ตอนที่ 548 บังเอิญผ่านมา (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 548 บังเอิญผ่านมา (1)

ศาลสวรรค์ หอสมบัติหลิงเซียว

องค์เง็กเซียนประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ ทอดพระเนตรเหล่าข้าราชการพลเรือนและแม่ทัพทหารในหอ เช่นเดียวกับเปี้ยนจวง รองผู้บัญชาการกองทัพเรือเทียนเหอที่เพิ่งรีบกลับมาพร้อมกับเผยยิ้มเล็กน้อยออกมาบนใบหน้าของเขา

‘ขุนนางฉางเกิงของข้า เขา มักจะคำนึงถึงศาลสวรรค์อยู่ตลอดเวลาจริงๆ’

แต่องค์เง็กเซียนก็รู้ว่าเทพเซียนที่เขาพอใจที่สุดในขณะนั้นกำลังคิดพิจารณาถึงเรื่องต่างๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนและพิจารณาทุกสิ่งรอบด้าน…

ในขณะนั้น กองทัพเรือเทียนเหออยู่ภายใต้บัญชาการของหลี่ฉางโซ่วให้ใช้แม่น้ำเทียนเหอเดินทัพตรงไปทางประตูสวรรค์อุดรเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคลื่นระลอกถัดไปของ “การลงมาจากสวรรค์[1]”

เปี้ยนจวงนำแม่ทัพสวรรค์สองคน คุมตัวอ๋าวฉื้อมาที่หอสมบัติหลิงเซียวเพื่อรายงานเรื่องนี้ ตามคำสั่งของเทพวารี ในยามนั้น เปี้ยนจวงกำลังก้มศีรษะลงเพื่อรายงานเรื่องการกบฏของอ๋าวฉื้อ

อย่างไรเสีย เปี้ยนจวงก็ยังคงมีมโนธรรมอยู่เช่นกัน เมื่อเขารายงาน เขาก็ไม่พลาดที่จะกล่าวถึงเทพวารี ทั้งสามประโยคนั้น ต้องมีเทพวารีร่วมอยู่ด้วย…

“องค์รัชทายาทแห่งวังมังกรทะเลประจิม อ๋าวฉื้อได้ถูกเทพวารีจับตัว พวกกบฏของวังมังกรก็ถูกเทพวารีบีบบังคับให้ต้องล่าถอยไป หลังจากที่ราชามังกรแห่งทะเลประจิมได้รับการล้างพิษและรักษาอาการบาดเจ็บจากเทพวารีแล้ว เขาก็รีบไปปกป้องดวงตาแห่งท้องทะเลประจิม

และด้วยความจริงที่ว่า อ๋าวฉื้อก็มีตำแหน่งเทพอยู่ในตัวเช่นกัน ราชามังกรแห่งทะเลประจิมจึงขอมอบอ๋าวฉื้อให้พระองค์ทรงมีพระวินิจฉัยจัดการ … ”

เมื่อรายงานจบ องค์เง็กเซียนก็พยักหน้าช้าๆ และตรัสถามว่า “แล้วในเวลานี้ สถานการณ์ในวังมังกรทะเลประจิมเป็นอย่างไรบ้าง?”

เปี้ยนจวงถอนหายใจและกล่าวว่า “ไม่อยู่แล้ว ฝ่าบาท”

“ไม่อยู่แล้วหรือ?”

“กระหม่อมผู้เป็นแม่ทัพประจักษ์มาด้วยตาของกระหม่อมเอง ที่เหลืออยู่ มีเพียงหนึ่งสิบถึงสองในสิบส่วนของวังมังกรทะเลประจิมเท่านั้น และมีหลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ก้นทะเลซึ่งเต็มไปด้วยซากศพมังกรกระจัดกระจายไปทั่วหลุม”

ลูกกระเดือกของเปี้ยนจวงสั่นในขณะที่เขากล่าวต่อเบาๆ ว่า “ตามที่ผู้อาวุโสเผ่ามังกรทะเลประจิมกล่าว สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในวังมังกรทะเลประจิมนั้นถูกผู้อื่นควบคุมจิตใจเอาไว้

จากที่กระหม่อมเห็น รอบกายราชามังกรทะเลประจิมนั้น มีผู้ช่วยที่เชื่อถือได้อยู่เพียงสองสามร้อยคนเท่านั้น ดูจากสถานการณ์ในยามนั้นแล้ว จะต้องเกิดการต่อสู้ดุเดือดไร้ที่เปรียบได้ระหว่างเทพวารีและกลุ่มกบฏเผ่ามังกรเหล่านั้นอย่างแน่นอน! ในขณะที่เทพวารียังต้องปกป้องราชามังกรและมารดามังกรแห่งทะเลประจิมไปพร้อมๆ กัน!”

ในขณะนั้น องค์เง็กเซียนก็อดจะขมวดคิ้ว แล้วถามด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อยว่า “แล้วเทพวารีสบายดีหรือไม่?”

“ฝ่าบาท โปรดวางพระทัยเถิด” เปี้ยนจวงรีบกล่าวว่า “เสื้อคลุมของเทพวารีไม่มีรอยยับแม้แต่น้อยเลย”

องค์เง็กเซียนในชุดขาวถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าคิดมากไปเอง ฉางเกิงมาจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน คนเก็บตัวเช่นนี้จะได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร? ขุนนางเปี้ยนจวง ตอนนี้ขุนนางฉางเกิงอยู่ที่ใดกัน”

เปี้ยนจวง กล่าวว่า “เทพวารียังสั่งให้กระหม่อมและกองทัพเรือเทียนเหอรีบไปที่ประตูอุดรเพื่อคอยให้การสนับสนุนช่วยเหลือวังมังกรทะเลอุดรได้ตลอดเวลา กระหม่อมไม่รู้ว่าตอนนี้ เทพวารีอยู่ที่ใดแล้ว เขาน่าจะจะมุ่งหน้าไปยังทะเลอุดร”

องค์เง็กเซียนพยักหน้าช้าๆ และครุ่นคิดในขณะที่แม่ทัพตงมู่ซึ่งอยู่ด้านล่างใต้แท่นบัลลังก์สูงก็ลูบเคราและใคร่ครวญ จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วโค้งคำนับพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท บัดนี้ สงครามได้ปะทุขึ้นในทะเลทักษิณและทะเลบูรพาแล้ว แม้เทพวารีจะพยายามไกล่เกลี่ยอย่างสุดกำลังแล้ว แต่กระหม่อมก็ยังเกรงว่า เขาอาจทำไม่ได้ทั้งหมด แม้พระองค์จะรับสั่งให้เทพวารีดูแลทั้งสี่คาบสมุทรแล้ว แต่ทั้งสี่คาบสมุทรนี้ก็ตกอยู่ในอันตราย และศาลสวรรค์ก็ไม่อาจเพิกเฉยได้”

“เจ้าพูดมีเหตุผล แม่ทัพตงมู่” จักรพรรดิหยกครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและสั่งว่า “แม่ทัพตงมู่ จงบัญชาให้ทหารหนึ่งแสนนายไปช่วยวังมังกรทะเลบูรพาที่ทะเลบูรพา จากนั้นก็ให้แม่ทัพคนหนึ่งนำกองกำลังหนึ่งแสนนายไปช่วยที่วังมังกรทะเลทักษิณด้วย”

แม่ทัพตงมู่น้อมรับพระบัญชาทันทีและรีบไปที่หอทงหมิงเพื่อสั่งเคลื่อนกำลังพลออกไป ครั้งนี้ ศาลสวรรค์เคลื่อนไหวไม่ชักช้าเลย และในเวลาไม่นาน กองกำลังหนึ่งแสนก็มารวมกันที่ประตูสวรรค์ทักษิณและประตูสวรรค์บูรพา

การแสดงที่ดีเช่นนี้ แค่กๆ เรื่องใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่า ย่อมจะขาดแม่ทัพฮวารี่เทียนผู้ทรงคุณธรรมและใจกว้างเสียไม่ได้!

ทหารสวรรค์หนึ่งแสนนายในทะเลทักษิณนั้น นำทัพโดยฮวารี่เทียน และแม่ทัพสวรรค์สองคนที่ไม่คู่ควรให้เอ่ยนาม

เมื่อพิจารณาว่าแม่ทัพสวรรค์คนอื่นๆ ยังแข็งแกร่งไม่พอ ในเวลานี้กองทัพเผ่ามังกรและกองทัพกบฏเผ่าทะเลก็กำลังรบพุ่งกันอย่างดุเดือดไปทั่วทุกที่ในทะเลทักษิณ… ฮวารี่เทียนจึงทำได้เพียงต้องลงมือเองเท่านั้น เขาซ่อนตัวและรีบไปที่วังมังกรทะเลทักษิณเพื่อพบกับพวกเผ่ามังกร

มันมีเหตุผลและหลักฐานที่ไม่อาจหักล้างได้ เดิมทีร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนอยากพบฉางเกิง ทว่าเมื่อเขามาถึงวังมังกรทะเลทักษิณ และได้พบกับราชามังกรทะเลทักษิณ ในฐานะแม่ทัพแห่งศาลสวรรค์ เขากลับไม่เห็นวี่แววของขุนนางฉางเกิงเลย ครั้นเมื่อเขาถามราชามังกร ราชามังกรก็บอกว่าเทพวารีไม่เคยมาที่นี่…

ฮวารี่เทียนถอนหายใจในใจ บัดนี้ เขารู้แล้วว่าเขาได้เลือกทิศทางผิด ขุนนางฉางเกิงของเขาน่าจะไปที่ทะเลอุดรหรือทะเลบูรพา

ขณะที่เขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับฉางเกิงอยู่นั้น จู่ๆ ฮวารี่เทียนก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะในทันทีที่เขาสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพวารี ดูเหมือนว่าจะอยู่ในรัศมีหมื่นลี้

นั่นอาจถือได้ว่า เป็นพลังเล็กน้อยของจักรพรรดิแห่งสวรรค์เช่นเขา

ในขณะนั้น ฮวารี่เทียนและราชามังกรทะเลทักษิณ ได้ตกลงที่จะส่ง “สัญญาณ” ออกไป จากนั้นเขาก็รีบออกจากวังมังกรทะเลทักษิณเพื่อไปพบหลี่ฉางโซ่ว

ทว่าสิ่งที่ฮวารี่เทียนไม่คาดคิดก็คือ…

เขาไม่คาดคิดว่าจะบังเอิญได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เสนาบดีของเขาจับปลา[2]ในน้ำ ทั้งหลอกล่อและล่อลวงเทพธิดาในช่วงเวลางาน!

กล่าวได้ว่า เพียงฮวารี่เทียนเพิ่งออกจากวังมังกรไป เขาก็แผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปตรวจสอบบนท้องฟ้า ทว่าเขาไม่พบอะไรเลย

หลังจากค้นหาอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่อีกพักหนึ่งแล้ว เขาก็ยังไม่พบสิ่งใด

ในยามนั้น ฮวารี่เทียนอดจะรู้สึกถึงการแข่งขันเล็กน้อยไม่ได้

ดังนั้น ร่างหลักในหอสมบัติหลิงเซียวจึงหลับตาลงและเปิดใช้งานระดมพลังแห่งเต๋าสวรรค์ทันทีเพื่อเพิ่มพรพลังให้ร่างจำแลงของเขา!

ดวงตาของฮวารี่เทียนเปล่งประกายแสงสีทอง เขามองผ่านพื้นที่ว่างเปล่าทันที และเห็นชายชราผมขาวพร้อมกับร่างงดงามที่ปกคลุมไปด้วยแสงเซียนและหมอกสีขาว…

ขุนนางฉางเกิง ดูเหมือนว่า… กำลังพูดจาเกี้ยวพากันอยู่หรือไม่?

อืม? ไม่ถูกต้อง…

หลี่ฉางเกิง เจ้าเพียงใช้ร่างจำแลงต่อหน้าข้าเสมอเท่านั้น แต่ร่างหลักของเจ้าจะปรากฏตัวภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เท่านั้น! ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนหัวเราะ และก่นด่าเล็กน้อยอยู่ในใจ จากนั้นเขาก็เกิดความรู้สึกฉงนสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง…

เทพธิดานางนี้คือผู้ใดกัน?

แม้เวลานี้ ร่างจำแลงของเขาจะได้รับพรเพิ่มพลังแห่งเต๋าสวรรค์ แต่เขาก็ยังไม่อาจมองทะลุผ่านได้เลย

ด้วยกลัวว่า จะทำให้เทพธิดาผู้นี้ตกใจ ฮวารี่เทียนจึงไม่ได้มองต่อมากไปกว่านี้อีก จากนั้นเขาก็จงใจแผ่กลิ่นอายลมปราณของเขา แล้วโผผินบินอย่างผยอง ตรงไปทางประตูสวรรค์ทักษิณ

เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็คือ องค์เง็กเซียน เขาไม่อาจบินขึ้นไปทักทายขุนนางของเขาก่อนได้ นอกจากนี้ มันย่อมไม่ดีแน่ หากจู่ๆ เขาจะโผล่เข้าไปอย่างเปิดเผยตรงๆ เขารู้สึกว่าย่อมเป็นการดีกว่าที่จะให้เหล่าข้าราชบริพารได้เตรียมใจให้พร้อม

นี่เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ขององค์เง็กเซียน

ขุนนางฉางเกิงเป็นคนมั่นคง เขาไม่น่าจะเผอเรอจนไม่รู้เรื่องร่างจำแลงของข้า ทว่าเมื่อฮวารี่เทียนเห็นกองทัพศาลสวรรค์จากระยะไกล…

ฮึ! ที่กล่าวว่าทำทุกสิ่งอย่างบริสุทธิ์ใจเพื่อศาลสวรรค์ทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นเพียงการเสแสร้ง!

ทว่า…มันก็ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อขุนนางฉางเกิงของข้าเป็นเช่นนี้

ฮวารี่เทียนหรี่ตาพลางยิ้ม ในขณะนั้น เขาก็พบกับทหารสวรรค์และแม่ทัพสวรรค์ก่อน

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็รีบนำกองทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งแสนนายไปยังที่ที่หลี่ฉางโซ่วอยู่ ใช่แล้ว พวกเขาเพียงแค่บังเอิญ “ผ่านมา” ในระหว่างทางเพื่อไปสนับสนุนช่วยเหลือเผ่ามังกร

บนเมฆสีขาวก้อนหนึ่ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของวังมังกรทะเลทักษิณ หลี่ฉางโซ่วรักษารูปลักษณ์การปรากฏตัวของเทพแห่งท้องทะเล และเดินเอามือไพล่หลังอยู่บนเมฆนั้น เขาอธิบายเรื่องความบาดหมางระหว่างสำนักบำเพ็ญประจิมและวังมังกรอย่างละเอียดให้กับเทพธิดาอวิ๋นเซียว แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วต้องปิดบังเนื้อหาส่วนใหญ่ของแผนการของเขาเอาไว้และเพิ่มเรื่องเกินจริงเร้าใจลงไปอีกเล็กน้อย

เขาบอกถึงเรื่องการพัฒนาของสำนักเทพทะเลในทะเลทักษิณ ทัศนคติของเผ่ามังกรที่มีต่อศาลสวรรค์ซึ่งได้ค่อยๆ เปลี่ยนไป และการกดขี่อย่างต่อเนื่องของสำนักบำเพ็ญประจิม… เมื่อเขารวมรายละเอียดทั้งหมดเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เขาก็ยังบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างชัดเจน ไร้ความสับสนใดๆ

อวิ๋นเซียวฟังอย่างตั้งใจ นางถามคำถามสองสามข้อเป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่นางเอ่ยปากถาม นางก็จะถามตรงประเด็น ซึ่งนั่นทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกได้ว่า นางเข้าใจเขาจริงๆ

ข้าคิดถึงลูกท้อ คิดถึงลูกท้อ

ความจริงแล้ว อวิ๋นเซียวไม่ได้ “เข้าใจเขา” ทว่าอวิ๋นเซียวสามารถมองเห็นความขัดแย้งและปัญหาซึ่งมีอยู่ทั่วทุกที่ได้อย่างรวดเร็ว

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ตระหนักได้ว่า เหตุใดผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยถึงเกรงกลัวเทพธิดาอวิ๋นเซียวไม่มากก็น้อย…

คำถามที่นางถามนั้นยากเกินกว่าจะตอบได้

ตัวอย่างเช่น นางถามว่า “สหายเต๋าแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่หยั่งรู้ได้นั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน? มีตัวแปรในเต๋าสวรรค์ เต๋าใหญ่มักจะสั่นคลอนอยู่เสมอ และบางครั้งการหยั่งรู้ก็ถูกผู้คนปิดบังอำพรางความจริงได้ ความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกต้องแม่นยำจริงๆ

ในเมื่อปรมาจารย์จอมปราชญ์มีความสามารถในการลวงความลับสวรรค์ ดังนั้น ปรมาจารย์จอมปราชญ์จึงอาจมีความสามารถในการสร้างมันขึ้นมาได้เช่นกัน ระดับพลังของเจ้ายังไม่ได้อยู่ที่แม้แต่ขอบเขตเซียนจิน หากเจ้าทำผิดพลาด นั่นจะไม่เป็นการเสี่ยงชีวิตของเจ้าหรอกหรือ?”

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่เก่งเรื่องการหยั่งรู้และการทำนาย เทพธิดา เจ้าก็รู้ว่า เวลาการฝึกบำเพ็ญของข้ายังไม่ได้นานมากนัก ขอบเขตเต๋าของข้ายังไปไม่ถึงระดับนั้น เมื่อข้าหยั่งรู้ได้ ข้าย่อมจะไม่สามารถพบกับความลับของสวรรค์มากมายได้”

อวิ๋นเซียวจึงถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า “แล้วเจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”

………………………………………………………………..

[1] มีความหมายเปรียบถึงการปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิด การปรากฏตัวอย่างกะทันหัน

[2] ฉวยโอกาสอู้งาน