่ยถาม ท่าทีของอวี้จิ่นก็เคร่งขรึมขึ้นทันใด แต่ความเคร่งขรึมนั้นเจือปนไปด้วยความคับข้องใจ “เสด็จพ่อ ตอนที่ลูกเดินทางลงใต้เพื่อไปตามหาพี่ชายของภรรยา และสืบหาว่าใครคือคนที่ลอบทำร้ายพี่ชายของภรรยาถึงได้ทราบว่าลูกธนูนั้นมาจากทหารจากฝั่งเราพ่ะย่ะค่ะ!”
“ว่าอย่างไรนะ” สีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้หม่นลงทันใด
หากเทียบกับเรื่องขี้ปะติ๋วก่อนหน้า เรื่องนี้ใหญ่กว่ามาก
ในสนามรบผู้คนล้มตายเพราะถูกอีกฝ่ายเข่นฆ่า แต่การมีไส้ศึกเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้!
อวี้จิ่นคุกเข่าลงพร้อมยกมือคารวะ “ขอเสด็จพ่อคืนความยุติธรรมให้แก่เจียงจั้นด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“แล้วเจ้าเจอเบาะแสอื่นๆ บ้างรึยัง” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามต้อน
“คนที่ปล่อยลูกธนูนั้นมีชื่อว่าหวงฉีพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบ
แม้แต่ตัวคนยิงลูกธนูก็หาเจอแล้วงั้นหรือ
“หวงฉีผู้นั้น…”
“ทราบเพียงว่าเป็นทหารจากเหอตงพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ทราบรายละเอียดในส่วนอื่น ลูกได้สั่งให้คนพาตัวเขากลับมาที่เมืองหลวง รอให้เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสินพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ว่าคนที่บงการอยู่เบื้องหลังต้องการพุ่งเป้ามาที่เขาหรือเจียงจั้น แต่ถึงอย่างไรอวี้จิ่นก็มองว่าควรแจ้งเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้รับทราบ แม้ว่าเขาสามารถสืบหาความจริงได้ด้วยตัวเอง แต่การจะแก้แค้นจำต้องถามความเห็นจากจิ่งหมิงฮ่องเต้เสียก่อน
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า “ได้ ข้าจะให้องครักษ์จิ่นหลินไปสืบดู”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เฝ้ามองอวี้จิ่นที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าและรู้สึกว่าเจ้าเจ็ดมีความเป็นผู้ใหญ่มากทีเดียว บุตรชายรู้ว่าเรื่องนี้ควรแจ้งให้เขาทราบ ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่มักจะปิดบังเรื่องประเภทนี้เพราะหลงคิดว่าตัวเองฉลาด
เมื่อคิดได้ดังนี้ ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่ออวี้จิ่นก็ทวีขึ้นเป็นเท่าตัว จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ “ไปที่ตำหนักอวี้เฉวียนเถอะ”
อวี้จิ่นยังคงคุกเข่า
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ยังมีเรื่องอื่นรายงานอีกหรือ
“มีอะไรอีกรึ”
อวี้จิ่นเงยหน้าพลางถาม “เสด็จพ่อ หากเสด็จพ่อสืบทราบสาเหตุที่หวงฉีทำร้ายเจียงจั้นแล้ว พระองค์จะทรงบอกให้ลูกทราบได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดึงมุมปากเฝ้ามองสายตาอ้อนวอนของคนตรงหน้าก่อนจะพยักหน้ารับอย่างจนใจ “อื้อ เจ้าไปเถอะ”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” อวี้จิ่นส่งยิ้มสดใสโดยมิได้ปิดบังก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ
พอไอ้ลูกตัวดีรายงานเรื่องที่ตัวเองทุกข์ใจเสร็จแล้ว ก็กลับออกไปด้วยท่าทีเริงร่า แบบนี้นี่มันต้องเรียกว่าอะไร
สองฝ่ายต่อสู้กัน แต่ฝั่งตัวเองกลับยิงธนูใส่คนพวกเดียวกัน เรื่องที่ดูเหมือนไม่สำคัญแต่ก็สำคัญเช่นนี้จิ่งหมิงฮ่องเต้จะละเลยเสียมิได้
เขาหมดอารมณ์อ่านบทละครพื้นบ้านไปเสียตั้งนานแล้ว เขากวาดตาไปที่พานไห่ซึ่งกำลังยืนหลบอยู่ในมุมห้องพลางกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไปเรียกหันหรานมาซิ”
“พ่ะย่ะค่ะ” พานไห่ค้อมหลังเดินออกไปพร้อมความคิดที่ผุดขึ้นในหัว
ภายนอกเยี่ยนอ๋องดูเป็นคนแกล้วกล้าสามารถ แต่ความจริงแล้วเป็นคนมีปัญญายิ่งนัก
อวี้จิ่นเดินออกมาจากตำหนักหย่างซินแล้วตรงไปที่ตำหนักอวี้เฉวียน
เมื่อได้ยินว่าเยี่ยนอ๋องมาขอเข้าเฝ้า เสียนเฟยที่นั่งเอนหลังอยู่ที่เก้าอี้ยาวก็เอ่ยตอบด้วยท่าทีเกียจคร้าน “ให้เขาเข้ามา”
ไม่นานเกินรอ อวี้จิ่นก็เดินเข้ามาและหยุดยืนทำความเคารพเสียนเฟย “ได้ยินมาว่าพระวรกายของเหนียงเหนียงไม่สู้ดี ไม่ทราบว่าตอนนี้พระอาการเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยลืมตามองบุรุษหนุ่มก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน “โชคยังดี ข้ายังไม่ตาย”
อวี้จิ่นมิได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ ปากยังคงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำอวยพร “เหนียงเหนียงอย่าได้ตรัสวาจาเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ คนที่เป็นห่วงพระองค์จะได้ไม่ทุกข์ใจ”
“เหอะ เจ้าเนี่ยนะเป็นห่วงข้า” เสียนเฟยเห็นท่าทีของอวี้จิ่นก็ยิ่งปะทุหนัก
อย่าคิดว่านางไม่รู้ว่าคนอย่างเขากำลังเสแสร้งแกล้งทำ
ในตอนงานชมเลี้ยงดอกเหมยที่จัดขึ้นเพื่อเลือกพระชายาให้องค์ชายทั้งสอง เจ้าลูกชายตัวดีแสร้งทำเป็นเคารพให้เกียรตินาง เพื่อให้นางยอมใจอ่อนอนุญาตให้หญิงชั่วอย่างเจียงซื่อได้ขึ้นมานั่งบนตำแหน่งพระชายาเยี่ยนอ๋อง
นางในตอนนี้รู้ซึ้งแล้วว่า ในสายตาลูกอกตัญญูคนนี้ไม่เคยมีเยื่อใยต่อนาง ฉะนั้นนางไม่มีทางหลวมตัวหลงเชื่อเขาอีกแล้ว
อวี้จิ่นคลี่ยิ้มด้วยใบหน้าใสซื่อ “เหนียงเหนียงตรัสอะไรเช่นนั้น กระหม่อมก็ต้องเป็นห่วงพระองค์อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยเลิกคิ้วสูง “เป็นห่วงงั้นรึ หากเจ้าเป็นห่วงข้าจริง เหตุใดถึงไม่มาที่ตำหนักอวี้เฉวียนตั้งแต่เมื่อวาน ต้องรอให้ฝ่าบาทตรัสก่อนถึงจะคิดได้? จากที่ข้าเห็น ข้าว่าเจ้าคงไม่ได้เป็นห่วงข้า แต่กลัวว่าจะทำให้เสด็จพ่อของเจ้าไม่พอพระทัยมากกว่า”
อวี้จิ่นทำหน้าฉงน “เหนียงเหนียงตรัสอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อยังไม่ได้ตรัสอะไรกับกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้ตรัสอะไรกับเจ้างั้นรึ” เสียนเฟยหัวเราะเยาะ “มิใช่ฝ่าบาทหรอกหรือที่บอกให้เจ้ามาที่นี่”
อวี้จิ่นเผยสีหน้าประหลาดใจ “เหนียงเหนียงทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว เสด็จพ่อยังมิได้ตรัสสิ่งใดกับกระหม่อม กระหม่อมเพียงแต่คิดถึงพระองค์เท่านั้นถึงได้มาขอเข้าเฝ้า…”
“พอได้แล้ว เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร” เสียนเฟยตัดบทอวี้จิ่น
อวี้จิ่นหลุบตาพร้อมกล่าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “เหนียงเหนียงคงจะเข้าพระทัยกระหม่อมผิดไปมากทีเดียว กระหม่อมจะมาน้อมทักพระองค์เพียงเพราะเสด็จพ่อทรงมีรับสั่งได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะเมื่อวานมีเรื่องให้จัดการมากมาย กระหม่อมเลยมาช้า แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของกระหม่อมเอง กระหม่อมควรมาหาพระองค์แต่แรก…”
ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนของอวี้จิ่นทำให้เสียนเฟยยิ่งโกรธเกรี้ยว แต่เพราะได้ยินเสียงกระแอมไอของหมัวมัวคนสนิท
เสียนเฟยชำเลืองมองไปที่หมัวมัวคนสนิทแวบหนึ่งก่อนจะกลืนสิ่งที่อยากพูดลงคอ
หมัวมัวคนสนิทเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมา
คงเป็นเพราะความป่วยไข้ทำให้คนเปลี่ยน แต่ไหนแต่ไรเหนียงเหนียงไม่เคยใจร้อนขนาดนี้ หรือต่อให้ร้อนรุ่มอยู่ในอกก็จะไม่แสดงออกมา จากที่เห็นนับวันพระนางยิ่งควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
เยี่ยนอ๋องเข้าหาด้วยท่าทีนอบน้อมเพียงนี้ หากเหนียงเหนียงตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้าต่อหน้าคนในตำหนักมากมาย คนคงคิดว่าเหนียงเหนียงจงเกลียดจงชังเยี่ยนอ๋อง หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงจะส่งผลเสียต่อเหนียงเหนียงเอง
เสียนเฟยที่ได้รับการเตือนสติจากคนสนิทก็ใคร่ครวญในจุดนี้ นางจึงพยายามปรับอารมณ์ให้เย็นลง “ไม่ว่าจะอย่างไร แค่เจ้ามาเยี่ยมข้า ข้าก็ดีใจแล้ว คนอื่นๆ จะได้ไม่หัวเราะเยาะว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุตรและมารดาของเราช่างบอบบาง”
บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น สองคนแม่ลูกคุยกันอีกสองสามประโยคก่อนที่อวี้จิ่นจะเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เหนียงเหนียง ตอนที่กระหม่อมเดินทางไปที่ทางใต้มีเรื่องหนึ่งที่กระหม่อมอยากจะสนทนากับพระองค์”
“ว่ามาสิ”
อวี้จิ่นมองซ้ายมองขวา
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
บ่าวรับใช้ที่ฝืนทนอยู่ในบรรยากาศแสนตึงเครียดมานานแทบจะรอไม่ไหวที่จะสับเท้าวิ่งหนีไป
“จะพูดได้หรือยัง”
อวี้จิ่นชำลองมองไปที่หมัวมัวคนสนิทของเสียนเฟย
เสียนเฟยขมวดคิ้ว
“เรื่องที่กระหม่อมจะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ควรให้คนนอกล่วงรู้พ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยลังเลชั่วครู่ก่อนจะผงกศีรษะให้หมัวมัวคนสนิท
ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยก็คงไม่เป็นไร ต่อให้เจ้าเจ็ดจะอกตัญญูเพียงใดก็คงไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือกับนาง
หมัวมัวคนสนิทของเสียนเฟยคุกเข่าเล็กน้อยก่อนจะถอยออกไป
“มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดถึงได้ดูลึกลับเพียงนี้”
อวี้จิ่นหัวเราะ ท่าทีของชายหนุ่มในขณะนี้แตกต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง เขาเปล่งเสียงแผ่วเบา “ที่เหนียงเหนียงตรัสเมื่อครู่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุตรและมารดาของพวกเราช่างบอบบาง พระองค์ตรัสผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีเคยมีความสัมพันธ์เช่นนั้นที่ไหนกัน”