บทที่ 641 หนีไม่พ้น

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

พอทานอาหารมื้อหนึ่งเสร็จอย่างเงียบ ๆ วารุณีก็ลุกขึ้นยืน หันหน้าพูดกับคนรับใช้ “ฉันออกไปเดินเล่นได้ไหม?”

เธออยากออกไปเดินดูด้านนอกคฤหาสน์บ้าง อยู่แต่ในสภาพแวดล้อมของคฤหาสน์ตัวเองไม่พอหรอก

เมื่ออยู่ด้านนอก เธอรับรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าตัวเองอยู่ไหน

แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เธอต้องกาทางหนีที่เหมาะที่สุดให้กับตัวเอง

ก่อนที่เธอจะหลบหนี เธอยังต้องหาโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์เพื่อติดต่อหานัทธี ให้นัทธีส่งคนมาช่วย จากนั้นเธอถึงจะหนีออกจากคฤหาสน์มาเจอนัทธีได้

คนรับใช้ไม่ได้ตอบอะไร

วารุณีเห็นเช่นนี้ ใจก็เริ่มหวิวขึ้นมา

เป็นไปได้ไหมที่คนใช้ได้รับคำสั่งไม่ให้ปล่อยเธอออกไป?

เมื่อวารุณีเริ่มอยู่ไม่สงบ จู่ ๆคนรับใช้ก็พยักหน้า “ได้สิ คุณผู้ชายบอกไว้แล้วว่าคุณหญิงออกไปเดินรอบ ๆคฤหาสน์ได้ค่ะ แต่เดินไปไหนไกลไม่ได้ค่ะ”

“ทำไมกัน?” วารุณีกุมมือแน่น

คนรับใช้ตอบกลับ “เพราะถ้าเดินไปไกลแล้ว ก็จะเป็นทะเล อาจจะเกิดเรื่องได้”

“จริงเหรอ……”วารุณีเม้มปาก “เข้าใจแล้ว งั้นฉันจะเดินออกไปดูก่อน”

พูดเสร็จ เธอมุ่งไปทางออกจากคฤหาสน์

ระหว่างเดินเธอก็หันไปมองทางคนรับใช้

คิดว่าคนรับใช้จะเดินออกมาด้วย แต่เธอกลับเดาผิด คนรับใช้ไม่ได้ตามออกมา

แบบนี้ยิ่งทำให้วารุณีสับสน ไม่รู้ว่าคนรับใช้หมายถึงอะไร

เธอมั่นใจว่าคนรับใช้ที่ทางคุณผู้ชายส่งมาไม่ใช่แค่มาดูแลเธอ หน้าที่จริง ๆแล้วคือมาเฝ้าเธอ

ในเมื่อเป็นแบบนี้ คนรับใช้ทำไมถึงวางใจให้เธอออกนอกคฤหาสน์ ไม่กลัวว่าเธอจะหนี?

หรือคนรับใช้มั่นใจ นอกคฤหาสน์จะมีคนอื่นเฝ้าอยู่ เลยไม่กลัวเธอหนี?

ถ้าเป็นแบบนี้จริง ๆ เธอแทบจะไม่มีทางหนีได้เลย

เมื่อคิดแล้ว วารุณีถึงกับใจหาย ฝีเท้าก็ไม่ได้เร่งรีบอีกต่อไป

ในที่สุดก็เดินออกจากคฤหาสน์ วารุณีเห็นทิวทัศน์ที่เธอไม่เคยเห็นชั้นบนมาก่อน

ด้านหน้าเป็นชายหาดและมหาสมุทร ส่วนด้านหลังคฤหาสน์เป็นสวนมะพร้าวเขตร้อน

เมื่อเห็นสวนมะพร้าว วารุณีรู้สึกใจหวิวทันที

เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมคนใช้ถึงไม่กลัวเธอหนีไป เพราะเธอไม่มีทางหนีไปได้

คฤหาสน์หลังนี้ มันถูกสร้างขึ้นบนเกาะจริง ๆ อย่างที่เธอเดาไว้ในตอนแรก

มองผ่านทะลุต้นมะพร้าว วารุณีมองเห็นมหาสมุทรที่ปลายอีกด้านหนึ่งได้อย่างชัดเจน หรือก็คือ เกาะนี้ล้อมรอบด้วยทะเลทั้งสี่ด้าน ไม่ว่าเธอจะหนีไปทางไหน เธอทำได้เพียงหนีลงทะเล

ในทะเลไม่มีแม้แต่เรือซักลำ เธอไม่สามารถขอความช่วยเหลือออกจากเกาะนี้ได้เลย ได้แค่ว่ายน้ำเองเท่านั้น

ถึงอย่างนั้นร่างกายคนเรามีจำกัด ว่ายไปไม่กี่เมตรก็หมดแรงจมลงทะเลแล้ว ไม่จมน้ำตายก็ถูกปลาที่ดุร้ายจับกิน

สรุปคือ ตราบใดที่เธอกล้าหนี ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือตายเท่านั้น!

และมองภาพทะเลที่ไกลออกไป วารุณียิ่งรับรู้ได้ชัดเลยว่าเกาะแห่งนี้ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่มาก ในเมื่อเธอไม่เห็นผืนดินใหญ่ เธอไม่สามารถเดาได้เลยว่าเธออยู่ทะเลส่วนไหนและอยู่เกาะไหนด้วย

ทำไงดี……

ขณะนี้ วารุณีจิตใจเต็มไปด้วยความกังวล จนสีหน้าซีดเซียว

เธอไม่รู้เลยว่าเธออยู่ที่ไหน และติดต่อนัทธีไม่ได้ด้วย เธอกลับไปไม่ได้แล้ว

ในอีกด้านหนึ่ง นัทธีงีบหลับเป็นเวลาสองชั่วโมง หลังจากที่พยายามรวบรวมสมาธิกลับมา ก็ได้ยินเสียงจากปาจรีย์ว่ามารุตและอารัณมาถึงแล้ว

เขาเดินลงชั้นล่างมายังห้องโถงโรงแรมอย่างเร่งรีบ มารุตเดินจูงมืออารัณเข้ามา

เมื่อเห็นนัทธี อารัณรีบปล่อยมือจากมารุตแล้ววิ่งไปทางนัทธี และตะโกนออกมาว่า “คุณพ่อ”

นัทธีกอดลูกชายของเขาและลูบหัวอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องนะ”

เขารู้ดีว่าทำไมอารัณถึงเป็นแบบนี้ เพราะเป็นห่วงวารุณีไงล่ะ

เขาก็เป็นห่วง แต่เขาต้องใจเย็นเข้าไว้

ถ้ายังสงบสติอารมณ์ไม่ได้ ก็ยิ่งตามหาวารุณียาก

“ไอริณล่ะ?” หลังจากที่นัทธีปลอบอารัณแล้วเงยหน้ามองมารุต

มารุตรีบตอบกลับ คุณหนูน้อยอยู่จีนครับ ป้าส้มดูแลอยู่ ตอนแรกคุณหนูน้อยจะมาด้วย แต่ผมคิดว่าถ้าพามาด้วยต้องดูแลเธออีก คงไม่สะดวกเท่าไหร่เลยไม่ได้พามาด้วยครับ”

นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย “นายทำถูกแล้วล่ะ”

ดีแล้วที่ไม่พาไอริณมาด้วย ถ้าไอริณมาพวกเขาต้องมาดูแลเธออีก ซึ่งอาจจะทำให้ดำเนินเรื่องล่าช้าได้

รอให้หาวารุณีเจอแล้ว ค่อยไปปลอบใจสาวน้อยคนนั้น

“อารัณ เราเริ่มกันเถอะ” นัทธีพูดพร้อมยื่นคอมพิวเตอร์ให้กับอารัณ

อารัณตอบกลับ และวางคอมพิวเตอร์ไว้บนโซฟาในล็อบบี้แล้วเริ่มทำงาน

ด้วยอำนาจที่ได้รับจากประเทศนี้ อารัณสามารถใช้ดาวเทียมเพื่อค้นหาคนได้

การตรวจสอบผ่านระบบดาวเทียม สมกับคำล่ำลือที่ว่าเป็นดวงตาจักรวาลแห่งจีนจริงๆด้วย ในไม่ช้า จากการบันทึกประวัติของดาวเทียม อารัณก็เห็นชายที่พาวารุณีไปเมื่อคืนนี้

ชายคนนั้นอุ้มวารุณีออกจากบันไดนิรภัย และขึ้นรถตู้หลังห้องครัวโดม

อารัณยังคงตามรถตู้คันนั้น และเห็นรถคันนี้หยุดลงที่ข้างแม่น้ำ ประตูรถเปิดออก มือหนึ่งยื่นออกมาและโยนกระเป๋าลงแม่น้ำ จากนนั้นเปิดประตูขับรถจากไป

จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าผู้ชายคนนั้นแค่โยนกระเป๋าและมือถือต่าง ๆของวารุณีลงไปในแม่น้ำ ไม่ได้โยนวารุณีลงแม่น้ำ

ทุกคนยังคงติดตามกล้องวงจรต่อไป

รถตู้คันนั้นมุ่งไปยังชานเมือง เมื่อไปตามทางเรื่อย ๆ สถานที่นั้นก็ยิ่งห่างไกลออกไป และในที่สุดรถตู้ก็หยุดลงในป่าแห่งหนึ่ง

“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงหาวารุณีไม่เจอ เพราะนอกชานเมืองแทบจะไม่มีกล้องวงจรปิดเลย” คุณปาจรีย์พูดขึ้น

ถ้าไม่ใช่เพราะกล้องวงจรรับบดาวเทียมตัวนี้ พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะพาวารุณีมาในป่านอกชานเมือง

“ประธานนัทธี พวกเรารีบส่งคนไปตามหาวารุณีที่ป่าตอนนี้เลยดีกว่า” เชอรีนมองไปทางนัทธีและพูดขึ้น

นัทธีสีหน้านิ่งโดยไม่พูดอะไร และจ้องที่หน้าจอต่อไป

เชอรีนเกาหัวไม่เข้าใจเขาเลย “ทำไมนัทธีไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของฉัน?”

“เจ้าโง่ นั่นเป็นเพราะว่าคุณนายไม่ได้อยู่ที่ป่าแล้วไงล่ะ ป่านั่นเป็นเพียงจุดเปลี่ยนยานพาหนะ พวกนั้นพาคุณนายมาส่งที่นี่ เพื่อที่จะเปลี่ยนยานพาหนะการเดินทาง” มารุตเขกหัวเธอไปทีนึง

เชอรีนนึกขึ้นได้ “อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่พวกนายรู้ได้ยังไง?”

“เดาเอา” มารุตอธิบาย “คนพวกนั้นใช้ความพยายามมากในการพาตัวคุณนายมา แน่นอนว่าไม่อยากให้ใครหาเจอ ดังนั้นเป็นไปได้ว่าอาจจะถูกลักพาตัวออกจากประเทศนี้ เพราะว่าท่านประธานนัทธีอยู่ประเทศนี้ ต้องออกตามหาคุณนายแน่ เวลาผ่านไปคุณนายต้องถูกพบเจอแน่ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ พวกนั้นเลยพาตัวคุณนายไป”

“ฉันเข้าใจแล้ว” เชอรีนพยักหน้า

ปาจรีย์และลีน่าต่างก็มีปฏิกิริยายา

เวลานี้ จู่ ๆอารัณก็พูดขึ้นด้วยเข้ม “มาแล้ว”

นัทธีหรี่ตาจ้องมอง

ทุกคนต่างก็จ้องไปยังหน้าจอ “อะไรมา?”

อารัณไม่ได้ตอบ วินาทีต่อมา เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ ลอยขึ้นจากใจกลางของป่า สูงขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็บินไปยังทิศทางตะวันออก

“ซีด……พวกนายทายถูกแล้ว นี่เป็นจุดเปลี่ยนย้ายคุณวารุณี!” เชอรีนอึ้ง

นัทธีกำหมัดแน่น“อารัณ ล็อคเครื่องบินลำนี้ไว้!”

“ครับ!” อารัณพยักหน้ารับ นิ้วมืออันอวบ ๆ แตะลงบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม สิบนาทีต่อมา กล้องวงจรบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็หยุดชะงัก

นัทธีสีหน้าเปลี่ยน “เกิดอะไรขึ้น”