ครั้นฉีอ๋องเห็นท่าทีเมินเฉยของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ทราบได้โดยทันทีว่าฮ่องเต้ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาอธิบาย ในใจร่ำร้องโอดครวญแต่คำที่เอื้อนเอ่ยมีเพียง “เสด็จพ่อ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “หรือว่าเจ้ารอทานอาหารที่ตำหนักอวี้เฉวียน”
ฉีอ๋องยังจะอธิบายอะไรได้อีก เขาทำได้เพียงเดินคอตกกลับออกไป
“ฝ่าบาท พระองค์จะเสวยพระกระยาหารที่นี่หรือเพคะ” แม้เสียนเฟยจะข้องใจที่บุตรชายถูกเข้าใจผิด และยิ่งนางทราบสาเหตุ นางยิ่งไม่สบอารมณ์ แต่ทำได้เพียงเก็บความรู้สึกนั้นไว้
การที่ฮ่องเต้เสด็จไปแล้วและเสด็จกลับมาอีกช่วยปลอบประโลมนางได้มากทีเดียว
ฝ่าบาทคงเห็นใจนางที่ถูกเจ้าคนชั่วเร้าโทสะจึงกลับมาทานมื้อเที่ยงเป็นการปลอบใจนางอย่างนั้นหรือ
จะว่าไปแล้ว นานแล้วที่ฝ่าบาทไม่ได้อยู่เสวยมื้ออาหารกับนาง
เสียนเฟยมีความสุขได้เพียงชั่วครู่ก็ได้ยินจิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยว่า “อ้ายเฟยพักผ่อนเถิด ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ คงไม่ได้อยู่ทานอาหารด้วย”
เสียนเฟยผิดหวังยิ่งแต่มิได้แสดงออก นางเพียงฝืนยิ้มแล้วเดินออกไปส่งจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือปราม “อ้ายเฟยไม่สบาย ไม่ต้องออกไปส่งข้าหรอก”
เสียนเฟยจำใจยืนถวายความเคารพอยู่ตรงนั้น นางรอจนเงาของจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินหายไปทางประตูแล้วจึงเดินกลับมานั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาว สีหน้าของนางในตอนนี้ซีดเซียวยิ่งกว่าเก่า
วันนี้คงเป็นวันซวยของนางจริงๆ นอกจากจะโดนลูกทรพียั่วโมโหจนเกือบจะสิ้นใจ เจ้าสี่ยังถูกฝ่าบาทเข้าใจผิด
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ การที่ฝ่าบาททรงคิดว่าเจ้าสี่ทราบความเป็นไปของวังหลวงมิใช่เรื่องดี
แม้ฮ่องเต้ในวัยกลางคนจะมีความคิดว่าจะเลือกองค์รัชทายาท แต่ถึงกระนั้นการเห็นโอรสมีความทะเยอทะยานมากจนเกินไปก็ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย
ความสัมพันธ์ขององค์จักรพรรดิและองค์รัชทายาทเปรียบเสมือนหอกกับโล่ ฮ่องเต้คาดหวังให้รัชทายาทเก่งกล้าสามารถเพื่อจะได้มีคนสืบทอดบัลลังก์ได้อย่างราบรื่น แต่ก็มิใช่ว่าอยากให้รัชทายาทโดดเด่นกว่าตน ตราบใดที่เขายังไม่ลงจากบัลลังก์ เขาก็ไม่อยากเป็นคนที่ถูกลืม
ตำแหน่งที่สูงที่สุดมีคนครอบครองได้เพียงหนึ่งเดียว ไม่ว่าผู้ใดต่อให้เป็นคนใกล้ชิด หากคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรรับรู้ได้ถึงภยันตราย เขาก็จะสั่งลงดาบโดยไม่ลังเล
เสียนเฟยทราบในจุดนี้ดี นั่นยิ่งทำให้นางเป็นทุกข์หนัก นางเรียกข้าหลวงเข้ามาถาม “ก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จไปได้ตรัสอะไรไว้หรือไม่”
ฝ่าบาทมิได้ตั้งใจมาร่วมมื้ออาหารกับนาง แล้วการกลับมาที่ตำหนักอวี้เฉวียนอีกครั้งหมายความว่าอย่างไร คงมิใช่เพราะได้ยินว่าเจ้าสี่เข้ามาที่วังหลวง ถึงได้มาจัดการเจ้าสี่ถึงที่หรอกกระมัง
แต่ตามสัญชาตญาณของนาง นางรู้สึกว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้มีนิสัยเช่นนั้น
ข้าหลวงลังเลก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา “พานกงกงมาถามว่าเห็นจี๋เสียงบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยชะงักไปในทันใด หน้าซีดเซียวของนางแดงระเรื่อก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำหม่น มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อสั่นระริก
ที่แท้ฝ่าบาทก็มาตามหาแมว!
ที่แท้แมวก็สำคัญกว่านาง
กับอีแค่แมวตัวเดียว!
เสียนเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น จิตใจปั่นป่วนชวนอึดอัดประหนึ่งมีบางอย่างจุกอยู่ที่คอ
ฉีอ๋องที่เดินออกมาจากตำหนักอวี้เฉวียนหงุดหงิดใจไม่แพ้กัน ขาแต่ละข้างถูกลากให้เดินไปในขณะที่สติยังคงล่องลอย
เขายังไม่ทันทำอะไรเลย เหตุใดเสด็จพ่อถึงกลอกตาใส่
แม้จะอธิบายแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล
ในวินาทีนั้น ฉีอ๋องเข้าใจความรู้สึกของอดีตไท่จื่อ
กว่าอดีตไท่จื่อจะรวบรวมความกล้าที่จะโค่นบัลลังก์ก็เล่นเอาอายุปาไปตั้งเท่าไหร่ การทำเช่นนั้นก็มิใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเสียด้วย
ในขณะที่ฉีอ๋องเดินออกจากวังด้วยอาการมึนงง ลมเย็นเยือกก็พัดปะทะเข้าร่างของชายหนุ่มจนเขาค่อยๆ ได้สติ ในเพียงชั่วแล่น สายตาของเขากลับขับประกายแน่วแน่
เสด็จพ่อแค่เข้าใจผิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มิได้หนักหนา รักมากก็เข้มงวดมากเป็นธรรมดา คงเป็นเพราะเสด็จพ่อให้ความสำคัญกับเขา เห็นว่าเขามีคุณสมบัติที่จะได้เป็นองค์รัชทายาทจึงเข้มงวดกับเขาถึงเพียงนี้
จริงด้วย เหมือนกับเวลาที่เสด็จพ่อทำกับอดีตไท่จื่อ
แต่กับเจ้าเจ็ดหรือเจ้าแปดที่ไม่มีโอกาสจะได้ขึ้นมานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ เสด็จพ่อถึงได้ใจกว้างกับทั้งคู่เสมอ
ไม่มีผู้ใดตั้งความหวังอันสูงส่งกับท่านอ๋องที่อยู่ว่างไปวันๆ การที่ท่านอ๋องไม่เอาไหนเหล่านั้นไม่เข่นฆ่าราษฎร หรือเอาใจฝักใฝ่ในเรื่องประเวณีก็ดีแค่ไหนแล้ว
ในขณะที่ฉีอ๋องกำลังปลอบใจตัวเองก็เห็นอวี้จิ่นอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“น้องเจ็ด ช้าก่อน…” ฉีอ๋องควบม้าตามไป
อวี้จิ่นดึงสายบังเหียน เมื่อหันไปเห็นฉีอ๋อง ชายหนุ่มก็มิได้กล่าวคำใด
ฉีอ๋องถอนหายใจ “น้องเจ็ด พบหน้าข้าจะไม่เรียกพี่ชายสักคำเลยรึ”
แม้ว่าใบหน้าจะเศร้าหม่น แต่เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายในใจของเขากลับเริงร่า
ยิ่งอวี้จิ่นไม่ทำตัวไม่เอาไหนมากเท่าไหร่ เสด็จพ่อก็ยิ่งใจดีกับเขามากเท่านั้น
“มีอะไร” อวี้จิ่นเอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ความเกลียดทวีขึ้นเรื่อยๆ
เสียนเฟยและฉีอ๋องนี่มันแม่ลูกกันโดยแท้ ชอบแสดงละครเหมือนกันไม่มีผิด
“น้องเจ็ด วันนี้ข้ามาเยี่ยมหมู่เฟย ได้ยินหมู่เฟยตรัสว่า…” ฉีอ๋องยังพูดไม่จบประโยคก็ถูกตัดบทด้วยคำว่า “เหอะ”
อวี้จิ่นยิ้มมุมปาก “เสด็จพ่อมิได้ตรัสชมว่าพี่สี่เป็นลูกกตัญญูหรอกหรือ”
ฮ่องเต้รีบไล่เขากลับไปเพื่อที่ว่าตัวเองจะได้รีบกลับไปหาแมวที่ตำหนักอวี้เฉวียน หากคำนวณเวลาดูแล้ว น่าจะเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าสี่กำลังเข้าเฝ้าเสียนเฟย
แค่ลองจินตนาการภาพเหตุการณ์ รอยยิ้มของอวี้จิ่นก็ลุ่มลึกกว่าเก่า
ไม่ว่าฉีอ๋องจะมีสภาวะอารมณ์มั่นคงเพียงใด แต่เมื่อได้ยินอวี้จิ่นกล่าวเช่นนั้นก็อดถามไม่ได้ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ไม่แปลกที่ฉีอ๋องจะรู้สึกประหลาดใจ จิ่งหมิงอฮ่องเต้พูดคำว่า ‘ลูกกตัญญู’ กับเขาจริง แต่นั่นมิใช่คำชม แต่เป็นการพูดกระแทกกระทั้น
เรื่องที่เสด็จพ่อพูดกระแทกใส่เขา เจ้าเจ็ดรู้ได้อย่างไร
ฉีอ๋องฉงนหนัก ในขณะที่อวี้จิ่นส่งยิ้มจางๆ ด้วยความรู้สึกสงบนิ่ง “ใครต่างก็รู้ว่าพี่สี่เป็นคนกตัญญู แล้วข้าจะไม่ทราบได้อย่างไร”
ฉีอ๋องเก็บความสงสัยนั้นไว้ก่อนและเอ่ยโน้มน้าวด้วยท่าทีจริงจัง “น้องเจ็ด ข้ารู้ดีว่าเจ้าและเสด็จแม่ไม่ลงรอยกัน แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ควรระลึกไว้เสมอว่าเสด็จแม่อุ้มท้องเจ้ามาตั้งสิบเดือน ที่เจ้าต้องออกจากวังไปตั้งแต่เกิดก็มิใช่พระประสงค์ของเสด็จแม่…”
“เอ๋ หากจะเอ่ยเช่นนี้ ก็หมายความว่าเสด็จพ่อเป็นต้นเหตุที่ทำให้มารดาและบุตรต้องแยกจากกันงั้นหรือ”
สีหน้าของฉีอ๋องเปลี่ยนไปโดยพลัน เขารีบเอื้อมมือไปปิดปากอวี้จิ่น “น้องเจ็ด อย่าพูดเช่นนี้ซิ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”
เขาอุตส่าห์ใช้หลัก ‘ความกตัญญู’ มาเสียดสีเจ้าเจ็ด แต่กลายเป็นว่ากลับลากเสด็จพ่อเข้ามาเอี่ยวด้วยเสียอย่างนั้น
ความผิดน้อยใหญ่ทั้งหลายแหล่จะโทษผู้ใดก็ได้ที่มิใช่เสด็จพ่อ
ฉีอ๋องไม่กล้าต่อความยาวสาวความยืด
ในวินาทีนั้น เขารับรู้ได้ทันทีว่าการรับมือกับอีกฝ่ายเป็นเรื่องยากยิ่ง
แม้เจ้าเจ็ดจะดูเหมือนพวกนักเลงหัวไม้ที่พร้อมจะตีรันฟันแทงได้ทุกเมื่อ เจ้าห้าก็มีนิสัยเช่นนี้ แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขันเสียมากกว่า แต่เจ้าเจ็ดมิได้ให้ความรู้สึกเช่นนั้น
สาเหตุชัดเจนในตัวอยู่แล้ว ความไม่ยั้งคิดของเจ้าห้าทำให้ตำแหน่งชินอ๋องหลุดมือไป แต่ทุกครั้งไม่ว่าเจ้าเจ็ดจะทำอะไร เคราะห์ร้ายมักจะตกแก่คนที่เจ้าเจ็ดหมายตา
หรือนี่คือประสงค์ของสวรรค์
บางที คู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาอาจไม่ใช่เจ้าหก แต่เป็นเจ้าเจ็ด… สายตาจดจ้องไปที่คนที่กำลังยิ้มอยู่ตรงหน้า ในวินาทีนั้นฉีอ๋องก็บรรลุในทันใด
เมื่อเห็นว่าท่าทีของฉีอ๋องเปลี่ยนไปแต่ไม่กล้าหาเรื่องเขา อวี้จิ่นก็ไม่ใคร่จะสนทนาต่อ เขาเพียงแต่เอ่ยเสียงเรียบ “ข้ามีเรื่องหนึ่งจะรบกวนพี่สี่”
“เรื่องอะไรรึ” ฉีอ๋องถามด้วยความสงสัย
“ทีหน้าทีหลังอย่าได้สะเออะมาสอนข้าอีก เพราะพี่มิใช่คนที่มีคุณสมบัติจะทำเช่นนั้น” ครั้นกล่าวจบอวี้จิ่นก็ส่งยิ้มเล็กน้อยก่อนจะควบม้าตะบึงไป
ฝุ่นละอองลอยฟุ้งเข้าที่หน้าของฉีอ๋องจนเขาเกือบตกลงจากหลังม้า
อวี้จิ่นไม่ได้ตรงกลับไปที่จวนอ๋อง แต่กลับมุ่งหน้าไปที่จวนตงผิงปั๋ว
จวนตงผิงปั๋วจัดงานเลี้ยงเป็นเวลาสามวันสามคืนเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการกลับมาของเจียงจั้น และบอกให้ทราบโดยทั่วกันว่าคุณชายรองเจียงยังมีชีวิตอยู่ ฝ่ายเจียงซื่อเดินทางไปถึงจวนปั๋วก่อนแล้ว
อวี้จิ่นตั้งใจจะไปร่วมงานที่จวนปั๋วและถือโอกาสรับภรรยากลับมาด้วย