อวี้จิ่นมั่นใจมากว่าคราวนี้เขาจะชนะเสียนเฟย
เนื่องจากเขารู้จักนิสัยของเสียนเฟยเป็นอย่างดีจึงรู้ว่าหากเสียนเฟยทราบว่าเขากลับมาถึงเมื่อวาน แต่ไม่ได้มาที่ตำหนักอวี้เฉวียน นางจะต้องไม่พอใจ
ความไม่พอใจนี้หากเป็นเมื่อก่อนนางคงไม่แสดงออก แต่หลังจากที่เสียนเฟยวางแผนกำจัดเจียงซื่อแล้ว เรื่องนี้คงต่างออกไป
มีความเป็นไปได้สูงว่าเสียนเฟยจะฟ้องเรื่องนี้แก่ฮ่องเต้ แต่คนกตัญญูอย่างจิ่งหมิงฮ่องเต้จะต้องมาคิดบัญชีกับเขาแน่นอน
ฉะนั้นแล้วอวี้จิ่นจึงกะเวลาไว้เสร็จสรรพ และเป็นฝ่ายเข้ามาเยี่ยมเสียนเฟยก่อน
นี่คือบทเรียนแรกที่เขามอบให้เสียนเฟย
หลังจากที่เสียนเฟยฟ้องเรื่องนี้แก่ฮ่องเต้แล้ว อวี้จิ่นก็เข้ามาหานาง ไม่ว่าเป็นใครก็คงคิดว่าเขาคงเข้ามาเยี่ยมเสียนเฟยเพราะเป็นรับสั่งของฮ่องเต้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ยามที่เสียนเฟยกล่าวหาเขาต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะเป็นการทิ้งภาพจำที่ไม่ดีให้แก่ฮ่องเต้
เขาวางแผนไว้ว่า ขณะที่เขาจะพูดจายั่วยุให้เสียนเฟยโกรธแค้นจะให้มีบุคคลที่สามอยู่ในเหตุการณ์ไม่ได้
ไม่ว่าเรื่องอะไร หลักฐานถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะพยานบุคคล
เมื่อไม่มีผู้ใดแก้ต่างให้เสียนเฟยได้ ฉะนั้นแล้วจิ่งหมิงฮ่องเต้จะเชื่อคำกล่าวของเสียนเฟยได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ติดภาพจำที่ไม่ดีก่อนหน้านี้
เรียกได้ว่า อวี้จิ่นคำนวณเหตุการณ์ทั้งหมดไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ตอนนี้เขามีทั้งภรรยาและลูกน้อย ฉะนั้นจะประมาทไม่ได้ ต่อให้มีความกล้าชาญชัยเพียงใดก็ต้องใช้ควบคู่ไปกับปัญญา
“ที่เหนียงเหนียงพิโรธถึงเพียงนี้เป็นความผิดของกระหม่อมเอง ขอเสด็จพ่อลงโทษลูกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยเห็นภาพตรงหน้าก็โกรธจนตัวสั่น อกของนางกระเพื่อมขึ้นลงเร็วรี่ “ไอ้คนชั่ว…โกหกหน้าด้านๆ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ใคร่จะฟังถ้อยคำหยาบคายจึงเอ่ยเตือน “เสียนเฟย อย่างไรเจ้าเจ็ดก็เป็นถึงชินอ๋อง หากเขาทำผิดเรื่องใด เจ้าก็ชี้แจงแถลงไขไปตามเรื่อง อย่าทำให้บ่าวรับใช้ต้องมาหัวเราะเยาะเลย”
เสียนเฟยโกรธขึ้งแทบกระอักเลือด
ก็นางบอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าคนชั่วนี่ไม่เห็นนางเป็นมารดา แต่ฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อ!
เดี๋ยวนะ ฝ่าบาทไม่เชื่อ…
เสียนเฟยหน้าซีดทันใดราวกับว่าร่างกายสูญเสียการควบคุม นางในตอนนี้พร้อมจะพังทลายลงทุกเมื่อ
แต่ในชั่วพริบตา นางก็ค่อยๆ สงบลง
จากที่เห็น ฝ่าบาทไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูด ฉะนั้นหากนางยังกัดไอ้ลูกชั่วไม่ยอมปล่อยจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองเปล่าๆ
“หม่อมฉันควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เป็นเพราะเสียใจเรื่องเจ้าเจ็ด…” เสียนเฟยฝืนยิ้ม
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องหน้าอวี้จิ่นพลางเอ่ยเสียงเข้ม “ยังนิ่งอยู่ไย ยังไม่รีบขอโทษมารดาของเจ้าอีก!”
อวี้จิ่นหันมาทำความเคารพเสียนเฟยพร้อมเอ่ยเสียงดังฟังชัด “ที่เหนียงเหนียงพิโรธเป็นความผิดของกระหม่อมเอง เหนียงเหนียงโปรดอย่าได้ถือสากระหม่อมเลย เกรงว่าพระวรกายของพระองค์จะแย่เอาพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มได้ “สายใยแม่ลูกมิอาจตัดขาดได้ในชั่วข้ามคืน เสียนเฟย เจ้าเจ็ดออกจากวังไปตั้งแต่ยังเล็ก เขายังไม่เข้าใจเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติ เจ้าก็อภัยให้เขาหน่อย หากเก็บมาคิดก็มีแต่จะทำให้ร่างกายของเจ้าแย่ลง”
เสียนเฟยหมดคำจะพูดจึงได้แต่พยักหน้ารับ
“เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่” จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองไปที่อวี้จิ่น
อวี้จิ่นสั่นหัว “ทีแรกมีเรื่องจะคุยกับเหนียงเหนียง ทว่าตอนนี้ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีก็รีบๆ ออกไป แล้วอย่าทำให้มารดาของเจ้าต้องโกรธอีก”
อวี้จิ่นลุกขึ้นในขณะที่ยังคงก้มหน้าแล้วจึงตอบรับแผ่วเบา
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองเหล่านางในด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะหันไปพยักหน้าให้เสียนเฟย “ข้ามีธุระกับขุนนางต้องขอกลับก่อน อ้ายเฟยก็พักรักษาตัวให้ดี อย่าหงุดหงิดร้อนใจอีกเลย”
เชิญเขามาที่ตำหนักในวันเดียวกันถึงสองครั้ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงมีแต่เสียนเฟยที่เป็นสุข ส่วนเขาคงเป็นทุกข์จนอาหารไม่ย่อยแน่ๆ
เสียนเฟยขยับริมฝีปากอยากจะบอกให้ฮ่องเต้อยู่ต่อ แต่พูดไม่ออก จึงทำได้เพียงนิ่งมองฮ่องเต้เดินจากไป แต่ในขณะนั้นเอง นางได้ยินจิ่งหมิงฮ่องเต้ตะโกนเรียก “เจ้าเจ็ด ช้าก่อน”
เพียงไม่นาน ในตำหนักอวี้เฉวียนก็เหลือเฉพาะคนของตำหนัก เสียนเฟยดึงหน้าเครียดขมึงก่อนจะคว้างถ้วยชาลงบนพื้น นางกัดฟันกรอดพลางหันไปสั่งแม่นมคนสนิท “เรียกฉีอ๋องเข้าวังมาเดี๋ยวนี้”
แม้เมื่อครู่ปากของฮ่องเต้จะตำหนิลูกทรพี แต่ความจริงคนแพ้คือนางเอง
ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับความกตัญญูขนาดนั้น แต่การที่ทำเป็นต่อว่าบุตรชายของนางแต่หลับหลังกลับไปพูดดีด้วย แบบนี้ไม่เรียกตบหน้านางแล้วจะเรียกว่าอะไร
อีกอย่างไอ้ลูกทรพีตั้งใจมาหาเรื่องนางถึงตำหนักอวี้เฉวียนเพื่อให้นางเสียหน้าต่อหน้าฝ่าบาท!
เสียนเฟยทราบดีว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มหมดความอดทนกับนาง
แต่เรื่องนี้จะโทษฝ่าบาทคงไม่ได้ ต่อให้เป็นฮองเฮา การเรียกฝ่าบาทให้มาหาถึงที่สองครั้งติดกัน ฝ่าบาทย่อมหมดความอดทนเป็นธรรมดา
หากจะโทษก็ต้องโทษคนสามานย์นั่น!
ขณะที่เสียนเฟยกำลังกระฟัดกระเฟียดนางก็ได้ยินเสียงแมวร้อง
“เหมียว…”
นางหันไปหาต้นตอของเสียงและพบว่ามีแมวสีขาวตัวหนึ่งกำลังก้มหัวดมน้ำชาที่หกอยู่ที่พื้นท่ามกลางเศษถ้วยกระเบื้องที่แตกละเอียด
“สัตว์หน้าขนนี้มาจากไหน” เสียนเฟยไม่ชอบแมวและสุนัข สีหน้าของนางเปลี่ยนไปในทันที
แม่นมคนสนิทรีบบอก “เหนียงเหนียง นี่คือจี๋เสียงที่ฝ่าบาททรงเลี้ยงไว้เพคะ!”
เสียนเฟยชะงักก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้
จู่ๆ หมู่นี้ในวังหลวงก็เกิดกระแสเลี้ยงแมวบ้าบอคอแตก ที่แท้ก็เป็นเพราะฝ่าบาททรงเลี้ยงแมว เหล่าข้าราชบริพารก็เลยพากันเลี้ยงตามนี่เอง
เมื่อแมวสีขาวตัวนี้เป็นของจิ่งหมิงฮ่องเต้ คนในวังก็ไม่กล้าไล่มันไป ได้แต่รอว่าเสียนเฟยจะตัดสินใจเช่นไร
เสียนเฟยไม่ชอบแมวที่สุด นางไม่รู้ว่าควรจัดการกับมันอย่างไรจึงได้แต่มองเจ้าแมวตาปริบๆ
เจ้าแมวส่งเสียงร้องแผ่วเบาหนหนึ่งพลางชำเลืองมาที่เสียนเฟยก่อนจะเดินนวยนาดไปตามทางของมัน
เสียนเฟยเห็นสายตาเหยียดหยามจากแววตาของเจ้าแมวตัวอ้วนกลม แต่ก็ไม่อาจตามไปไล่ตี ได้แต่ถอนหายใจอยู่อย่างนั้น พลางคิดว่าวันนี้คงเป็นวันแห่งความโชคร้ายของนาง
…..
จิ่งหมิงฮ่องเต้เรียกอวี้จิ่นให้หยุดรอ ก่อนที่ตนเองจะเดินตามมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ฮ่องเต้เดินไปพลางด่าโอรสพลาง “ไอ้ลูกตัวดี ที่เจ้าบอกว่าจะมาหาเสียนเฟย นี่คือวิธีเยี่ยมของเจ้างั้นรึ”
อวี้จิ่นทำหน้าเศร้า “ลูกไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันมามองบุตรชาย “สรุปแล้วเจ้าพูดอะไรกับหมู่เฟยของเจ้ากันแน่ ข้ารู้จักเสียนเฟยดี ปกติแล้วนางมิใช่คนที่จะระเบิดอารมณ์ออกมาง่ายๆ”
คนที่ชอบระเบิดอารมณ์กับคนที่โมโหง่ายก็ต่างกัน ไม่ว่าเสียนเฟยจะโมโหเพียงใด นางก็จะไม่ยอมพูดออกมา แต่เหตุใดถึงถูกเจ้าเจ็ดยั่วโมโหได้ถึงขั้นด่าทอเจ้าเจ็ดว่าเป็นลูกอกตัญญูต่อหน้าคนในตำหนักตั้งมากมาย
คำว่าอกตัญญูถือเป็นบาปร้ายแรง หากเจ้าเจ็ดถูกตราหน้าว่าเป็นลูกอกตัญญูเมื่อไหร่ เขาแย่แน่
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้ออกตัวปกป้องอวี้จิ่น เพียงแต่การที่บุตรมีปากเสียงกับมารดาใหญ่โตเพียงนี้ก็ไม่คุ้มกัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองโอรสที่ชอบก่อเรื่องด้วยความรู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่อคิดถึงเสียนเฟย เขากลับรู้สึกไม่พอใจยิ่งกว่า
เหตุใดคนที่เป็นมารดาถึงได้ใจร้ายใจดำกับบุตรถึงเพียงนี้ หากเป็นเจ้าสี่…
เมื่อคิดเช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจเสียนเฟยมากขึ้นไปอีก เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า
แต่ถึงอย่างไร การทำให้มารดาต้องเร้าโทสะก็เป็นความผิดของบุตรอย่างไม่ต้องสงสัย
“กระหม่อม…” อวี้จิ่นลังเลชั่วอึดใจแล้วใบหน้าของชายหนุ่มก็เรื่อสีเล็กน้อย “กระหม่อมก็แค่เอ่ยถึงท่าทีของเหนียงเหนียงยามที่ปฏิบัติต่อกระหม่อมและพี่สี่เท่านั้น…ไม่คิดว่าเหนียงเหนียง…”
กล่าวไปเพียงเท่านี้ ชายหนุ่มก็หัวเราะเยาะกับตัวเอง “ลูกไม่ควรเอ่ยเช่นนั้น เสด็จพ่อวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ ต่อไปนี้ลูกจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีจิ่งหมิงฮ่องเต้อยากจะตำหนิบุตรชายต่ออีกหน่อย แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ว่าไม่ลง
หากจะว่ากันตามจริง เสียนเฟยก็ลำเอียง…
“เอาเถอะ เรื่องไหนที่ไม่ควรพูด เจ้าก็อย่าพูด การถูกมารดาตราหน้าว่าอกตัญญูต่อหน้าคนอื่นไม่น่าภูมิใจนักหรอก”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชะงักฝีเท้า
อวี้จิ่นหันไปมองด้วยความสงสัย
“ข้าลืมจี๋เสียงไปเลย”