“จี๋เสียง?” อวี้จิ่นทำหน้าพิลึกพิลั่น
หากเขาจำไม่ผิด จี๋เสียงคือแมวตัวสีขาวที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรที่ตำหนักหย่างซินที่ชอบเมินฝ่าบาท
เจ้าแมวที่หุ่นเหมือนเอ้อร์หนิวตัวนั้น
ข้าหลวงสังเกตเห็นว่าจี๋เสียงมักจะเมินใส่ฮ่องเต้ พวกเขาจึงหาแมวตัวใหม่มาอีกสองตัว แต่ที่น่าแปลกคือไม่ว่าอย่างไรจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ติดใจเจ้าแมวสีขาวตัวนั้น เขามักจะป้อนเนื้อเส้นกับปลาตากแห้งตัวเล็กๆ แก่เจ้าแมว
แม้จี๋เสียงจะชอบเมินเจ้าของ แต่นั่นไม่ได้กระทบต่อการกินปลาแห้งของมัน นานวันเข้าเจ้าแมวรูปร่างปราดเปรียวก็กลายร่างเป็นแมวตัวอ้วนตุ๊ต๊ะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นอวี้จิ่นทำท่าทางแปลกๆ เขาจึงปั้นหน้าเคร่งขรึมพลางเอ่ยเนิบนาบ “ข้าแค่บังเอิญนึกขึ้นมาได้ ไปเถอะ”
ล้อเล่นหน่าก็แค่แมวตัวหนึ่ง เขาจะรีบร้อนไปตามหามันอย่างนั้นหรือ ก็ใช่น่ะสิ เพียงแต่ต้องไล่ไอ้ลูกชายกลับไปก่อน ไม่งั้นเขาจะดูไม่น่าเกรงขาม
ในใจก็กลัวว่าจี๋เสียงจะวิ่งหายไปและไปถูกใครรังแกเข้า จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงรีบส่งสายตาให้พานไห่
แม้พานไห่จะรับรู้ได้ถึงสัญญาณจากฮ่องเต้ และเข้าใจความหมายทั้งหมด แต่เขายังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เขาไม่ไปหาให้หรอก!
ไอ้เจ้าแมวขาวจอมเจ้าเล่ห์ตัวนั้นคงกำลังเฝ้าดูเสียนเฟยคว้างถ้วยระบายอารมณ์อยู่ที่ตำหนักอวี้เฉวียนก็เป็นได้ หากเขาไปตอนนี้มีแต่จะหาเรื่องให้ตัวเองต้องอารมณ์เสียเปล่าๆ อีกอย่างจี๋เสียงเล่นนึกจะวิ่งไปไหนก็วิ่ง ไม่รู้จักกฎระเบียบเลยสักนิด เวลาเขาถูกมันข่วน ฝ่าบาทก็ไม่ได้ลงโทษเจ้าแมว เขาเลยต้องมานั่งปลอบใจตัวเอง
ขันทีสูงวัยที่รู้สึกว่าความสำคัญของตัวเองตกอันดับรั้งท้ายเจ้าแมวหรี่ตาเดินดุ่มๆ กลับตำหนัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นว่าขันทีไร้ซึ่งการตอบสนองก็ร้อนใจ
ปกติพานไห่มิใช่คนเช่นนี้ วันนี้เป็นอะไรไปเล่า ไม่ยอมไปทำตามคำสั่งก็ว่าหนักแล้ว เหตุใดถึงได้ทำท่าทีแสนงอนเช่นนั้น
เป็นท่าทีเดียวกันกับที่เหล่านางสนมชอบทำใส่เขา
เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็หวั่นใจเล็กน้อย
เขาต้องคิดมากไปเองแน่!
เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงตำหนักหย่างซิน จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ร้อนใจอยากไปตามหาจี๋เสียงก็ชะงักฝีเท้าพลางกระแอมไอแผ่วเบา “อะแฮ่ม เจ้าเจ็ด เจ้ากลับไปเถอะ”
เดินมาจนจะถึงตำหนักหย่างซินแล้ว เจ้าคนนี้ไม่เห็นรึ
“ลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นถวายความเคารพอย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปผงกศีรษะให้พานไห่เล็กน้อย ขันทีผู้น้อยอีกคนเดินพาเขาออกไปส่ง
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นว่าอวี้จิ่นเดินห่างไปไกลแล้วก็รีบกลับหลังหันเดินกลับไปทางเก่า
พานไห่เอ่ยเตือน “ฝ่าบาท ผู้บัญชาการหันรอพระองค์อยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ปราดตามองไปที่พานไห่และตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไม หันหรานจะรอนิดรอหน่อยไม่ได้เลยรึ”
เหอะ รู้เรื่องส่วนตัวของข้าตั้งมากตั้งมาย ไม่สั่งหวัดหัวตาแก่หันหรานก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังไม่สำนึกบุญคุณ
พานไห่ตีตัวเอง “บ่าวพูดมากไปเองพ่ะย่ะค่ะ ว่าแต่พระองค์กำลังเสด็จไป…”
“ก็ต้องกลับไปหาจี๋เสียงน่ะสิ!” จิ่งหมิงฮ่องเต้กระแทกกระทั้นก่อนจะหันหลังกลับไป
เขามั่นใจแล้วว่าวันนี้พานไห่ไม่ได้พกสมองมาด้วย ถึงได้ดูเอื่อยเฉื่อยไม่รู้งานเหมือนทุกที หากเขาไม่ได้กลับไปหาจี๋เสียงแล้วจะให้เข้ากลับไปดูเสียนเฟยหรืออย่างไร
แค่กๆ ไม่ใช่ว่าเขาหมดใจกับเสียนเฟยหรอกนะ แต่วันนี้ก็ไปหาแล้วตั้งสองครั้ง ไปเยี่ยมไทเฮายังไม่ถี่ขนาดนี้
ข้าหลวงที่กำลังออกจากวังไปเชิญฉีอ๋องบังเอิญเจอฉีอ๋องที่กำลังเข้ามาน้อมทักเสียนเฟย
เมื่อเห็นข้าหลวงจากตำหนักอวี้เฉวียน ฉีอ๋องก็ขมวดคิ้วทันใด “นี่เจ้ากำลังจะไปไหน”
ข้าหลวงรีบตอบ “ท่านอ๋องเสด็จมาได้เวลาพอดี เหนียงเหนียงให้มาเชิญพระองค์ไปที่ตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
“เหนียงเหนียงเป็นอะไรงั้นหรือ”
“เหนียงเหนียงกริ้วเยี่ยนอ๋องเมื่อครู่ ขนาดฝ่าบาทยังเสด็จมาทอดพระเนตรเลยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของฉีอ๋องเปลี่ยนไปเล็กน้อย “มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ”
เขาไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดกับขันทีเพียงแต่รีบเดินไปให้ถึงตำหนักอวี้เฉวียนโดยเร็วที่สุด
ในตำหนักอวี้เฉวียน แม้ความสกปรกและไม่เป็นระเบียบบนพื้นถูกทำความสะอาดจนเรี่ยมแล้ว แต่ถึงกระนั้นในใจของเสียนเฟยกลับมีความคิดตีพันกันยุ่งเหยิง
นางมิได้สนิทสนมกับเจ้าเจ็ด แล้วเจ้าเจ็ดก็มิได้เห็นนางเป็นคนใกล้ชิด เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าเจ็ดจะแสดงท่าทีห่างเหินถึงขั้นลืมไปว่าตัวเองมีสถานะเป็นลูก
ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่า ต่อให้วันที่นางเสียชีวิต ลูกทรพีคนนี้ก็คงไม่มีน้ำตาสักหยดให้เห็น หรือหนักกว่านั้นคือเขาอาจปรบมือเฉลิมฉลองอยู่ก็เป็นได้
ยิ่งคิด เสียนเฟยก็ยิ่งแค้น
โชคดีที่ไม่นานข้าหลวงก็เข้ามารายงานว่าฉีอ๋องมาถึงแล้ว การมาถึงของฉีอ๋องทำลายบรรยากาศอึมครึมในตำหนักอวี้เฉวียนไปจนหมด
เสียนเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉีอ๋องกำลังเดินเข้ามา ความรู้สึกอบอุ่นก่อตัวขึ้นภายในใจ “เหตุใดถึงมาเร็วเช่นนี้”
ฉีอ๋องยินดีที่ได้รับความโปรดปราน เขากล่าว “ลูกเห็นว่าน้องเจ็ดเพิ่งกลับมาถึงเมื่อวาน คิดว่าเขาน่าจะเข้ามาเยี่ยมเสด็จแม่วันนี้ ลูกเลยมาด้วย เราทั้งสามจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา โอกาสดีๆ เช่นนี้หาได้ยากนัก”
เขากล่าวพลางเดินเข้ามาใกล้พร้อมใบหน้าที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใย “เหตุใดสีพระพักตร์ถึงได้หมองหม่นเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยส่งสัญญาณให้นางในทั้งหมดออกไปก่อนจะเอ่ยวาจาเย้ยหยัน “ไม่ถูกเจ้าเจ็ดลูกอกตัญญูทำให้โกรธจนสิ้นลมไปก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“เสด็จแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉีอ๋องฟัง แต่เพราะภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ถูกฉายซ้ำอีกครั้งทำให้อารมณ์เกรี้ยวกราดของนางปะทุขึ้นอีก นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไรเลย ยังจะไปทำตัวสนิทสนมกับคนชั่วเช่นนั้นอยู่ได้ ที่ข้าเห็น เขาคงเกลียดเราสองคนแม่ลูกเข้ากระดูกดำ ถึงได้ทำตัวร้ายกาจเช่นนั้น!”
“เสด็จแม่ น้องเจ็ดคงไม่ทำถึงขนาดนั้น…”
เสียนเฟยเลิกคิ้วสูง “เจ้าสี่ การจะทำดีกับใครสักคนก็ต้องดูด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ส่วนเจ้าเจ็ด เจ้าเลิกหวังเสียเถิด อย่าไปเพ้อฝันเรื่องสายใยพี่ชายน้องชายอีกเลย ขนาดกับมารดาที่คลอดเขาออกมา เขายังทำเหมือนเป็นคนอื่นคนไกล แล้วเขาจะดีกับพี่น้องได้อย่างไร”
ฉีอ๋องถอนหายใจพลางเอ่ยแผ่วเบา “ลูกไม่คิดเลยว่าน้องเจ็ดจะเป็นคนเช่นนี้ คิดว่ามีพี่น้องจะช่วยกันสนับสนุนเกื้อกูล จะได้…”
เสียนเฟยยกมือขึ้นปรามพลางกำชับ “นี่คือช่วงเวลาสำคัญ สู่อ๋องคือคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเจ้า ที่จะกลัวก็กลัวว่าเจ้าเจ็ดจะฉุดรั้งความเจริญของเจ้า ฉะนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้ดี”
ฉีอ๋องพยักหน้าจริงจัง “ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยโล่งใจกว่าเดิมเล็กน้อย
ลูกตัวดีกล้าทำกับนางถึงขนาดนี้เพราะคิดว่าฮ่องเต้ให้ท้าย คอยดูเถอะ หากเจ้าสี่ประสบความสำเร็จเมื่อไหร่ เขาก็เตรียมตัวได้เลย
“ฝ่าบาทเสด็จ…”
เสียงรายงานทำให้เสียนเฟยและฉีอ๋องชะงักงันก่อนที่จะหันมามองหน้ากัน
ในขณะที่ทั้งสองยังคงงงงัน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เดินเข้ามา เขาชำเลืองไปที่ฉีอ๋องแวบหนึ่งและเผลอขมวดคิ้ว “เจ้าสี่ เจ้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เขาเพิ่งจะกลับออกไปไม่นาน แล้วเจ้าสี่มาอยู่ที่ตำหนักอวี้เฉวียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้เก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้ในใจและมองไปที่ฉีอ๋อง
ฉีอ๋องรำพึงรำพันว่าซวยแล้วก่อนจะรีบถวายความเคารพจิ่งหมิงฮ่องเต้ “ลูกเข้ามาเยี่ยมหมู่เฟยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองเสียนเฟยพลางเอ่ยนิ่งๆ “เอ๋ เสียนเฟยกำลังป่วย เจ้าสี่ก็มาหารวดเร็วปานนี้ ช่างเป็นเด็กกตัญญูจริงๆ”
ข่าวลือไปถึงจวนฉีอ๋องไม่ไวไปหน่อยหรือ
ฉีอ๋องนิ่วหน้าเพราะรู้ว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังเข้าใจผิดจึงรีบอธิบาย “ตอนแรกลูกไม่ทราบว่าเสด็จแม่กำลังประชวรพ่ะย่ะค่ะ แต่เห็นว่ามิได้เข้ามาเยี่ยมเสด็จแม่หลายวันแล้ว วันนี้จึงเข้ามาที่วังพ่ะย่ะค่ะ…”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ยังคนเย็นชา “อืม เยี่ยมเสร็จแล้วก็กลับจวนเจ้าไปสิ”
ให้เขาเชื่อเรื่องบังเอิญขนาดนี้น่ะหรือ
เหอะ พูดเพื่อเอาตัวรอด เขาคร้านจะฟังเต็มทน สู้เอาเวลาไปหาจี๋เสียงดีกว่า