เมื่อเทียบกับบรรยากาศเปี่ยมสุขของจวนเยี่ยนอ๋องกับบรรยากาศในตำหนักอวี้เฉวียนแล้ว ตำหนักของเสียนเฟยแทบจะไม่มีร่องรอยความสุขหลงเหลืออยู่เลย
เสียนเฟยเข้าไปน้อมทักที่ตำหนักคุนหนิงถึงได้ทราบว่าอวี้จิ่นกลับมาจากแดนใต้แล้ว
เดิมทีการต้องออกไปน้อมทักสตรีอีกคนท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บแต่เช้าตรู่ก็ทำให้นางรู้สึกหดหู่มากพออยู่แล้ว มิหนำซ้ำร้ายยังต้องมาได้ยินข่าวนี้อีก
เสียนเฟยกำลังหมกมุ่นอยู่กับท่าทีของบรรดานางสนม
คนพวกนั้นก็แค่หัวเราะเยาะนางที่ไม่รู้เรื่องที่บุตรของตัวเองกลับมา ส่วนฮองเฮาพอได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทก็ทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้านางมากขึ้นเรื่อยๆ พวกคนสมองขี้เลื่อยเหตุใดถึงไม่ลองคิดดูว่าต่อให้ฮองเฮาได้รับความโปรดโปรานแล้วจะมีประโยชน์อะไร
ฮองเฮาที่ไม่มีโอรส ต่อให้ได้ขึ้นเป็นไทเฮาก็เป็นได้แค่ในนาม อย่างไรเสียคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดก็ต้องเป็นคำพูดของผู้เป็นมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้อยู่ดี
เสียนเฟยพยายามเก็บอาการอย่างสุดความสามารถ ทันทีที่หูของนางได้ยินฮองเฮาตรัสว่าเยี่ยนอ๋องกลับมาแล้ว ใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าว แต่นางมิได้แสดงออกให้ใครเห็น
แต่เมื่อกลับมาถึงตำหนักอวี้เฉวียน แม้นางจะดื่มชาร้อนไปแล้วถึงสองถ้วย แต่ความโกรธแค้นยังไม่มีวี่แววว่าจะทุเลาลง
หากเทียบสายตาของหญิงชั่วพวกนั้น นางโกรธเจ้าเจ็ดมากกว่า!
นี่นางคลอดตัวอะไรออกมากันแน่ เดินทางลงใต้ไปตั้งนานแรมเดือน ขากลับก็พาตงผิงปั๋วซื่อจื่อที่ยังมีชีวิตอยู่กลับมาด้วย ทั้งที่เข้าวังมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทและฮองเฮา แต่ไม่คิดจะมาเหยียบไปที่ตำหนักอวี้เฉวียนเลยสักครั้ง!
หากในวินาทีนั้น อวี้จิ่นยืนอยู่ตรงหน้าเสียนเฟย นางคงสาดน้ำชาใส่หน้าบุตรชายไปแล้ว
“ลูกอกตัญญู!”
หมัวมัวคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ โน้มน้าว “เหนียงเหนียงอย่าทรงกริ้วไปเลยเพคะ เกรงว่าอาการปวดพระเศียรอาจกำเริบเอาได้นะเพคะ”
ครั้นเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเสียนเฟยก็บิดเบี้ยวไปโดยพลัน
ทีแรกนางแกล้งป่วยเพราะตั้งใจจะอ้างเรื่องนี้ให้สะใภ้สี่และสะใภ้เจ็ดเดินทางไปถวายธูปที่วัดไป๋อวิ๋น แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่านางล้มป่วยจริงๆ หลังจากที่นางนอนพักอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน พักหลังนางมีอาการป่วยศีรษะเป็นระยะๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือแพทย์หลวงก็ยังหาสาเหตุและวิธีการรักษาโรคไม่ได้
ในขณะที่กำลังก่นด่าหมอหลวงอยู่ในใจ เสียนเฟยก็อดคิดไม่ได้
หรือพระพุทธองค์รู้ว่านางแกล้งป่วย ถึงได้ลงโทษนางเช่นนี้
เมื่อมีความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว เสียนเฟยก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ความรู้สึกผิดนี้ไม่ได้ทำให้อคติหายไป ยิ่งคิดถึงอวี้จิ่นและเจียงซื่อเท่าไร นางก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่นางทุ่มเทลงแรงยังไม่บรรลุเป้าหมาย ฉะนั้นการจะให้นางรู้สึกพอใจคงเป็นไปไม่ได้
ในขณะที่ความโกรธกำลังพลุ่งพล่าน ศีรษะของนางก็ปวดระบมประหนึ่งมีใครเอาเหล็กปลายแหลมมาทิ่ม
ความเจ็บปวดเกิดขึ้นในชั่วพริบตาและหายไปในชั่วพริบตาดุจกัน แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้หน้าผากของเสียนเฟยมีเหงื่อไหลซึมจนเปียกชุ่ม และใบหน้าของนางก็ขาวซีด
“เหนียงเหนียง ปวดพระเศียรอีกแล้วหรือเพคะ” หมัวมัวคนสนิทลุกลี้ลุกลน
เหนียงเหนียงมิได้เป็นสาวสะพรั่งอีกแล้ว หากทรงเป็นอะไรไป พวกนางที่คอยปรนนิบัติรับใช้ก็คงสิ้นท่าไม่ต่างกัน
เสียนเฟยยกมือขึ้นปรามนางในที่กำลังใช้ผ้าซับเหงื่อที่หน้าผากของนางพลางสั่ง “ไปแจ้งว่าข้าป่วย และให้เชิญฝ่าบาทมาที่นี่”
หมัวมัวคนสนิทลังเลชั่วครู่
“ไปซิ”
“เพคะ”
ในตอนนี้ยังไม่พ้นช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ อารมณ์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ยังคงเปี่ยมสุขทุกเช้าค่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออวี้จิ่นเพิ่งจะพาตงผิงปั๋วซื่อจื่อกลับมาอย่างปลอดภัย การที่คนหัวหงอกไม่ต้องส่งศพคนหัวดำทำให้เขารู้สึกสบายใจยิ่งนัก จิ่งหมิงฮ่องเต้ในตอนนี้กำลังนั่งเอนกายอ่านบทละครพื้นบ้านอยู่บนตั่งเตียงอย่างสุขารมณ์
พานไห่เดินเข้ามา “ฝ่าบาท ตำหนักอวี้เฉวียนส่งคนมาเชิญให้พระองค์เสด็จไปที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้วางตำราลงข้างตัวก่อนจะหันไปหาพานไห่
พานไห่ค้อมหลังพลางกล่าว “พระวรกายของเสียนเฟยทรงไม่สู้ดีพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขยับเปลือกตา “แล้วตามหมอหลวงมาดูอาการหรือยัง”
พานไห่ก้มหน้า “คนที่มาเชิญไม่ได้แจ้งไว้พ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วของจิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดมุ่น
ก็ถ้าป่วยก็ตามหมอหลวงมาซิ จะเรียกให้เขาไปดูทำไม
แต่ถึงอย่างนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เข้าใจหัวอกของเหล่านางสนม เขาจึงอดทนกับการเรียกร้องของพวกนาง จิ่งหมิงฮ่องเต้ลงจากตั่งพลางกล่าวเนิบนาบ “ไปที่ตำหนักอวี้เฉวียน”
แม้ว่าจะรบกวนเวลาอ่านบทละครพื้นบ้านของเขา แต่ถึงอย่างไรเสียนเฟยก็เป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่กับเขามานาน ฉะนั้นควรไปดูอาการของนางเสียหน่อย
เมื่อเสียนเฟยได้ยินว่าฮ่องเต้เสด็จมาถึงแล้ว นางก็รีบออกไปต้อนรับ
“เจ้าไม่สบายไม่ใช่หรือ ออกมาตากลมข้างนอกทำไม ทำไมไม่พักอยู่ข้างในเล่า” จิ่งหมิงฮ่องเต้สำรวจสตรีตรงหน้า สีหน้าของนางขาวซีดราวกับแผ่นกระดาษ ผมของนางเปียกชื้น จึงแทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายแกล้งป่วยหรือไม่ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจึงอ่อนโยนกว่าปกติ
เสียนเฟยคลี่ยิ้มด้วยอาการอิดโรยก่อนจะเดินตามจิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าไปด้านใน “คงเป็นโรคเก่าเพคะ ยามปวดศีรษะก็ทุรนทุรายแทบขาดใจ ความจริงหม่อมฉันไม่อยากรบกวนฝ่าบาท เพียงแต่…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เสียนเฟยก็หยุดชะงัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งลงบนตั่งพลางส่งสัญญาณให้เสียนเฟยนั่งลงข้างๆ ก่อนจะถาม “ทำไมรึ”
เสียนเฟยนั่งลง นางก้มหน้าเผยให้เห็นคอเรียว พร้อมกับเหนื่อยล้าอ่อนแรง
น้ำเสียงแผ่วเบาที่เปล่งออกมาเจือไปด้วยความตัดพ้อ “วันนี้ตอนที่หม่อมฉันดูตัวเองในคันฉ่องเห็นว่ามีผมสีขาวผุดขึ้นมาไม่น้อย หม่อมฉันคงแก่ลงมากแล้วเพคะ โรคภัยถึงได้มาเยือนไม่เว้นวัน ไม่รู้ว่าวันสุดท้ายจะมาถึงเมื่อไหร่จึงอยากดูพระพักตร์ฝ่าบาทให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพคะ”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้คล้ำลง “ปีใหม่ทั้งที อย่าพูดอะไรไม่เป็นมงคลเช่นนั้นเลย”
เสียนเฟยคลี่ยิ้มจางภายใต้ใบหน้าไร้สี “แค่ลางสังหรณ์ของหม่อมฉันเท่านั้นเพคะ”
แม้เสียนเฟยจะมีใบหน้าที่งดงาม และไม่ได้ปล่อยตัวให้แก่ตามวัย แต่ถึงกระนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ดูออกว่าสตรีตรงหน้าแก่ตัวลงไปมากทีเดียว
เสียนเฟยอยู่กับฮ่องเต้มาตั้งแต่ฮองเฮาองค์ก่อนยังอยู่ แต่เมื่อเห็นเสียนเฟยแก่ตัวลงเช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงรู้สึกยังไม่ชิน
ความรู้สึกนี้ทำให้น้ำเสียงของจิ่งหมิงฮ่องเต้อ่อนโยนกว่าที่เป็นอยู่ “เจ้ารักษาตัวให้ดี หากหมอหลวงที่มีรักษาไม่ได้ ก็เปลี่ยนหมอใหม่ อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยจะดีกว่า”
มือสั่นๆ ของเสียนเฟยส่งถ้วยชาให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ พร้อมเอ่ยแผ่วเบา “หม่อมฉันมิได้กลัวว่าตัวเองจะแก่ลง แค่อยากพบพระพักตร์ฝ่าบาทและลูกๆ เท่านั้นเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตอบรับ “เจ้าสี่ก็มาหาเจ้าอยู่บ่อยๆ มิใช่รึ”
เสียนเฟยเงียบงันชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยพึมพำ “เจ้าสี่เป็นเด็กกตัญญู แต่พอคิดถึงเจ้าเจ็ดแล้วก็ปวดอุราเพคะ เจ้าเจ็ดถูกส่งไปอยู่นอกวังตั้งแต่ยังเล็ก หม่อมฉันผู้เป็นมารดาอยากจะเห็นหน้าก็ไม่มีโอกาส กว่าจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้า แต่กลายเป็นว่าดูเหมือนชะตาของหม่อมฉันและลูกจะแยกกันไปคนละทิศคนละทางเพคะ…”
น้ำเสียงของจิ่งหมิงฮ่องเต้หม่นลงเล็กน้อย “เจ้าเจ็ดยังไม่มาที่ตำหนักอวี้เฉวียนอีกหรือ”
เสียนเฟยพยักหน้าเนิบช้า “วันนี้หม่อมฉันไปน้อมทักที่พระตำหนักคุนหนิงถึงได้ทราบว่าเจ้าเจ็ดกลับมาแล้วเพคะ หม่อมฉันที่เป็นหมู่เฟยของเขาแท้ๆ รู้สึกน้อยใจเหลือเกินเพคะ…”
ในเมื่อนางไม่หวังในตัวเจ้าเจ็ดอยู่แล้ว สู้นางกดเขาให้จมดินไปเลยยังดีเสียกว่า เขาจะได้ไม่คอยถ่วงความเจริญของเจ้าสี่
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฉุนขึ้นมาทันใด “ไอ้ลูกตัวดี มันชักจะเกินไปแล้ว!”
ในเมื่อไปเข้าเฝ้าเขาและฮองเฮาได้ การจะมาเยี่ยมที่ตำหนักอวี้เฉวียนก็ไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง แต่เหตุใดถึงไม่รู้กาลเทศะถึงเพียงนี้
“อ้ายเฟยอย่าได้โมโหไปเลย ไว้ข้าจะเรียกเขามาตักเตือนให้เอง”
อย่างไรเสีย หมู่นี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว เรียกลูกมาด่าจะได้ไม่เบื่อ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ออกมาจากตำหนักอวี้เฉวียนแล้วจึงสั่งพานไห่ให้เรียกเยี่ยนอ๋องมาเข้าเฝ้า แต่กลายเป็นว่าเยี่ยนอ๋องกลับมาขอเข้าเฝ้าเสียก่อน
“ให้เขาเข้ามา”
ไม่นานอวี้จิ่นก็มายืนอยู่ในตำหนักหย่างซินพร้อมถวายความเคารพจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยท่าทีนอบน้อม
จิ่งหมิงฮ่องเต้จดจ้องโอรสด้วยใบหน้าบึ้งตึง “เข้าวังมาแต่เช้ามีเรื่องอะไร”
รอให้ไอ้ลูกตัวดีพูดธุระให้เสร็จก่อน แล้วค่อยต่อว่าเรื่องที่ไม่เห็นหัวมารดาของตัวเอง
อวี้จิ่นเอ่ยตอบ “ที่ลูกเข้าวังมีสองเรื่องพ่ะย่ะค่ะ เรื่องแรก ลูกตั้งใจมาเยี่ยมเสียนเฟยเหนียงเหนียง ส่วนอีกเรื่อง…”
“เดี๋ยว เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ”