ตอนที่ 190-2 ฉีกหน้ากากแม่เลี้ยงสาว

สวินหลันลุกขึ้นเอ่ยว่า “ท่านพ่อท่านแม่ของเสี่ยวเวยเป็นหมอเทวดา ราชสีห์ไม่คลอดบุตรเป็นสุนัข วิชาการแพทย์ของนางจะต้องเหนือกว่าท่านหมอหลูเป็นแน่ โจวมามาเจ้าอย่าทำให้วุ่นวายอีกเลย หากไปรบกวนการพักผ่อนของเหล่าฮูหยินเข้าจะยิ่งไม่ได้การ” พูดจบนางก็หันไปเอ่ยกับเหล่าฮูหยินว่า “ท่านแม่ ท่านพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ ข้าอยู่ห้องข้างๆ มีอะไรท่านเรียกข้าได้เลย”

จีเหล่าฮูหยินทำหน้าดุ “จะได้ได้อย่างไร ช่วงนี้เจ้าทั้งต้องดูแลหลิวเกอร์ ทั้งต้องดูแลซั่งชิง เดิมทีก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ นะ?”

สวินหลัน “ท่านแม่”

จีเหล่าฮูหยินตบมือสวินหลันเบาๆ “ไปเถอะๆ ข้ารู้ว่าเจ้ากตัญญู แต่ที่ข้านี่ไม่มีอะไรแล้ว”

สวินหลันเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าก็ยังไม่วางใจอยู่ดี”

เฉียวเวย: เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าบอกว่าข้าจะอยู่ดูแลเหล่าฮูหยินที่นี่เองหรอกหรือ ข้าไม่พูดหรอกนะ! ไม่พูด!

“เช่นนั้นข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” สวินหลันกำผ้าเช็ดหน้าแน่นขณะจะเดินออกไป ในขณะที่ใกล้จะถึงหน้าประตูนั้นเอง จู่ๆ ฝีเท้านางก็ชะงัก ตัวไหวเอนแล้วเป็นลมไป…

เฉียวเวยอยากจะด่าหยาบนัก!

“เหล่าฮูหยิน!” ตงเหมยเลิกผ้าม่านเดินเข้ามา “นายท่านเฉียวมาเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยอึ้งไป “ท่านพ่อข้า?”

ตงเหมยพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ นายท่านเฉียวบอกว่า เขาได้ยินว่าโรคหอบหืดของนายท่านกำเริบ เลยตั้งใจเอายามาส่งให้นายท่าน เดิมทีควรจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวาน แต่ก็จนใจด้วยระว่างทางพบกับสตรีคลอดยากคนหนึ่ง จึงเสียเวลาไปพักใหญ่เจ้าค่ะ”

“ชิ่นจยา[1]มีน้ำใจแล้ว” จีซั่งชิงไม่เป็นอะไรมากแล้ว แต่เหล่าฮูหยินเห็นลูกสะใภ้นอนสลบไม่ได้สติอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย สายตาก็พลันสั่นไหว “รีบไปเชิญนายท่านฉินเข้ามาเร็ว!”

ฝีมือการแพทย์ของเฉียวเจิงเหนือกว่าเฉียวเวย เมื่อมีเขามาตรวจให้ ก็แทบไม่มีอะไรให้เฉียวเวยต้องทำอีก เฉียวเวยนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง คอยเป็นลูกมือให้บิดา

เขาตรวจชีพจรให้สวินหลันแล้วขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด

จีเหล่าฮูหยินถามด้วยความร้อนใจว่า “นายท่านเฉียว ลูกสะใภ้ข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

เฉียวเจิงขมวดคิ้ว “หากดูจากชีพจรก็คล้ายจะไม่เป็นอะไรมาก…”

ตาโจวมามามีประกายแวบผ่าน “แต่ฮูหยินของข้าเพิ่งเป็นลมไปนะเจ้าคะ! นี่ นี่จะต้องป่วยเป็นอะไรหนักแน่กระมัง”

หรงมามากลับบอกว่า “บางที…อาจจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปกระมัง”

เฉียวเวย: ใช่สิ เหนื่อยมากเชียวล่ะ เหนื่อยคิดว่าจะเล่นงานข้าอย่างไรน่ะสิ!

จีเหล่าฮูหยินพยักหน้า ช่วงนี้ลูกสะใภ้เหน็ดเหนื่อยมากจริงๆ เรื่องในจวน เรื่องในเรือนถง เรื่องเล็กเรื่องน้อยต้องให้นางจัดการทั้งสิ้น หลิวเกอร์ป่วยอยู่นาน เพิ่งดีได้ไม่กี่วันอาการหอบหือดของซั่งชิงก็กำเริบขึ้นมาอีก…แล้วจะไม่ให้นางเอ็นดูสวินหลันได้อย่างไร มีสตรีสักกี่คนที่จะเก่งรอบด้านเช่นนาง ทั้งยังนิสัยดีเพียงนี้อีก

โจวมามายังไม่ยอมถอย “ฮูหยินของข้าสุขภาพแข็งแรงดี มาเป็นลมไปโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ คิดแล้วคงไม่ใช่แค่เหน็ดเหนื่อยจนเกินไปธรรมดาหรอกกระมัง” คิดจะไล่ฮูหยินของข้ากลับไปเร็วๆ เช่นนี้หรือ หึหึ ฝันไปเถอะ!

เฉียวเจิงจึงบอกว่า “ใช่แล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงแม้จะปวดใจนัก แต่ก็ต้องบอกว่าจีฮูหยินเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา”

เฉียวเวยพลันโงนเงนจนเกือบล้มลง!

พ่อ ท่านพ่อ ท่านเบามือหน่อย!

ทุกคนมองเฉียวเจิงจนตาโตอ้าปากค้าง

โจวมามาสงสัยว่าตนเองจะฟังผิดไป “ท่านว่าอะไรนะ”

จีเหล่าฮูหยินถามว่า “ชิ่นจยา เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ ลูกสะใภ้ข้า นาง…”

เฉียวเจิงตบเข่าพลางทอดถอนใจ “เหล่าฮูหยิน นางเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา โรคที่ไม่มีทางรักษาน่ะ”

มุมปากโจวมามาพลันกระตุก “นายท่านเฉียว ท่านคงตรวจผิดแล้วกระมัง ฮูหยินของข้าร่างกายแข็งแรงดีมาตลอด จะเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้อย่างไร”

เฉียวเจิงหันไปมองโจวมามาด้วยความแปลกใจ “เจ้าไม่ได้บอกว่านางเป็นลมไปอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุหรือ”

“ข้าพูดเช่นนั้นก็จริง เพียงแต่…” แต่ท่านจะมาบอกว่าฮูหยินของข้าป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาไม่ได้! นี่ท่านกำลังสาบแช่งให้ฮูหยินของข้าตายงั้นหรือ

เฉียวเจิงถามว่า “ข้าต้องถามเจ้าว่า ช่วงนี้ฮูหยินของเจ้ามีอาการเข้าห้องน้ำบ่อย อาเจียน เหงื่อยออกตอนนอน ถ่มน้ำลายเป็นฟองบ้างหรือไม่”

โจวมามาตอบด้วยความมั่นใจว่า “ไม่มีแน่นอน!”

เฉียวเจิงพยักหน้า “ไม่มีก็ใช่เลย”

โจวมามาตกใจ “หา?”

เฉียวเจิงพูดต่อไปว่า “โรคร้ายเข้าสู่ร่างกาย ไปทำลายที่สมอง ทำให้จิตใจเสียหาย ทำร้ายอวัยวะทั้งห้า ฟังดูหนักหนายิ่งนัก แต่อันที่จริงช่วงแรกสามารถขับออกได้ทางธุระเบา เลือด ของเหลวของร่างกาย เหงื่อตอนกลางคืน หากนางไม่ได้ขับออกเช่นนั้นก็เป็นการพิสูจน์ว่าการตรวจของข้าไม่ได้ผิดพลาด เชื้อร้ายยังคงแล่นพล่านอยู่ในตัวนาง”

โจวมามาถึงกับพูดต่อไม่ออก

เฉียวเจิงจึงพูดต่อว่า “ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง ฮูหยินของเจ้าช่วงนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง ปกติดีหรือไม่ปกติ”

โจวมามาจึงบอกว่า “ปกติดี”

“ปกติดีก็ใช่เลย” เฉียวเจิงบอก

โจวมามา “?!”

เฉียวเจิงอธิบายว่า “นี่เป็นโรคที่ทำลายสภาพจิตใจ คนทั่วไปหากเป็นโรคนี้มักจะเกรี้ยวกราดเป็นพิเศษ หากนางไม่มีปัญหาในเรื่องนี้…ก็อธิบายได้ว่าร่างกายของนางไม่เหมือนคนอื่น ยาทั่วไปไม่มีผลใดๆ ต่อร่างกายนาง”

จีเหล่าฮูหยินถามด้วยความกลัว “นางเป็นโรคอะไรกันแน่”

เฉียวเจิงทำหน้าจริงจัง “โรคสมองกระทบกระเทือน”

เป็นโรคทางสมองหรือนี่ พระเจ้า นางยังมีชีวิตอยู่ต่อได้หรือไม่นี่ อายุเพิ่งเท่านี้ก็ป่วยเป็นโรคร้ายแรงเพียงนี้แล้ว จะทำอย่างไรดี จีเหล่าฮูหยินถามด้วยสีหน้าซีดขาว “ต้อง ต้องรักษาอย่างไร เมื่อครู่ท่านบอกว่ายาทั่วไปไม่มีประโยชน์ เช่นนั้นต้องเป็นยาอะไรถึงจะใช้ได้เล่า”

เฉียวเจิงส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียดเหลือประมาณ “ร่างกายนางไม่เหมือนคนทั่วไป ยาอะไรก็ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น”

จีเหล่าฮูหยินนวดหน้าอกตนเอง “เช่นนั้นต้องทำอย่างไร นางจะไม่รอดแล้วหรือ”

เฉียวเจิงเหลือบมองสวินหลันที่เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมลืมตาแล้วถอนหายใจยาวเหยียด “ท่านดูสิพอนางสลบไปก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย หากอยากจะช่วยนางก็เหลือเพียงวิธีเดียวแล้ว”

“วิธีอะไรหรือ”

“เปิดสมอง”

สวินหลันพลันลืมตา “ข้าฟื้นแล้ว”

จีเหล่าฮูหยินจับมือนางไว้ด้วยความยินดี “ฟื้นก็ดีแล้ว ฟื้นก็ดีแล้ว!” นางหันไปหาเฉียวเจิง “ชิ่นจยา ลูกสะใภ้ข้าฟื้นแล้ว ไม่ต้องเปิดสมองแล้วใช่หรือไม่”

เฉียวเจิงลูบคางใช้ความคิด “นี่คงต้องดู ‘ความแข็งแรง’ ของนางหลังจากนี้ ว่าดึกดื่นค่ำคืนจะเป็นลมไปอีกหรือไม่ เดี๋ยวนายท่านจีป่วย เดี๋ยวเหล่าฮูหยินป่วยจนทำให้นางต้องเหน็ดเหนื่อยตอนกลางคืนติดต่อกันหลายวันหรือไม่”

จีเหล่าฮูหยินจึงกระซิบบอกว่า “หลันเอ๋อร์เอ๋ย ได้ยินหรือไม่ ที่เจ้าป่วยเพราะเหนื่อยเกินไป ต่อไปห้ามเอาร่างกายของตัวเองมาล้อเล่นอีกแล้วนะ! ที่ข้านี่ตอนกลางคืนเจ้าก็ไม่ต้องมาแล้ว เรื่องในจวนมีเยอะเกินไป สำคัญคือเจ้าดูแลซั่งชิงกับหลิวเกอร์ให้ดีก็พอ เรื่องข้างนอกให้เสี่ยวเวยช่วยดูก็แล้วกัน ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วนางต้องรับช่วงต่ออยู่แล้ว ตอนนี้ให้นางฝึกไปก่อนก็ได้”

นี่ไม่เท่ากับแย่งอำนาจในบ้านของฮูหยินไปหรอกหรือ โจวมามาเริ่มร้อนรนขึ้นมาแล้ว

ในใจเหล่าฮูหยินจะมีเรื่องแย่งไม่แย่งอำนาจกันได้อย่างไร ในสายตานาง เดิมทีบ้านตระกูลจีเป็นของสองสามีภรรยาหมิงซิวอยู่แล้ว เรื่องใหญ่เรื่องเล็กอะไรควรให้สองคนนี้เป็นคนจัดการถึงจะถูก สวินหลันช่วยจัดการตระกูลจีมาตั้งนานเพียงนั้น ยอมอดทนเป็นวัวเป็นม้า ก็ถึงเวลาควรได้พักผ่อนแล้ว แน่นอนว่าเสี่ยวเวยเพิ่งเข้ามาอยู่ตระกูลจีได้ไม่นาน จะรับทั้งหมดไปเลยคงจะลำบากนางไปหน่อย ให้จัดการส่วนนี้ก่อนก็แล้วกัน

สวินหลันยังจะพูดอะไรได้อีก

ดูแลจัดการตระกูลกับเปิดสมอง ใครจะเลือกอย่างหลังกันบ้าง

นี่หากเปลี่ยนเป็นหมอคนอื่น จีเหล่าฮูหยินอาจจะคิดว่าอีกฝ่ายพูดไปเรื่อยเปื่อย แต่ฝีมือการแพทย์และนิสัยของท่านปั๋วเฉียว ใครจะไปสงสัยเขากัน นี่เขาเป็นคนใจงามที่ต่อให้เจอขอทานป่วยตามข้างทางก็ยังเข้าไปช่วยเหลืออย่างไม่ลังเลเชียวนะ

อันที่จริงก็แค่หลงใหลในการรักษา เฉียวเวยคิดในใจ

ก็เหมือนอย่างที่ไม่มีใครสงสัยในตัวสวินหลัน นี่ก็ไม่มีใครสงสัยให้จรรยาบรรณความเป็นหมอของเฉียวเจิงเช่นกัน ถึงแม้ตัวจริงของทั้งสองจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม

สวินหลันค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งโดยมีโจวมามาคอยประคอง นางหันไปค้อมกายให้เหล่าฮูหยิน “เดิมทีลูกคิดจะให้เสี่ยวเวยคุ้นเคยกับที่นี่กว่านี้แล้วค่อยส่งต่อเรื่องในบ้านให้นางดูแล แต่ตอนนี้สุขภาพตัวข้าไม่สู้ดี จึงต้องลำบากเสี่ยวเวยแล้ว”

เฉียวเวยระบายยิ้ม “ไม่ลำบาก วันหน้าหากมีตรงใดที่ข้าไม่เข้าใจ ก็ขอฮูหยินอย่าได้รังเกียจที่จะชี้แนะ”

สวินหลันยกโค้งมุมปากเล็กน้อย รอยยิ้มดูฝืนๆ “สมควรแล้ว คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาเหมือนเป็นอื่น”

จีเหล่าฮูหยินเห็นแม่สามีลูกสะใภ้ปรองดองกันก็ดีใจยิ่งนัก นางจับมือทั้งสองมาวางซ้อนกัน “พวกเจ้าแม่สามีลูกสะใภ้เข้ากันได้ดีเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว!”

จันทร์กระจ่างลอยอยู่เหนือยอดไม้

พอออกจากเรือนลั่วเหมย เฉียวเวยก็เอาใบยาที่เฉียวเจิงเขียนให้ยื่นไปให้สวินหลัน “นี่เป็นใบยาที่ท่านพ่อข้าเขียนไว้สำหรับโรคสมองกระทบกระเทือนของฮูหยิน ฮูหยินไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไปนัก อันที่จริงโรคพวกนี้ท่านพ่อข้าพบเจออยู่บ่อยๆ แต่เดิมเรียกว่าสมองเสื่อม สูตรยาน่ะนะ แก้ที่ปลายเหตุไม่ใช่ต้นเหตุ ขอเพียงไม่ทำเรื่องไร้ศีลธรรม โรคสมองเสื่อมก็สามารถหายเองได้”

สีหน้าที่สมบูรณ์แบบของสวินหลันพลันแข็งค้าง แต่กระนั้นก็เป็นเพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น ไม่นานนางก็กลับมายิ้มสบายๆ ได้อีก “ขอบคุณลูกสะใภ้ที่เป็นห่วง”

เฉียวเวยยิ้ม “ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินก็เป็นแม่สามีของข้า ข้ากตัญญูต่อแม่สามีถือเป็นเรื่องสมควร ยิ่งไปกว่านั้นแม่สามีดีกับข้าเพียงนี้ ข้าไม่ตอบแทนอย่างเต็มที่จะได้อย่างไร เมื่อครู่ท่านพ่อข้ายังบอกอีกว่า จีเหล่าฮูหยินกับฮูหยินปฏิบัติต่อข้าราวกับลูกในไส้ เขาดีใจมาก และซาบซึ้งมาก ทั้งยังกำชับข้าว่า วันหน้าหากมีใครปวดหัวตัวร้อนอะไรอีก สามารถไปเรียกเขามาได้เลย วิชาแพทย์ครึ่งๆ กลางๆ อย่างข้า อย่าได้เอาออกมาให้ขายหน้าใครจะดีกว่า”

สีหน้าสวินหลันยังคงสมบูรณ์แบบจนหาจุดโจมตีไม่ได้ แต่เฉียวเวยสังเกตเห็นว่าผ้าเช็ดหน้านางบิดจนเป็นก้อนไปแล้ว

นางเอ่ยเสียงอ่อนนุ่มว่า “ช่างล้อเล่นเก่งเหลือเกิน ลูกสะใภ้ เจ้าเป็นหมอเทวดาที่รักษาหายกระทั่งไท่จื่อและเหล่าฮูหยิน จะมาบอกว่าครึ่งๆ กลางๆ ได้อย่างไร วันหน้าเกรงว่ายังต้องรบกวนเจ้าอีกมากถึงจะถูก”

ยังคิดจะลากตัวนางมากลางค่ำกลางคืนอีกหรือ ฝันไปเถอะ!

เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ท่านพ่อข้ายังบอกว่า การรักษาคนป่วยเป็นหมออะไรก็ได้ แต่คนที่จะเป็นภรรยาของหมิงซิวต้องเป็นข้าเท่านั้น ข้าเป็นภรรยาของเขา ควรทำหน้าที่ของภรรยาให้เต็มที่ ข้าทิ้งสามีออกมาตรวจโรคให้ผู้อื่นดึกๆ ดื่นๆ บ่อยครั้ง อันที่จริงก็ไม่ถูกนัก เรื่องเร่งด่วนที่ข้าต้องทำในเวลานี้คือต้องรีบมีหลานน่ารักๆ ให้แม่สามีเพิ่ม แม่สามีจะได้มีหลานไว้หยอกล้อ มีหลานให้เลี้ยงดูยามชรา จะได้ไม่เสียชื่อว่าเป็นลูกสะใภ้ที่ดี”

สวินหลันเอ่ยว่า “เจ้าคลอดบุตรชายบุตรสาวให้ตระกูลจี ยากลำบากยิ่งนัก ซึ่งก็ดีมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนมีบุตรอีก การตั้งครรภ์เป็นเรื่องลำบากยิ่งนัก ปรับสมดุลร่างกายให้ดีก่อนแล้วค่อยมีอีกสักคนก็ยังไม่สาย”

เฉียวเวย “ตกใจที่ได้รับความเอ็นดู” นางเอ่ยว่า “แม่สามีเข้าใจข้าเพียงนี้ ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนะ ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทน จึงยิ่งอยากคลอดหลานหลายๆ คนมาให้กตัญญูกับแม่สามี”

นิ้วที่บิดผ้าเช็ดหน้าอยู่ของสวินหลันเริ่มซีดขาว

เฉียวเวยพูดต่อว่า “ท่านพ่อข้าเปิดหอหลิงจือแห่งใหม่ขึ้นใกล้ๆ นี้ ต่อไปหากเจ้านายตระกูลจีป่วยเป็นอะไร ให้เขามาช่วยดูให้ก็แล้วกัน คนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น แม่สามีคงไม่ยินดีจะช่วยดูแลกิจการของพ่อข้ากระมัง”

สวินหลันจิกนิ้วแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “ฝากขอบคุณท่านพ่อเจ้าแทนข้าด้วย”

เฉียวเวยระบายยิ้มแล้วโค้งกายทำความเคารพ “ฮูหยินค่อยๆ เดิน”

สวินหลันพาโจวมามาเดินออกไป พวกนางเดินกันไปไกลแล้ว แต่โจวมามายังหันมาถลึงตาดุดันใส่เฉียวเวย ถลึงตาโตจนลูกตาทั้งสองข้างแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว!

เฉียวเวยคร้านจะสนใจนาง เดินยิ้มไปหลังต้นไม้ เกาะแขนเฉียวเจิงไว้ อย่างไรบิดาแท้ๆ ก็ดีที่สุด รักนางที่สุด “ท่านพ่อ ท่านไม่ได้มาส่งยาให้พ่อสามีข้าจริงๆ กระมัง”

เฉียวเจิงตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า “ย่อมไม่ใช่ ข้าเดินมาถึงปากประตูถึงได้ยินว่าเขาอาการหอบหืดกำเริบ”

ข้ารู้อยู่แล้วเชียว! ท่านพ่อข้าฉลาดและกล้าหาญที่สุดเลย! เขาบุกมาถึงตระกูลจีตัวคนเดียวเพื่อลูกสาว ซ้ำยังทำกระทั่งโกหกพกลมอีก!

ในใจเฉียวเวยรู้สึกหวานล้ำ กอดแขนบิดาไว้อย่างนั้นไม่อยากปล่อย “ปี้เอ๋อร์กลับไปขอให้ท่านปรุงยาห้าทิวาสราญให้ ท่านเลยเดาได้ว่ามีคนในจวนจะทำร้ายข้า ถึงได้ตั้งใจมากช่วยแก้สถานการณ์ให้ข้าใช่หรือไม่”

เฉียวเจิงขมวดคิ้ว “ไม่ใช่เสียหน่อย หมิงซิวบอกข้าว่ามีข่าวของท่านแม่เจ้าแล้ว ข้าเลยจะมาถามดูว่าเป็นข่าวอะไร”

เฉียวเวย “…”

นางเป็นแค่ตัวแถมจริงๆ ด้วย! ตัวแถม! ตัวแถม!

[1]ชิ่นจยา คือ คำที่ใช้เรียกพ่อแม่ของลูกเขยหรือลูกสะใภ้