เล่ม-1 ตอนที่ 191-1 เสี่ยวไป๋ผู้องอาจ ชักน้ำไปทิศตะวันออก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 191-1 เสี่ยวไป๋ผู้องอาจ ชักน้ำไปทิศตะวันออก

วันต่อมาเฉียวเวยตื่นแต่เช้าตรู่ นางแต่งกายอย่างดงามแล้วมุ่งหน้าไปยังเรือนถง อย่างไรเสียนางก็อายุน้อย ผิวพรรณดี ไม่จำเป็นต้องผัดแป้ง ผิวก็เนียนนุ่มราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้

ในสายตาของเฉียวเวย สวินหลันเป็นสตรีผู้งามที่สุดในตระกูลจี แต่ในสายตาผู้อื่นไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น

สวินหลันงามก็งามอยู่ แต่รู้สึกจับต้องมิได้สักเท่าใด ความงามของนางดั่งเมฆหมอกเหนือบรรพตไกลลิบตา ละม้ายคล้ายเงาจันทร์สว่างสะท้อนบนผิวบึงราบเรียบ มองเห็นแต่จับต้องมิได้และอาจเอื้อมมิถึง

เฉียวเวยต่างหากที่เป็นดั่งเปลวโคมสลัว ยามเหลียวกลับมาแย้มรอยยิ้ม สว่างไสวตราตรึงงามเลิศในโลกหล้า

เฉียวเวยเดินเข้ามาในโถงชา จีซั่งชิงพาบุตรชายไปฝึกกระบี่จึงไม่อยู่ในเรือน สวินหลันนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ปูด้วยหนังเพียงพอน นางกำลังถือถ้วยรังนกเชื่อมขึ้นมาตักกินทีละคำเล็กๆ

สาวใช้นำเฉียวเวยเข้ามาด้านใน

เฉียวเวยมองปราดแรกก็เห็นเบาะหนังเพียงพอนใต้ก้นของนาง มันทำมาจากหนังเพียงพอนทั้งผืน มองเห็นหัวเพียงพอน หางเพียงพอน เล็บเพียงพอนชัดเจน

เฉียวเวยเคยใช้หนังเสือ หนังกวาง หนังหมี หนังหมาป่า แต่ไม่เคยใช้หนังเพียงพอน นางไม่ล่าเพียงพอนง่ายๆ เพราะนางมักจะรู้สึกว่าพวกมันคล้ายเสี่ยวไป๋ของครอบครัวนาง

“หนังผืนนี้ของฮูหยินเพิ่งซื้อมาใหม่หรือเจ้าคะ” นางถาม

สวินหลันยิ้มอย่างอ่อนโยน “งามหรือไม่”

เฉียวเวยยิ้มตอบ “งามดีเจ้าค่ะ”

งามดีกับผีน่ะสิ!

สวินหลันส่งรังนกให้โจวมามาที่อยู่ด้านข้าง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดปากเบาๆ ท่วงท่าสง่างามอย่างที่สุด ราวกับมีกลิ่นอายความเป็นกุลสตรีจางๆ แผ่ออกมา

“วันนี้ดูเหมือนจะมาเช้ากว่าปกติเล็กน้อยนะ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เฉียวเวยเองก็ตอบอย่างอ่อนโยน “นับแต่วันนี้ต้องช่วยฮูหยินดูแลตระกูล ลูกสะใภ้มิกล้าโอ้เอ้”

แววตาของโจวมามาเย็นยะเยือกขึ้นในพริบตา

สีหน้าของสวินหลันไม่เผยความผิดปกติแม้แต่น้อย มุมปากประดับรอยยิ้มงดงามสมบูรณ์แบบ มิมากมิน้อย “ดูความจำของข้าสิ เกือบจะลืมเสียแล้ว เมื่อคืนวานข้ายังจำได้อยู่เลยว่าจะจัดสรรงานบางอย่างให้เจ้าทำ ต้องขอบคุณเจ้าที่พูดขึ้นมา”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ ไม่อยากให้ก็บอกตรงๆ เลยสิ พร่ำรำพันอันใด

สวินหลันสั่งเสียงเบา “โจวมามา ไปหยิบสมุดบัญชีมา ข้าจะดูซิว่ายังมีงานใดของเดือนนี้ที่ยังไม่ได้จัดการ”

“เจ้าค่ะ” โจวมามาถลึงตาใส่เฉียวเวย จมูกเชิดจนจะขึ้นไปอยู่ฟ้า จากนั้นไม่นานนางก็หอบสมุดบัญชีตั้งหนึ่งกลับเข้ามา

เฉียวเวยสังเกตเห็นทันทีว่าสมุดบัญชีของสวินหลันจัดเก็บเรียบร้อยเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีมุมกระดาษหงิกงอสักมุม

สวินหลันหยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วบอกกับเฉียวเวยว่า “เจ้านั่งลงเถิด”

เฉียวเวยนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ สาวใช้ยกน้ำชามา เฉียวเวยกล้าดื่มน้ำชาของนางเสียที่ไหน เกิดในนั้นมียาห้าทิวาสราญ ยาเจ็ดทิวาสราญอะไรอีก นางไม่สุขสราญจนลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นหรือ

สวินหลันเปิดสมุดบัญชีอ่านเงียบๆ เหมือนไม่สนใจว่าเฉียวเวยจะดื่มชาหรือไม่ “งานของเดือนนี้จัดการเสร็จไปพอประมาณแล้ว เหลือแต่ที่นาผืนหนึ่งในเมืองหลิ่วที่ยังไม่ส่งค่าเช่าที่นาของปีนี้มา อีกสองวันเจ้าก็ออกนอกบ้านได้แล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไร ยินดีจะไปเก็บค่าเช่าที่นาในเมืองหลิ่วหรือไม่”

“เมืองหลิ่วอยู่ที่ใด” เฉียวเวยถาม

โจวมามาประหลาดใจ “ฮูหยินน้อยเป็นคนเมืองหลวง แต่กลับมิเคยได้ยินชื่อเมืองหลิ่วหรือเจ้าคะ”

เฉียวเวยตอบอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้า “บ้านท่านยายของข้าก็มีเมืองหลิ่วอยู่แห่งหนึ่ง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกท่านพูดถึงเมืองแห่งใด”

โจวมามารู้แก่ใจว่ามารดาของเฉียวเวยเป็นคนเตียนตู นางไม่เคยไปเตียนตูมาก่อนย่อมไม่ทราบว่าเตียนตูมีเมืองหลิ่วหรือไม่ นางจึงเชื่อคำพูดของเฉียวเวย ตอบว่า “ใกล้เมืองหลวงมีเมืองเล็กแห่งหนึ่ง ตระกูลจีบังเอิญมีที่นาอยู่ที่นั่นพอดี”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ห่างจากเมืองซีหนิวไกลหรือไม่”

โจวมามาตอบด้วยสีหน้าดูแคลน “ฮูหยินน้อยไม่รู้จักเมืองหลิ่วของที่นี่หรือ”

เฉียวเวยยิ้มจางๆ “เคยได้ยินมา แต่ไม่เคยไป แม้พวกเราตระกูลเฉียวจะไม่นับเป็นตระกูลใหญ่อันใด แต่ก็มีกฎเกณฑ์ของตนเองอยู่บ้าง”

สวินหลันตอบว่า “เมืองซีหนิวอยู่ทางใต้ เมืองหลิ่วอยู่ทางเหนือ คนละทิศกัน”

ถ้าเช่นนั้นก็ต้องออกไปทางประตูเมืองทิศเหนือ นางยังไม่เคยไปไกลเช่นนั้นมาก่อน ด้านนอกเมืองซีหนิวกับเมืองหลวงมีสิ่งใดบ้าง นางล้วนไม่เคยเห็นทั้งสิ้น ทันใดนั้นในใจก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นเล็กน้อย แต่ช่วงนี้ยังอยู่ในระหว่าง ‘อยู่เดือน’ ออกไปนอกบ้านอย่างสง่าผ่าเผยเช่นนี้ เหล่าฮูหยินจะไม่ตำหนิเอาหรือ

“ยังไม่ครบเดือน” เฉียวเวยว่า

สวินหลันตอบเสียงอ่อนโยน “ก็อีกเพียงสองสามวันนี้เท่านั้น ไม่เป็นปัญหา ข้าจะไปพูดกับเหล่าฮูหยินเอง”

รู้สึกตงิดๆ ว่าแม่เลี้ยงไม่เจตนาดีเช่นนั้น!

เฉียวเวยมองสำรวจสวินหลันตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง สวินหลันลิ้มรสชาเงียบๆ กิริยาสง่างามดั่งภาพวาด ประหนึ่งไม่ทราบว่าเฉียวเวยกำลังพิจารณานางอยู่ นางไม่ร้อนรน ไม่ลนลาน ไม่ประหม่า สุขุมนิ่งสงบ

ผ่านไปพักใหญ่ เฉียวเวยก็รั้งสายตากลับมา คิ้วเรียวเลิกขึ้น “ก็ได้ ข้าจะไป”

“โธ่ ฮูหยิน ท่านจะไปจริงหรือเจ้าคะ” พอออกจากเรือนถง ปี้เอ๋อร์ก็ถามเฉียวเวยอย่างกังวล

เฉียวเวยตอบว่า “ไปสิ ทำไมจะไม่ไปเล่า”

ปี้เอ๋อร์ยู่ปาก “บ่าวรู้สึกว่าหนนี้คงจะเป็นงานยากลำบาก”

“แน่นอนว่าต้องเป็นงานยากลำบากอยู่แล้ว” นางกับแม่เลี้ยงไม่ถูกกัน แม่เลี้ยงกินอิ่มว่างงานหรืออย่างไรจึงจะมอบงานสบายๆ ให้นาง แต่หากยอมถอยเพราะหวาดกลัวความลำบาก จะไม่กลายเป็นว่าสมใจคนบางพวกหรอกหรือ ถึงเวลาเหล่าฮูหยินไถ่ถาม นางก็คงตอบประมาณว่าว่า “ข้าอยากจะให้นางช่วยงานของตระกูลสักหน่อย แต่เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ นางก็ไม่ยินดีทำ”

“รู้ว่าเป็นงานลำบากแล้วฮูหยินยังจะไปอีกหรือเจ้าคะ” ปี้เอ๋อร์พึมพำ

เฉียวเวยตบหัวไหล่ของนาง “ข้าไป บางทีอาจทำไม่สำเร็จ แต่หากข้าไม่ไป ย่อมทำไม่สำเร็จแน่นอน”

ทั้งสองคนกลับมายังบ้านชิงเหลียน ก็พบว่าจีหมิงซิวอยู่ที่นั่น

เฉียวเวยประหลาดใจเล็กน้อย “วันนี้เลิกประชุมเร็วเช่นนี้เชียวหรือ”

จีหมิงซิวตอบว่า “ข้ากลับมาเก็บสัมภาระเล็กน้อยแล้วต้องติดตามรัชทายาทไปตูโจว ต้อนรับคณะทูตจากหนานฉู่”

คิ้วเรียวของเฉียวเวยเลิกขึ้น “ต้องลำบากรัชทายาทแห่งแว่นแคว้นกับอัครมหาเสนาบดีไปรับด้วยตนเอง หนานฉู่วางท่าใหญ่โตเสียยิ่งกว่าเผ่าซยงหนีว์อีกนะ”

“ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกว่าก็เท่านั้น” จีหมิงซิวตอบ

“อ้อ” เฉียวเวยขานตอบ “ให้ข้าช่วยท่านจัดสัมภาระหรือไม่”

จีหมิงซิวไม่ตอบ แต่มองนางอย่างแฝงความนัย

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้ว จะจัดประเดี๋ยวนี้”

พูดตั้งนาน ที่แท้ก็รอนางจัดสัมภาระให้ ทำท่าทางเช่นนั้น คิดว่านางทำสิ่งใดผิดแล้วถูกเขาจับได้เสียอีก

จีหมิงซิวมองแผ่นหลังของนางตาไม่กะพริบ “ข้าไปหนนี้อาจไม่กลับบ้านหลายวัน เจ้าไม่มีสิ่งใดจะบอกข้าหรือ”

มือของเฉียวเวยที่พับเสื้อผ้าอยู่ชะงัก “…รักษาตัวด้วย?”

แววตาของจีหมิงซิวทะมึน “ไม่มีคำอื่นแล้วหรือ”

เฉียวเวยครุ่นคิด “…เดินทางปลอดภัย?”

แววตาของจีหมิงซิวยังไม่เปลี่ยน “เจ้ามีสิ่งใดต้องการให้ข้าทำหรือไม่ ข้าจะได้จัดการไว้ให้เจ้าก่อน”

บีบคอสหายสมัยเด็กของท่านให้ตายซะ!

“ไม่มีนะ ทุกสิ่งล้วนดีทีเดียว ไม่มีสิ่งใดต้องให้ท่านจัดการ ท่านไปเถิด” เฉียวเวยยิ้มให้เขา กล่าวจบก็ปิดหีบ “จัดเรียบร้อยแล้ว ให้ท่าน”

จีหมิงซิวมองนางด้วยสีหน้าซับซ้อน จากนั้นหิ้วหีบเดินจากไปอย่างเย็นชา

เฉียวเวยเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ นางรู้สึกไปเองหรือไม่ เหตุใดรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่เหมือนจะโมโหอยู่นิดๆ…

ก่อนออกเดินทางจีหว่านมารับเด็กน้อยทั้งสองคนไป จีเหล่าฮูหยินอิจฉาเล็กน้อย นางยังไม่ทันอุ้มเหลนน้อยของนางจนหนำใจ ก็ถูกจีหว่านจอมหลอกลวงคนนี้ลักตัวไปเสียแล้ว

จีหว่านยิ้มจนตาหยีขณะที่พาเจ้าซาลาเปาน้อยขึ้นรถม้า

ไม่นานเฉียวเวยกับปี้เอ๋อร์ก็ก้าวขึ้นรถม้าออกเดินทางไปยังเมืองหลิ่ว

ได้ยินว่าจะไปที่นา เสี่ยวไป๋จึงติดตามมาด้วย

จวนตระกูลจีก็ดี จวนกั๋วกงก็ดี ล้วนไม่มีลูกงูพิษ ลูกเพียงพอนผู้น่ารักจะหิวตายอยู่แล้ว

วันที่เฉียวอวี้ซีแต่งงาน เฉียวเวยเคยมาเยือนประตูทิศเหนือ แต่นางยืนอยู่บนโรงน้ำชา ไม่เคยก้าวออกจากประตูไปจริงๆ ในที่สุดวันนี้ก็ได้ออกมาแล้ว ลมเหนือเย็นเฉียบสายหนึ่งพัดเข้าใส่ใบหน้า อากาศเหมือนจะหนาวและแห้งกว่าก่อนหน้า

“ว้าว! ออกจากเมืองแล้ว!” ปี้เอ๋อร์ยื่นแขนออกไปอย่างตื่นเต้น

เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “พูดเหมือนกับเจ้าไม่เคยออกจากเมือง”

“ไม่เคยออกจากประตูเมืองทิศเหนือนี่เจ้าคะ” ปี้เอ๋อร์เลิกผ้าม่าน มองร้านรวงที่ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทางกับผู้คนที่สัญจรไปมาด้วยสีหน้ารีบร้อน แล้วเอ่ยต่อว่า “ฮูหยิน ถนนเส้นนี้ที่พวกเราเดินทางอยู่เรียกว่าถนนหลวงเป่ยเหยียน เดินทางไปตามถนนเส้นนี้จะไปถึงเผ่าซยงหนีว์!”

“ผู้ใดบอกเจ้า” เฉียวเวยถาม

ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “นักเล่านิทานบอกเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยอธิบายอย่างนิ่งสงบ “ถนนหลวงเป่ยเหยียนไปถึงหูโจวก็สุดแล้ว จากหูโจวไปทางเหนือ ต้องผ่านอีกห้าเมืองสิบสามนครจึงจะไปถึงชายแดนระหวางต้าเหลียงกับเผ่าซยงหนีว์” จิ่งอวิ๋นมักจะอ่านบันทึกภูมิศาสตร์ นางจึงได้เปิดอ่านตามอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย

“อ๋า” ปี้เอ๋อร์ร้องออกมาอย่างผิดหวัง “ไกลเพียงนั้นเชียว”

เฉียวเวยหัวเราะ ถามขึ้นว่า “ทำไม เจ้าอยากไปเผ่าซยงหนีว์หรือ”

ปี้เอ๋อร์ส่ายศีรษะ เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้น…พวกเราอยู่ห่างจากหนานฉู่ไกลเท่าใดเจ้าคะ”

เฉียวเวยจิบชาร้อนคำหนึ่ง “หนานฉู่อยู่ใกล้กว่าเผ่าซยงหนีว์อยู่บ้าง ราวเจ็ดแปดร้อยกิโลเมตรกระมัง จากเมืองของพวกเรามุ่งลงใต้ ผ่านหกเมืองเก้านครจึงจะถึงเตียนตู จากเตียนตูมุ่งหน้าต่อไปอีกก็คือสำนักซู่ซินจง ผ่านสำนักซู่ซินจงไปจึงจะเป็นหนานฉู่”

ปี้เอ๋อร์เอ่ยอย่างอิจฉา “ฮูหยินทราบเรื่องราวมากมายจริงเชียว!”

เฉียวเวยหัวเราะ

ยิ่งรถม้าแล่นออกไปไกล รอบด้านก็ยิ่งเงียบเหงา จากเมืองอันคึกคักแล่นเข้าสู่หมู่บ้านแร้นแค้น ในที่สุดก็มาจอดอยู่หน้าเรือนหลังใหญ่ที่ไม่สะดุดตาสักนิดหลังหนึ่ง

สารถีแจ้งว่า “ฮูหยินน้อย ถึงที่นาแล้วขอรับ”

เฉียวเวยกระโดดลงจากรถม้า ทันใดนั้นนางก็ถูกภาพเบื้องหน้าทำให้ตกใจจนกายสะท้าน นี่คือบ้านจริงหรือ เหตุไฉนจึงโทรมยิ่งกว่าค่ายวายุทมิฬ! จากนั้นนางก็ทอดสายตามอง ไม่พบเงาคนแม้แต่ครึ่งคน มีกระท่อมฟางตั้งอยู่ประปราย บ้างไม่มีประตู บ้างหน้าต่างพังเละ สุนัขสีน้ำตาลผอมแห้งประหนึ่งไม้ฟืนตัวหนึ่งหมอบอยู่บนพื้น พอเห็นคนเข้ามาใกล้ แม้แต่เห่ายังคร้านจะเห่า มันหาวหวอดแล้วนอนหลับต่อ

บางทีสารถีอาจมาหลายหนแล้ว สีหน้าจึงนิ่งสงบอย่างยิ่ง เขาตะเบ็งเสียงตะโกนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ “ผู้ดูแลไช่! นายมา!”

“มาแล้วๆ !”

ภายในเรือนผุพังทรุดโทรม บุรุษวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยคนหนึ่งวิ่งอกมา เขาก็คือผู้ดูแลไช่ที่สารถีเรียกนั่นเอง

ผู้ดูแลไช่อ้วนเกินไปแล้วจริงๆ พอวิ่งมาถึงหน้าเฉียวเวย คนก็เหนื่อยจนหอบแฮ่ก “บ…บ…บ่าว…ขอ…คารวะ…นายขอรับ!”

ปี้เอ๋อร์ขมวดคิ้วมองเขา แล้วแนะนำว่า “นี่คือฮูหยินน้อย”

ผู้ดูแลไช่ตกตะลึง จากนั้นก็รีบโค้งร่างให้ต่ำลงอีกหนึ่งส่วน “คารวะ…ฮูหยินน้อยขอรับ!”

เฉียวเวยยกมือขึ้นทำท่าบอกให้เขาลุกขึ้น จากนั้นเปิดปากตรงเข้าประเด็น “ข้าได้รับคำสั่งจากฮูหยินใหญ่ให้เดินทางมาเก็บค่าเช่าที่นา ค่าเช่าแต่ละปีต้องแบ่งส่งมอบสองหน ค่าเช่าครึ่งปีแรกสมควรส่งไปที่จวนในเดือนเจ็ด แต่นี่ใกล้เดือนสิบเอ็ดแล้ว เหตุใดยังไม่ส่งมาอีก”

ผู้ดูแลไช่ผ่อนลมหายใจ แล้วตอบอย่างกลัดกลุ้ม “บ่าวไม่ปิดบัง มิใช่บ่าวไม่ยอมส่งค่าเช่า แต่เก็บไม่ได้จริงๆ! ปีนี้แล้งหนัก ผลผลิตในไร่นาไม่ดีจึงเก็บค่าเช่าได้ไม่พอ!”

เฉียวเวยจึงตอบว่า “ข้ารู้ว่าปีนี้แล้ง แต่ก็ยังไม่นับว่าแล้งหนัก ราชสำนักเก็บภาษีกับประชาชนเพิ่มหนึ่งส่วนครึ่ง ชาวนาทั้งหลายยากแค้นจนแทบจะไม่มีข้าวสารหุงกิน”

ผู้ดูแลไช่พยักหน้าหงึกๆ “ฮูหยินน้อยพูดถูกต้องเป็นที่สุด”

เฉียวเวยเอ่ยต่อว่า “แต่ที่นาของพวกเราไม่ต้องจ่ายภาษีให้ราชสำนัก เหตุไฉนจึงเก็บค่าเช่าที่นาไม่ได้เล่า”

ผู้ดูแลไช่ตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ฮูหยินน้อยอาจยังมิทราบ ค่าเช่าที่นาแพงกว่าภาษีของราชสำนักเสียอีก ราชสำนักเก็บสองถึงสามส่วน พวกเราที่นี่เรียกเก็บสี่ถึงห้าส่วน”

โหด โหดจริงๆ!

หากกล่าวว่าชาวนาลำบากแล้ว ชาวนาผู้เช่าที่นาลำบากกว่า!

เฉียวเวยกวาดสายตามองที่นารกร้าง “ข้าไม่ใช่คนแรกที่มาเก็บค่าเช่ากระมัง”

“ไม่ใช่ขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นพวกคนที่มาก่อนหน้านี้ เจ้าก็บอกพวกเขาเช่นนี้หรือ”

“ขอรับ ฮูหยินน้อย”

“เคยมากี่คน”

“เจ้านายเพิ่งมีท่านมาคนแรก ส่วนผู้ดูแลเคยมาแล้วเจ็ดแปดคน”

เฉียวเวยถามว่า “ทุกคนเก็บค่าเช่าไม่ได้กันหมดเลยหรือ”

ผู้ดูแลไช่ตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่ได้ขอรับ”

ผู้ดูแลของตระกูลจีเจ็ดแปดคนยังทำไม่สำเร็จ แต่กลับส่งลูกสะใภ้คนใหม่ที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านและไม่มีรากฐานอันใดทั้งสิ้นอย่างนางมา ช่างเป็นงานที่สบายเสียจริง!

ผู้ดูแลไช่พยักหน้าแล้วค้อมตัวบอกว่า “ฮูหยินน้อยลำบากเดินทางมากไกล เข้าไปพักในบ้านก่อนเถิดขอรับ บ่าวจะให้ภรรยาทำอาหารกับน้ำแกงร้อนๆ สักหน่อยมาให้ฮูหยินน้อยอบอุ่นร่างกาย!”

“ข้าไม่หิว พาข้าไปดูที่นาก่อน”

“เอ๋”

ผู้ดูแลไช่ตกตะลึง

ปี้เอ๋อร์ตวาดแหว “ฮูหยินของข้าให้เจ้านำทางไปดูที่นาสักหน่อยอย่างไรเล่า!”

ผู้ดูแลไช่เรียกสติกลับมา “อ้อ ขอรับ ขอรับ!”

ผู้ดูแลไช่นำทางเฉียวเวย ระหว่างทางที่เดินไปก็แนะนำสภาพภายในที่นาให้เฉียวเวยฟังเล็กน้อย

ที่นาผืนนี้มีแปลงนาอยู่สี่ร้อยกว่าหมู่ มีชาวนาเช่าอยู่สิบกว่าครัวเรือน คนที่เช่ามากที่สุดปลูกพืชไว้ทั้งหมดแปดสิบหมู่ น้อยที่สุดคือยี่สิบหมู่ สิ่งที่ปลูกมีสารพัด ไม่ว่าจะเป็นข้าว ข้าวสาลี ต้นฝ้าย ข้าวโพด แตงโม เพียงแต่ว่าผลผลิตล้วนไม่ดีนัก

“ผลผลิตแย่ลงทุกปี ก็ไม่รู้ว่พวกเขาปลูกกันอย่างไร หากรู้ว่าเจ้าพวกนี้ล้วนปลูกพืขไม่เป็น ตอนแรกก็คงไม่ให้พวกเขาเช่าที่นาแล้ว!” ผู้ดูแลไช่บ่น

ระหว่างที่พูด ทั้งสามคนก็มาถึงนาข้าวที่ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้วผืนหนึ่ง ในแปลงนายังมีซังข้าวสีเหลืองแห้งเหี่ยวเหลืออยู่

ผู้ดูแลไช่กระโดดลงไปแล้วยื่นแขนออกมา “ฮูหยินน้อย”

เฉียวเวยไม่มองแขนที่เขายื่นออกมาสักนิด นางก้าวเท้าเดินลงไปในแปลงนาอย่างว่องไว

ผู้ดูแลไช่เห็นท่าทางชำนิชำนาญของนางก็อดไม่อยู่ร้องเอ๋ออกมา

เฉียวเวยมองดินในแปลงก็ทราบแล้วว่าชาวนาที่เช่าแปลงนาเหตุใดจึงปลูกผลผลิตไม่ได้ ดินเสื่อมโทรมเกินไปแล้ว

ปกติแล้วดินที่อุดมสมบูรณ์ สีของดินจะค่อนข้างเข้ม แต่ดินที่นี่สีอ่อนจนราวกับว่าถูกล้างมาก่อน

เนื้อดินของดินที่อุดมสมบูรณ์จะร่วนซุย ง่ายต่อการไถพรวนเพาะปลูก แต่ดินที่นี่เกาะกันเป็นก้อน ยามไถพรวนน่ากลัวว่าคงเปลืองแรงยิ่งนัก

อีกทั้งมันยังมีลายแตกระแหง ภาวะดินแข็งหนักหนาสาหัส สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่สัญญาณที่ดีอะไร

“น้ำ”

เฉียวเวยยื่นมือออกมา

ปี้เอ๋อร์หยิบถุงน้ำออกมาจากห่อสัมภาระ “นี่เจ้าค่ะ ฮูหยิน”

เฉียวเวยเปิดถุงน้ำแล้วรินครึ่งหนึ่งลงบนดิน

ผู้ดูแลไช่ขยับเข้ามาถามอย่างประหลาดใจ “ฮูหยินน้อย ท่านกำลังทำสิ่งใดหรือ”

“ดูคุณภาพดิน” เฉียวเวยตอบ

ดินที่อุดมสมบูรณ์จะอุ้มน้ำได้ดี น้ำซึมลงไปได้พอเหมาะ ความเร็วที่น้ำไหลผ่านจะช้า รดน้ำหนึ่งหนเก็บความชุ่มชื้นได้หกถึงเจ็ดวัน แต่น้ำที่เฉียวเวยรดลงไปเมื่อครู่ ทั้งหมดขังอยู่บนแผ่นดินแข็ง ไม่ซึมลงไปแม้แต่น้อย น้ำซึมผ่านได้ย่ำแย่เช่นนี้ รากของพืชย่อมดูดน้ำไม่ได้

เฉียวเวยเทน้ำเล็กน้อยลงในรอยแตกบนดินอีกหน หนนี้น้ำซึมอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ทำให้ดินที่แข็งเป็นแผ่นชุ่มชื้น น้ำเพียงไหลผ่านรอยแยกไป ความอุ้มน้ำก็ย่ำแย่เหลือเกิน พืชยังไม่ทันดูดน้ำพอ น้ำก็ไหลจากไปแล้ว

ผู้ดูแลไช่สีหน้างุนงง “ฮูหยินน้อยเข้า เข้าใจศาสตร์ชนิดนี้ด้วยหรือ”

ปี้เอ๋อร์ตอบอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ฮูหยินของข้าเก่งกาจนักล่ะ!”

เฉียวเวยลุกขึ้นยืนแล้วส่งถุงน้ำให้ปี้เอ๋อร์ คุณภาพดินย่ำแย่เช่นนี้ นางกังวลว่าชาวนาผู้เช่าที่นาแม้แต่กินยังไม่มีพอให้กินอิ่ม

“ฮูหยินน้อย ท่านมองสิ่งใดออกหรือ” ผู้ดูแลไช่ถามอย่างสงสัยใคร่รู้

เฉียวเวยเหลือบมองเขา “ไม่มีอะไร”

“เอ๋” ผู้ดูแลไช่กระอักกระอ่วน ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างประจบ “ด้านนอกลมแรง อย่าปล่อยให้ร่างกายหนาวจนย่ำแย่เลยขอรับ หากกลับไปถูกนายน้อยถามขึ้นมา บ่าวคงไม่อาจมอบคำอธิบายให้ได้!”

เฉียวเวยพยักหน้าตามเขากลับไปในเรือน

ไม่เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวดจริงๆ พอเห็นที่นาของตระกูลจีแล้วจึงได้รู้ว่าที่นาของตระกูลสวีอุดมสมบูรณ์มากเพียงใด ใช้เงินสี่ร้อยตำลึงซื้อมา ได้กำไรเท่าฟ้าโดยแท้

“ฮูหยินน้อย เชิญขอรับ!” ผู้ดูแลไช่เชิญเฉียวเวยเข้ามาในห้อง

ภายในห้องเผาถ่านเพื่อให้ความอบอุ่น

เครื่องเรือนในบ้านเรียบง่ายไม่เหมือนที่พักอาศัยของผู้ดูแลคนหนึ่งของตระกูลจี แต่เมื่อนึกขึ้นมาว่าที่นาแห้งแล้งเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล

ถ่านที่ใช้คือถ่านดำ ควันจากถ่านรมเฉียวเวยกับปี้เอ๋อร์จนน้ำตาไหลพราก ปี้เอ๋อร์ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตา นางสำลักคำหนึ่งก็สั่งว่า “เอาออกไปๆ! คนถูกรมจนจะตายแล้ว!”

ผู้ดูแลไช่รีบเรียกภรรยามายกเตาออกไป