ในวันนี้จวนตงผิงปั๋วครึกครื้นยิ่งนัก ที่ด้านหน้ามีรถม้าเคลื่อนมาจอดเทียบท่าคันแล้วคันเล่า โต๊ะอาหารถูกวางเรียงรายเป็นทางยาวเหยียดไปจนถึงหน้าถนน
บนโต๊ะอาหาร จานเปล่าและถ้วยเปล่าถูกยกออกไป ส่วนถ้วยเปล่าก็ถูกรินให้เต็มด้วยสุรารสเลิศ ผู้คนที่สัญจรไปมาสามารถเพลิดเพลินกับมื้ออาหารได้อย่างอิ่มหนำสำราญโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงิน
ในขณะนั้นจวนปั๋วมิได้นึกเสียดายเงินทองที่ถูกจับจ่ายออกไปประหนึ่งสายน้ำ
ในมุมของเฝิงเหล่าฮูหยินคือเงินทองควรถูกใช้ในยามที่จำเป็น และนี่คือยามจำเป็นในความคิดของนาง
จะมีเรื่องใดน่าเฉลิมฉลองไปมากกว่าการได้สืบทอดตำแหน่ง นี่คือเกียรติภูมิอันน่าภาคภูมิใจแก่บรรพชน จวนหลังนี้รุ่งโรจน์ในยุคที่นางเป็นผู้ดูแล หลังจากนี้นางจะได้กลับไปพบบรรพบุรุษได้อย่างเต็มภาคภูมิ
นางจะใช้โอกาสที่หลานชายกลับมาโดยสวัสดิภาพจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ใครจะว่าจวนปั๋วใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายคงไม่ได้
เงินนี้ควรแก่การใช้ยิ่งนัก
อาหารที่ตั้งเกลื่อนตากลมอยู่ด้านนอกแตกต่างจากอาหารที่ถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถันสำหรับแขกสูงศักดิ์ด้านใน
ในงานเลี้ยงวันนี้มีแขกมาร่วมมากมาย สมาชิกราชวงศ์ให้เกียรติมาร่วมงานเพราะเห็นแก่หน้าของเยี่ยนอ๋อง
การที่ฮ่องเต้อนุญาตให้เยี่ยนอ๋องเดินทางลงใต้พอบอกเป็นนัยได้ว่าท่าทีของฮ่องเต้ต่อโอรสองค์นี้เป็นเช่นไร อีกทั้งเยี่ยนอ๋องยังพาตงผิงปั๋วซื่อจื่อกลับมาอย่างปลอดภัย นั่นยิ่งทำให้คนอดคิดไม่ได้ว่าความประทับใจของฮ่องเต้น่าจะเพิ่มพูนมากกว่าก่อน
ฉะนั้นใครต่างก็ยินยอมพร้อมใจมาร่วมงานเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติแก่โอรสองค์โปรดของฮ่องเต้
ในความคิดของใครหลายคนอาจคิดว่า เยี่ยนอ๋องไร้วี่แววจะแย่งชิงตำแหน่งนั้น ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าองค์ชายองค์อื่นๆ จะคิดเห็นเช่นไร
แต่หากเป็นฉีอ๋องและสู่อ๋อง…ควรทำตัวเป็นมิตรกับทั้งคู่ไว้ก่อนจะดีกว่า ยังไม่ควรออกตัวเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่งในช่วงเวลาเช่นนี้
เฝิงเหล่าฮูหยินรู้สึกพอใจยามที่ถูกห้อมล้อมด้วยเหล่าสตรีสูงศักดิ์มากมาย แต่เนื่องจากอายุของนางมากแล้วจึงอยู่ในงานได้เพียงไม่นานก็ต้องขอตัวเสียก่อน “หญิงชราอย่างข้าต้องกราบขออภัยหากไม่ได้ต้อนรับท่านทั้งหลายอย่างสมเกียรติ ขอท่านทั้งหลายโปรดอย่าถือสา”
ทุกคนในบริเวณนั้นเอ่ยว่า “เหล่าฮูหยินต้องพักผ่อนให้มากนะเจ้าคะ พวกข้าแค่มีชาให้ดื่มก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ”
จวนตงผิงปั๋วจำเริญขึ้น ท่าทีของพวกนางที่ปฏิบัติต่อเหล่าฮูหยินก็นอบน้อมมากขึ้นตามกาลเวลา โดยเฉพาะในวันที่เยี่ยนอ๋องมาร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้
สาวรับใช้พยุงเฝิงเหล่าฮูหยินให้ลุกขึ้น
ในจังหวะเดียวกัน เจียงซื่อก็ลุกขึ้นพลางกล่าว “ท่านย่า ข้าพาท่านย่าไปพักก่อนจะดีกว่า”
เฝิงเหล่าฮูหยินชะงักชั่วครู่ รอยเหี่ยวย่นบนหน้าคลายตัวลง เห็นได้ชัดว่ายามอยู่ต่อหน้าคนมากมายเจียงซื่อเอาอกเอาใจนางเป็นอย่างดี แต่หญิงชรากลับเอ่ยว่า “พระชายาอยู่สนทนากับบรรดาฮูหยินเถิด”
เจียงซื่อยังคงยืนกราน “ให้ข้าไปส่งท่านย่าก่อน แล้วเดี๋ยวข้าค่อยกลับมาใหม่”
“เชิญพระชายาตามสบายเถิดเพคะ”
“พระชายาช่างเป็นคนกตัญญูรู้คุณเหลือเกินเพคะ…”
เจียงซื่อรับฟังคำชมเหล่านั้นโดยมิได้รู้สึกตะขิดตะขวง ส่วนเฝิงเหล่าฮูหยินก็ยิ้มหน้าชื่นตาบาน นางหันไปพยักหน้าให้กัวซื่อซานไท่ไท่เล็กน้อย “เจ้าอยู่ดูแลฮูหยินทั้งหลายก็แล้วกัน”
กัวซื่อค้อมหลังเล็กน้อย ความสงสัยเกิดขึ้นในใจ ปกติพระชายามิได้สุภาพกับเหล่าฮูหยินถึงเพียงนี้ วันนี้เป็นอะไรไป
ขณะที่สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ กัวซื่อก็ลงความเห็นในใจว่า พระชายาคงไม่อยากเอ่ยวาจาดูหมิ่นท่านแม่ต่อหน้าคนหมู่มากกระมัง
แต่เจียงซื่อที่เดินออกไปพร้อมเฝิงเหล่าฮูหยินกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
สาเหตุที่นางเดินออกมาส่งเฝิงเหล่าฮูหยินเพราะตั้งใจจะหาจังหวะสนทนาเรื่องในอดีตกับนาง
ครั้นเดินมาส่งเหล่าฮูหยินถึงห้องหน่วนเก๋อแล้ว เจียงซื่อไม่ได้กลับเข้าไปทันที นางหันไปสั่งสาวรับใช้ “พวกเจ้าออกไปก่อน”
สาวรับใช้ชำเลืองไปทางเฝิงเหล่าฮูหยิน
เฝิงเหล่าฮูหยินยังภาคภูมิใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หายจึงพยักหน้ารับโดยง่าย
สาวรับใช้ถอยออกไปพร้อมปิดประตู ทั้งห้องเหลือเพียงสองย่าหลาน
เฝิงเหล่าฮูหยินทำหน้าจริงจัง “พระชายาคงมีธุระอะไรกับข้างั้นซินะ”
เจียงซื่อคลี่ยิ้ม “ท่านย่าทายถูกแล้ว หลานมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามท่านย่า”
เฝิงเหล่าฮูหยินได้ยินดังนั้นก็รีบรวบรวมสติ
เจ้าหนูสี่ผิดแผกไปจากปกติเพียงนี้ เรื่องที่นางกำลังจะถามคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป
“ว่ามาสิ”
เจียงซื่อเผยท่าทีลังเลชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด “ท่านย่าสนิทกับท่านยายของหลานหรือไม่เจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินผงะไปในทันใด
นางเดาคำถามไว้มากมาย แต่ไม่มีคำถามไหนเกี่ยวข้องกับเหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวเลยสักคำถามเดียว
เหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวและเฝิงเหล่าฮูหยินเป็นคนรุ่นเดียวกัน หากย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ทั้งคู่ก็เคยร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ พวกนางมีโอกาสได้พบปะกันบ่อยครั้ง แต่หากจะถามว่าสนิทกันหรือไม่ คงต้องตอบว่าไม่
เฝิงเหล่าฮูหยินเดาไม่ออกว่าเจียงซื่อต้องการจะสื่ออะไร นางจึงตอบออกไปตรงๆ “ไม่อาจเรียกว่าสนิท เพียงแต่รู้จักกันเท่านั้น”
เมื่อเริ่มต้นบทสนทนาเช่นนี้ เจียงซื่อก็ไม่ได้ติดใจ นางเพียงแต่ถามว่า “เช่นนั้นท่านย่าพอจะทราบหรือไม่ว่าท่านยายสนิทกับผู้ใด หรือมักจะไปมาหาสู่กับผู้ใดเป็นพิเศษ”
ทั้งคู่อยู่ในแวววงของสตรีชั้นสูงในเมืองหลวง อีกทั้งยังมีอายุอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน แม้เจียงซื่อจะเชื่อว่าเฝิงเหล่าฮูหยินและเหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวไม่สนิทกัน แต่อย่างน้อยๆ ก็น่าจะพอทราบความเป็นไปของกันและกันพอประมาณ
การไปเยี่ยมเหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวเมื่อวานทำให้เจียงซื่อมั่นใจว่านางกำลังปิดบังบางอย่าง ในเมื่อเหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวไม่ยอมพูด เจียงซื่อก็ไม่อาจคาดคั้น
จากสถานะของนาง หากต้องไปไล่ถามเรื่องของยายตัวเองจากคนอื่นๆ นางก็เห็นว่าเฝิงเหล่าฮูหยินน่าจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด
น้ำเสียงของเฝิงเหล่าฮูหยินเจือไปด้วยความสงสัย “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมกัน”
เจียงซื่อยิ้มกว้าง “หากท่านย่าทราบก็แค่ตอบหลานมาเถิด”
ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้ เจียงซื่อก็มองไปที่เฝิงเหล่าฮูหยินอย่างสื่อความหมาย นางกะพริบตาพลางเอ่ย “แล้วหลานจะตอบแทนด้วยไมตรี”
เฝิงเหล่าฮูหยินเลิกซักไซ้
แค่การเล่าเรื่องในอดีต แล้วจะได้รับสิ่งตอบแทนจากเจ้าหนูสี่ ก็นับว่าไม่เลวทีเดียว
จนถึงตอนนี้ เฝิงเหล่าฮูหยินทราบแล้วว่าหลานสาวของนางคนนี้มิได้ให้ความสำคัญกับคำว่าวงศ์ตระกูลปานนั้น การขอให้นางช่วยเหลือจวนปั๋วโดยจะใช้ข้ออ้างว่าเป็นผู้ใหญ่ในครอบครัวคงไม่ได้
ฉะนั้นไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่เจ้าหนูสี่รับปากว่าจะตอบแทนด้วยไมตรี ประจวบเหมาะกับที่ในปีนี้หลานชายคนโตของนางกำลังจะสอบชิวเหวย หากชังเอ๋อร์เริ่มเข้าสู่สายอาชีพ แรงสนับสนุนจากเจ้าหนูสี่คงช่วยให้อนาคตของเขารุ่งโรจน์ไม่น้อย
เมื่อคิดตกเช่นนี้ เฝิงเหล่าฮูหยินก็เอ่ยว่า “แม้ว่าข้าจะไม่สนิทกับท่านยายของเจ้า แต่ก็รู้ว่านางสนิทกับใครมากที่สุด”
เฝิงเหล่าฮูหยินเว้นวรรคก่อนที่น้ำเสียงและท่าทีของนางจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เพราะสถานะของคนผู้นั้นไม่ธรรมดา ฉะนั้นแล้วเหล่าสตรีสูงศักดิ์ที่เป็นรุ่นราวคราวเดียวกับข้าล้วนแต่จำเรื่องนี้ได้ทั้งนั้น”
โดยมากแล้ว หากไม่สนิทกันก็ไม่น่าจะจำได้ว่าอีกฝ่ายสนิทกับใครเป็นพิเศษ เมื่อวันเวลาผ่านไป เรื่องเหล่านี้มักจะเลือนหายไปในความทรงจำ แต่เพราะคนที่เหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวสนิทสนมด้วยมิใช่คนธรรมดา ฉะนั้นแล้วนางจึงจำเรื่องนี้ได้แม้น
“คนผู้นั้นคือ…”
เฝิงเหล่าฮูหยินคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “ไทเฮา”
ขนตาของเจียงซื่อสั่นไหว นางไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้
สหายสนิทของท่านยายคือไทเฮาอย่างนั้นหรือ
แต่จากที่นางเห็น ท่านยายและไทเฮาก็มิได้ดูรู้จักมักจี่กันเท่าไหร่
เฝิงเหล่าฮูหยินส่ายศีรษะ “แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจคือ เดิมทีทั้งคู่สนิทสนมกันมาก แต่ไม่ทราบด้วยสาเหตุใด จู่ๆ ก็ห่างกันไปเฉยๆ”
“ท่านย่าไม่ทราบสาเหตุหรือเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินหลุดหัวเราะ “ข้ากับท่านยายก็เจ้ามิได้สนิทกันถึงขนาดกับที่ข้าจะรู้ ในตอนนั้นเราทุกคนก็ยังเป็นแค่เด็กสาว การที่จะกระทบกระทั่งกันเพราะเรื่องเล็กๆ ก็มิใช่เรื่องแปลกนักหรอก”