บทที่ 642 ห้องที่ล็อคไว้

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

อารัณปล่อยเมาส์และถอนหายใจ “เฮลิคอปเตอร์ที่พาแม่ออกจากน่านฟ้าประเทศนี้ไปยังน่านฟ้าของประเทศอื่น ดังนั้นระบบตรวจสอบดาวเทียมจะปิดโดยอัตโนมัติ”

มิฉะนั้น ประเทศนี้จะเข้าไปพัวพันกับอาชญากรรมการสอดแนมประเทศอื่น ๆได้ ซึ่งจะทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศขึ้น

“แบบนี้นี่เอง” ปาจรีย์พยักหน้าทันที

นัทธีขมวดคิ้วโดยไม่ได้พูดอะไร

ปาจรีย์มองไปทางเขา “ประธานนัทธี ตอนนี้เราควรทำยังไงดี? หรือไม่เราก็เข้าไปประเทศนั้นและใช้ดาวเทียมเพื่อติดตามอีกครั้ง?”

“ไม่มีประโยชน์หรอก” ครั้งนี้นัทธีส่ายหัว

ทุกคนมองไปที่เขา

เขาเกาผมแล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่ทุกประเทศที่มีดาวเทียม เมื่อกี้เราเห็นเฮลิคอปเตอร์บินเข้าประเทศนั้น ความเข้มแข็งของชาติตอนนี้ยังอยู่ในระดับกลาง พวกเขาไม่ได้ผลิตดาวเทียมของตัวเอง ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์หรอก”

“แบบนี้ พวกเราก็สูญเสียร่องรอยของวารุณีแล้วงั้นสิ?” ปาจรีย์เบิกตากว้าง

อารัณบีบกำปั้น “จะพูดแบบนี้ก็ได้”

“ไม่ว่าจะยังไง ฉันจะต้องหาวารุณีให้เจอ” นัทธีลุกขึ้นยืนและมองไปที่อารัณ “อารัณ ค้นดูทุกประเทศที่เฮลิคอปเตอร์บินเข้าไป รวบรวมเอาไว้ ผมจะค้นหาทีละประเทศ นอกจากนี้ เก็บไฟล์สำเนาของกล้องวงจรและส่งไปให้ตำรวจเพื่อขอให้ตรวจสอบที่มาของเครื่องบินลำนั้นด้วย”

เฮลิคอปเตอร์ต่างจากรถยนต์ที่มีทั่วทุกที่

นอกจากนี้ เฮลิคอปเตอร์ยังได้ติดตั้งระบบค้นหาตำแหน่งไว้ด้วย แค่หาข้อมูลโรงงานของเฮลิคอปเตอร์นั้นแล้วเข้าไปสอบถามที่โรงงานก็สามารถล็อคระบบกำหนดตำแหน่งของเฮลิคอปเตอร์ และจะต้องค้นหาตำแหน่งของเฮลิคอปเตอร์ได้อย่างแน่นอน

“ได้ครับพ่อ” อารัณพยักหน้าตอบรับ จากนั้นนิ้วก็แตะลงบนแป้นพิมพ์อีกครั้ง

นัทธีเรียกมารุตออกจากโรงแรม ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่

บนเกาะ วารุณียืนอยู่ที่ชายหาดเกือบสองชั่วโมง จนกระทั่งท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ลมทะเลพัดผ่าน คนใช้ออกจากคฤหาสน์พร้อมเสื้อคลุม “คุณผู้หญิงคะ ฝนจะตกแล้ว เรากลับกันก่อนเถอะค่ะ”

คนใช้นำเสื้อคลุม คลุมให้กับวารุณี

วารุณีต้องการปฏิเสธ แต่พอคิดว่าถ้าจะหนีก็ต้องรักษาร่างกายให้แข็งแรงไว้ ห้ามป่วยเด็ดขาด จึงกลืนคำปฏิเสธกลับไป

ไม่ว่ายังไง แม้ตอนนี้เธอจะถูกขังอยู่บนเกาะร้างแห่งนี้ เธอก็ห้ามสิ้นหวัง ยังไงก็ต้องหาทางหนีออกจากที่นี่ให้ได้ ถึงแม้ว่าเธอจะหนีไม่พ้น เธอก็ยังต้องหาวิธีติดต่อนัทธีให้ได้

“ขอบคุณ” วารุณีสวมเสื้อคลุม ร่างกายที่ได้รับความเย็นจากลมก็อุ่นขึ้นในทันใด

คนใช้ถอยไปด้านข้าง “ยินดีค่ะคุณผู้หญิง เรากลับกันเถอะค่ะ”

คนใช้พูดอีกครั้ง

วารุณีมองทะเลตรงหน้าพร้อมพยักหน้ารับ “โอเค”

ทั้งสองหันหลังเดินกลับไปยังคฤหาสน์

พอกลับมาที่คฤหาสน์ คนใช้รินน้ำให้เธอดื่ม

วารุณีรับมา และถามด้วยสายตาเป็นประกาย “คนรับใช้ที่นี่มีเธอคนเดียวเหรอ? ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว? เช่นบอดี้การ์ดประมาณนั้น”

“ใช่ค่ะ มีแค่ฉันคนเดียว” คนใช้พยักหน้า

วารุณีเชิดหน้ามอง

ดูเหมือนว่าจะไม่มีบอดี้การ์ดจริง ๆ

คนที่พาเธอมา คงจะมั่นใจมากจริง ๆว่าเธอไม่สามารถหนีไปไหนได้ ดังนั้นจึงส่งแค่คนใช้มาคนเดียว และคิดว่าสามารถเฝ้าเธอได้

วารุณีดื่มน้ำและวางแก้วลง

คนใช้เห็นเช่นนี้ ก็ถามขึ้นอีกครั้ง “คุณผู้หญิง รับผลไม้หน่อยไหมคะ?”

วารุณีส่ายหัว “ไม่ล่ะ ฉันกินไม่ลง”

“ค่ะ” คนใช้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

วารุณีหลับตาลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ผ่านไปไม่กี่วินาที จู่ ๆดวงตาเธอก็เบิกกว้างและมองไปยังคนใช้ “อาหารมื้อเที่ยงไม่เลวเลย แต่ผักไม่ค่อยสดเท่าไหร่ ไม่มีผักสดกว่านี้แล้วเหรอ?”

คนใช้ถอนหายใจ “มันเป็นแบบนี้ค่ะคุณผู้หญิง ผักที่คุณกินตอนเที่ยงนี้เก็บจากสวนและส่งตรงที่เกาะนี้แบบเร่งด่วน แต่เกาะนี้อยู่ไกลจากแผ่นดินใหญ่มาก และใช้เวลาสองวันในการเดินเรือ ดังนั้นเมื่อจัดส่งแล้วจะไม่สดเหมือนเพิ่งเก็บจากสวนแน่นอนค่ะ ”

ได้ยินแบบนี้ หัวใจวารุณีเต้นรัว

เธอเดาถูก

เมื่อกี้เธอนึกถึงอาหารที่เธอกินตอนเที่ยง ส่วนผสมหลายอย่างไม่ได้อยู่บนเกาะนี้

ในเมื่อไม่ได้มาจากเกาะนี้ ต้องส่งมาจากแผ่นดินใหญ่แน่นอน ดังนั้น ถ้าส่งมาที่นี่ นอกจากใช้เรือแล้วก็ต้องใช้เครื่องบิน

จากนั้นเธอจึงลองใจถามดู แล้วเธอก็ถามออกมาจริง ๆ ว่าบนเกาะนี้ จะมีเรือมาส่งอาหาร

แค่ไม่รู้ว่าจะส่งไปเมื่อไหร่ต่อครั้ง

พอคิดแบบนั้น วารุณีถามอย่างจงใจว่า “จริงเหรอ? ผักจะส่งทุก ๆสองวันหรือเปล่า?”

ถ้าเป็นเช่นนั้น เธอสามารถเก็บข้อมูลของเรือส่งผักได้ แล้วใช้โอกาสนี้หนีไปกับเรือ

ถึงอย่างนั้นคนใช้ส่ายหัว “ไม่ใช่ค่ะ เพราะมีแค่ฉันคนเดียวบนเกาะ คุณผู้ชายและคุณหญิงก็มาเป็นครั้งคราว ดังนั้นเรือส่งผักจึงไม่มีกำหนดเวลาส่ง คุณผู้ชายสั่งให้มาส่ง พวกเขาถึงมาส่งค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจที่ตื่นเต้นของวารุณีก็สงบลง

เป็นเพราะผู้ชายคนนั้นจัดการไว้นี่เอง

แบบนี้แล้ว เธอไม่สามารถรับรู้ข้อมูลของเรือได้เลย วางแผนการหลบหนีได้ยากเลย

สักพักอารมณ์ของวารุณีอึดอัดขึ้นมา

คนใช้เห็นเธอแบบนี้แล้ว เลยไม่อยากรบกวน ดังนั้นจึงถอยออกไปเงียบๆ

หลังจากที่คนใช้ออกไป วารุณีกุมขมับและยืนขึ้น เริ่มเดินไปรอบ ๆ ห้อง พยายามมองหาโทรศัพท์

ก่อนหน้านี้เธอเดินลงบันไดมา เธออยู่ในสายตาของคนใช้เสมอ ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าค้นหาอย่างเปิดเผย ตอนนี้คนใช้ออกไปแล้วจึงเป็นเรื่องดีสำหรับเธอ

ดูจากห้องนั่งเล่นแล้ว อย่าพูดถึงโทรศัพท์เลย แม้แต่ทีวีก็ไม่มี

ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นตั้งใจไม่ติดตั้งทีวี หรือว่ายังไม่ติดตั้ง

วารุณีส่ายหัว และมองขึ้นไปชั้นบน

เธอกุมมือไว้ เตรียมขึ้นไปดูโทรศัพท์ชั้นบน

เมื่อคิดถึงเช่นนี้ วารุณีจึงมองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนใช้อยู่ และจับกระโปรงขึ้นชั้นบน

เธอขึ้นมาชั้นสองก่อน และลังเลอยู่หลายครั้ง เธอเอื้อมมือออกไปยังประตูห้องที่แขวนของเอาไว้

ระหว่างที่ยื่นมือนั้น มือของวารุณีสั่น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเข้าไปในห้องของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เหมือนขโมยและยังแอบเข้าไปในห้องของคนอื่นอย่างลับ ๆล่อ ๆ

นอกจากความรู้สึกขอโทษแล้วยังมีความกลัวอยู่ในใจด้วย กลัวว่าเจ้าของห้องจะกลับมาเห็นเข้า

แต่เพื่อที่จะติดต่อนัทธี เพื่อที่จะหนีออกจากที่นี่ เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำแบบนี้

“ขอโทษ!” วารุณีกระซิบและหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตู

น่าเสียดายที่ประตูล็อคไว้ วารุณีไม่ได้หมุนเปิด

ทำให้วารุณีอดผิดหวังไม่ได้

ดูเหมือนเจ้าของห้องนี้จะระวังตัวมาก ออกไปข้างนอกก็ต้องล็อคห้องไว้

วารุณีปล่อยมือและมองไปยังอีกห้องถัดไป

อีกสองห้องไม่ได้ล็อค แต่ไม่มีเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ใด ๆยกเว้นลิฟต์และเฟอร์นิเจอร์

ดูแล้วชั้นสองจะไม่มีหวัง

วารุณีถอนหายใจและเดินไปที่ชั้นสาม

ชั้น 3 เป็นชั้นที่เธอพักอยู่ก่อนหน้านี้ เธอไม่ได้ไปห้องที่เธอพัก แต่เดินตรงไปที่ห้องอื่นเลย

คราวนี้ วารุณีเจออุปสรรคอีกแล้ว ห้องบนชั้นสาม เหมือนกับชั้นสองที่ถูกล็อคเอาไว้ เธอเข้าไปไม่ได้

สิ่งนี้ทำให้วารุณีหงุดหงิดและอกจะแตก แต่ในขณะเดียวกันก็มีความหวังขึ้นมา

ล็อคห้องไว้แบบนี้ แสดงว่าต้องมีของสำคัญอะไรแน่ ๆ

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เธอต้องหาทางสืบให้ได้ เผื่อมีบางอย่างที่ใช้ติดต่อโลกภายนอกได้