บทที่ 549 บังเอิญผ่านมา (2)
“ด้วยการคิด”
หลี่ฉางโซ่วชี้ไปที่หัวใจของเขา ในโลกบรรพกาลนั้น เขาต้องปฏิบัติตามประเพณีท้องถิ่น เขาจะชี้ไปที่ศีรษะของเขาไม่ได้
“คิด?” อวิ๋นเซียวกะพริบตาและถามว่า “ช่วยบอกรายละเอียดข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
“แน่นอน” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ประการแรก การหยั่งรู้ที่ข้าทำนั้น ทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับทิศทางทั่วไปในการพัฒนาเรื่องนี้ ข้าต้องพยายามละเว้นและหลีกเลี่ยงตัวแปรเล็กๆ ให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้น จะไม่มีความคิดเพียงพออย่างแน่นอน
วิธีที่ข้าเคยใช้ก็คือ ทำรายการทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้ แล้วทำเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในสถานการณ์เหล่านี้ ให้เป็นตัวเลือกง่ายๆ การใช้วิธีนี้ มันจะเหมือนกับการร้อยสี่เหลี่ยมจัตุรัสบนเส้นหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นชุดๆ และแตกแขนงแยกย่อยออกไปอีกสองสามสาขา…เจ้าพอจะจินตนาการถึงสถานการณ์เช่นนี้ในใจได้หรือไม่? ”
หลี่ฉางโซ่วใช้มือแสดงท่าทางออกมาในขณะที่อวิ๋นเซียวพยักหน้าเบาๆ
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กล่าวต่อว่า “เมื่อระบุความเป็นไปได้และทิศทางการพัฒนาทั้งหมดแล้ว ก็จะสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์แต่ละอย่างนั้นได้ล่วงหน้าตามระดับความเป็นไปได้ที่แตกต่างกัน ครั้นเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นทีละขั้น ช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสบนเส้นก็จะสว่างขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง จากนั้นเราก็จะรู้ลำดับการพัฒนาทั่วไปที่อยู่เบื้องหลังมันได้”
“เป็นเช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว…” อวิ๋นเซียวส่งเสียงเบาๆ แล้วดวงตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม จากนั้นนางก็กล่าวว่า “นั่นควรเป็นสิ่งที่ควรทำในด้านของการวางแผน แต่ก็อาจจะเหนื่อยเกินไป”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ข้าคิดถึงเรื่องเผ่ามังกรมากว่าเจ็ดปีแล้ว”
อวิ๋นเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามเบาๆ ว่า “แล้วเจ้าไม่รู้สึกเหนื่อยใจบ้างหรือ?”
“มีบ้างเล็กน้อย ทว่าเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้มาแล้ว ความเหนื่อยล้าเพียงเล็กน้อยนี้ ก็ไม่นับว่าเป็นอันใดเลย” หลี่ฉางโซ่วตอบพลางแย้มยิ้ม
“แล้วกระบวนการคิดที่ยาวที่สุดของสหายเต๋า ใช้เวลานานเพียงใดหรือ?”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “สิบเจ็ดปี”
เมื่อกล่าวจบ เจตจำนงวิญญาณของหลี่ฉางโซ่วที่เชื่อมโยงกับจอมช่างพูด ซึ่งเพิ่งเงียบไปชั่วขณะก็เริ่มส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง …
ปู่ใหญ่เจดีย์ด่าว่าอย่างติดตลกว่า “เจ้าเป็นสหายน้อยที่ข้าชื่นชอบ เจ้าคิดแผนเรื่องนี้มาได้สิบเจ็ดปี! เจ้ามันช่างเหลือเชื่อจริงๆ!”
ไม้เฉียนคุนกล่าวต่อว่า “บัดซบ เจ้ามันช่างดื้อรั้นยิ่ง!”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างสงบและถือว่ามันเป็นคำสรรเสริญง่ายๆ อย่างเดียวเท่านั้น
อวิ๋นเซียวกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่า ไฉนเจ้าถึงใช้เวลาคิดเรื่องนี้นานนัก”
“เพราะสำนักบำเพ็ญเต๋า”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ทว่าเหตุผลหลักก็คือตั้งแต่เริ่มแรก ก็เป็นเพราะข้าอยู่ในสำนักบำเพ็ญเต๋า ข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้าถามคำถามเช่นนั้นได้เรื่อยๆ ข้ายังอยากขอถามเจ้าสักสองสามคำถามด้วยได้หรือไม่?”
“ฮ่าๆ” อวิ๋นเซียวหัวเราะเบาๆ “เจ้าเพียงแค่ถามมาเถิด หากเจ้าซื่อสัตย์กับข้าได้ แล้วไยข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างจริงใจไม่ได้เล่า?”
หลี่ฉางโซ่วผายมือของเขาและกล่าวว่า “โชคดีที่เรามีน้ำใสใจจริงต่อกัน ”
อวิ๋นเซียวอดจะยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีกไม่ได้
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ข้าได้ยินมาบ่อยครั้งว่า เราจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อได้พบกับผู้แข็งแกร่ง และจะอ่อนแอลงเมื่อพบกับผู้อ่อนแอ นั่นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี?”
เทพธิดาอวิ๋นเซียวอดจะทำหน้ามุ่ยไม่ได้พร้อมกับกล่าวว่า “ไฉนเจ้าถึงต้องทดสอบข้า?” แม้แต่วาจาตำหนิของนางก็ยังฟังอ่อนโยนนัก
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว นางก็ตอบว่า “ข้ามองว่า นั่นเป็นสิ่งที่ดี”
“เจ้าผิดแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไร นี่ก็เป็นสิ่งเลวร้าย” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ประการแรก ความแข็งแกร่งของข้าไม่มั่นคง มีตัวแปรมากเกินไป ประการที่สอง หากข้าต้องอาศัยความแข็งแกร่งของศัตรูเพื่อกำหนดความแข็งแกร่งของข้าเอง ข้าย่อมจะถูกจูงจมูกได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นเกี่ยวกับการวางอุบายคือ การมีจังหวะเป็นของตนเองโดยไม่ปล่อยให้ศัตรูมามีผลกระทบและชักจูงได้… แต่แน่นอนว่า นั่นเป็นเพียงความคิดตื้นเขินที่ต่ำต้อยของข้าเท่านั้น”
เทพธิดาอวิ๋นเซียวใคร่ครวญอย่างรอบคอบแล้วพยักหน้าช้าๆ พลางคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “อวิ๋นเซียวได้เรียนรู้บางอย่างแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วกระแอมไอในลำคอและเอ่ยถามว่า “เทพธิดา หากพิจารณาอย่างรอบคอบเมื่อเจ้ากำลังแข่งขันกลยุทธ์กับผู้อื่น เจ้าจะคิดลึกซึ้งมากขึ้น และเมื่อเจ้ามาถึงชั้นที่ห้า ซึ่งนำหน้าพวกเขาไปหลายก้าว ในขณะที่คนอื่นๆ ไปถึงชั้นที่สามเท่านั้น แล้วนั่นจะไม่รับรองชัยชนะในการแข่งขันนี้อย่างแน่นอนหรือ?”
อวิ๋นเซียวยกมือขึ้นเพื่อจัดปอยผมข้างหูนางโดยไม่รู้ตัวขณะกล่าวว่า “มันไม่ใช่ชัยชนะที่แน่นอน บางครั้งหากวางแผนมากเกินไป ก็จะถูกอีกฝ่ายทำลายได้”
“ใช่แล้ว” หลี่ฉางโซ่วชื่นชมนางในใจ
อวิ๋นเซียวยิ้มและถามว่า “เช่นนั้นแล้ว ท่านเทพวารี มีวิธีแก้ไขสถานการณ์นี้หรือไม่?”
“ง่ายมาก ให้ไปยืนในแต่ละชั้น”
อวิ๋นเซียวจมอยู่ในห้วงคิดลึกซึ้งและใคร่ครวญอย่างรอบคอบ รสชาติของชีวิตต้องลิ้มลองอย่างละเมียดละไม…
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วเลิกคิ้วขึ้นและเห็นเมฆสีขาวกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับแถวกองทัพทหารแห่งศาลสวรรค์
กองทัพแห่งศาลสวรรค์? เหตุใดถึงมาที่นี่แทนที่จะอยู่ที่ประตูสวรรค์ทักษิณ? เขากำลังใช้ไพ่ซุ่มโจมตีหรือไม่? จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เห็นแม่ทัพสวรรค์ยืนอยู่หน้าเหล่าทหารสวรรค์…ช่างเถิด”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “เทพธิดา เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่?”
“ได้” เทพธิดาอวิ๋นเซียวกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ตราบใดที่เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะสร้างปัญหาให้เจ้า ข้าก็ไม่เป็นไร” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางยิ้มแล้วขี่เมฆไปต้อนรับกองทหารแห่งศาลสวรรค์ เมื่อพวกเขาเข้าใกล้กองทัพที่แข็งแกร่งกว่าหนึ่งแสนนายเพียงเล็กน้อย หยุนเซี่ยวก็ร้องอุทานเบาๆ ออกมาว่า “ร่างทองแห่งบุญที่ได้รับพรจากเต๋าสวรรค์ นั่นอาจจะเป็นร่างจำแลงของท่านอาจารย์อา องค์เง็กเซียน?”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที
ดูเหมือนว่า แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าก็ยังสามารถจำเขาได้! ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนช่างล้มเหลวเสียนี่กระไร!?!
ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็ยังคงอิจฉา …
อวิ๋นเซียวหยุดอยู่นอกก้อนเมฆและไม่ได้เดินหน้าต่อไป เห็นได้ชัดว่านางไม่อยากพบองค์เง็กเซียน หาไม่แล้ว มันจะไม่เหมาะสมที่นางจะโค้งคำนับหรือไม่?
หลี่ฉางโซ่วเดินไปข้างหน้าและโค้งคำนับให้กับ ฮวารี่เทียนเลิกคิ้วให้เขา
“เทพวารี เทพธิดาผู้นั้นคือใครหรือ?” ฮวารี่เทียนยิ้มและกล่าวว่า “ไยเจ้าไม่แนะนำนางให้เรารู้จักบ้าง?”
หลี่ฉางโซ่วพูดอย่างจริงจังว่า “นี่คือ สหายสนิทของข้า เทพธิดาอวิ๋นเซียว ศิษย์ชั้นนอกที่อาวุโสที่สุดของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย
ดวงตาของฮวารี่เทียนสว่างวาบขึ้น เขาใช้โอกาสนี้โอบไหล่ของหลี่ฉางโซ่วและต่อยเข้าที่ซี่โครงเบาๆ และกล่าวว่า “ทำได้ดีมาก เทพวารี!”
ทว่า…
ตึ้ง!
ฮวารี่เทียนรู้สึกราวกับว่าเขาได้โจมตีกำแพงจักรวาล และมีแรงกระแทกกระดอนกลับเล็กน้อยถูกส่งกลับมาตามขอบกำปั้นของเขา
เจดีย์เสวียนหวง?
ฮวารี่เทียนมองไปที่หลี่ฉางโซ่ว จากนั้นมองไปที่ร่างที่งดงามในระยะไกลซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยเมฆหมอกจนไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน
ในฐานะจักรพรรดิสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ ในขณะนี้เขา… รู้สึกถึงชามะนาว[1]จริงๆ
หลี่ฉางโซ่วส่งเสียงอย่างสงบ “เทพธิดาอวิ๋นเซียว จดจำฝ่าบาทได้แล้ว”
ฮวารี่เทียนหดแขนของเขากลับ ผายอก และเชิดศีรษะขึ้น ชุดเกราะบนร่างของเขาเปล่งแสงบางเบา ทำให้เขาดูสง่างามน่าเกรงขามยิ่งขึ้น
“แค่กๆ ใช่แล้ว! เทพวารี มีสงครามในทะเลทักษิณหรือไม่? พวกเรารีบไปให้การสนับสนุนช่วยเหลือที่นั่นเพื่อไม่ให้พลอยกระทบถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไปด้วย”
“แม่ทัพฮวา โปรดอย่ากังวล”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “วังมังกรได้จัดการสถานการณ์ทั่วทุกพื้นที่แล้ว ในเมื่อเราอยู่ที่นี่ แล้ว เหตุใดเราไม่ไปที่ดวงตาแห่งท้องทะเลเพื่อปกป้องมันเอาไว้เล่า? นั่นคือจุดอ่อนของเผ่ามังกร”
“แน่นอน!”
ฮวารี่เทียนพยักหน้า จากนั้น พวกเขาทั้งสองต่างก็มองหน้ากัน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
ดวงตาแห่งท้องทะเล….ข้าไปที่นั่นได้อย่างไร? เผ่ามังกรได้ซ่อนดวงตาแห่งท้องทะเลของทั้งสี่คาบสมุทรเอาไว้ บรรพาจารย์เต๋าต้องใช้พลังเวทมหาศาลของเขาเพื่อปกปิดความลับสวรรค์ของน้ำพุเก้าชั้น[2] หากมีคนค้นพบมัน จะทำให้เกิดความโกลาหลทั่วหล้า
ในขณะนั้น เขาคงไม่อาจค้นพบมันได้หากไม่มีคำชี้แนะจากวังมังกรทะเลทักษิณ หรือการหยั่งรู้ของท่านจอมปราชญ์…
ทันใดนั้น เสียงของเทพธิดาอวิ๋นเซียวก็เข้ามาในหูของเขา
“สหายเต๋ามีความผิดปกติบางอย่าง เก้าหมื่นลี้ ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ จักรวาลปั่นป่วนอยู่ในความโกลาหล ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวกันเป็นจำนวนมาก”
หัวใจเต๋าของหลี่ฉางโซ่วสั่นเล็กน้อย แล้วเขาก็กล่าวกับฮวารี่เทียนเบาๆ ทันที จากนั้น หลี่ฉางโซ่วและอวิ๋นเซียวก็เป็นผู้นำและรีบไปยังสถานที่ที่จักรวาลกำลังวุ่นวายในขณะที่ฮวารี่เทียนก็รีบพุ่งไปพร้อมกับเหล่าทหารสวรรค์
ในระหว่างทาง อวิ๋นเซียวก็ถือโอกาสถามว่า “หากสถานที่นี้เป็นกลอุบาย ถูกสำนักบำเพ็ญประจิมหลอกโจมตี แล้วจะเกิดอันใดขึ้น?”
“ในขณะนี้ เราไม่อาจระบุได้ว่ามันเป็นกลอุบาย หลอกโจมตีหรือไม่ ทิศทางการโจมตีของอีกฝ่ายอาจเป็นที่หมายตาของทั้งสี่คาบสมุทร ในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการทำก็คือ บังคับให้เผ่ามังกรมอบคลังสมบัติให้”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ทว่าเทพธิดา… ข้าไม่ได้พูดเล่นๆ เมื่อบอกว่าเราควรจะยืนอยู่บนแต่ละชั้น ทุกๆ ชั้น แม้ข้าจะไม่มั่นใจนัก แต่ข้าก็พร้อมที่จะรับมือกับมัน”
“แล้วมั่นใจได้มากเพียงใดกัน?”
“เก้าสิบสี่ถึงเก้าสิบห้าในร้อยส่วน” หลี่ฉางโซ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริมว่า
“บางที”
………………………………………………………………..
[1] แสลงอินเทอร์เน็ต หมายถึงอิจฉาริษยา
[2] หรือที่เรียกคุ้นเคยกันว่า น้ำพุเหลือง น้ำพุเก้าชั้น หมายถึงบ่อน้ำลึกเก้าชั้น สื่อถึงว่าอยู่ลึกมากๆ ในตำนานของจีนนั้นหมายถึงเส้นทางที่วิญญาณเดินไปยังปรโลกเพื่อรายงานตัวหลังจากที่เสียชีวิตแล้ว