ต้นปีติงโฉ่ว[1] รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบเจ็ด ไท่จงสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิ เกาจู่สละราชบัลลังก์ แต่งตั้งเป็นไท่ซั่งหวง ด้วยเกาจู่ยังมีพระชนม์ชีพ ไท่จงจึงออกราชโองการมิเปลี่ยนชื่อรัชศกอู่เวย
ปลายปี เหล่าขุนนางถวายหนังสือขอพระราชทานอนุญาตเปลี่ยนชื่อรัชศกเพื่อเชิดชูพระบารมี ไท่จงพระราชทานอนุญาต
…พงศาวดารต้ายง พระราชประวัติไท่จง
ปีอู้อิ๋น[2] รัชศกหลงเซิ่งปีที่หนึ่ง เดือนหนึ่ง วันที่เจ็ด หลังหิมะท้องฟ้าแจ่มใส ทว่าหนาวเย็นยิ่งนัก ก่อนวันที่สิบห้า กิจการทั้งหลายต่างปิดตัวชั่วคราว บนถนนหนทางมีผู้คนสัญจรน้อยนิด แต่ร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งริมถนนหลวงกลับปักป้ายประกาศขายสุรา
ผู้ดูแลร้านหูซานเติมฟืนหลายท่อนใส่เตาแล้วนั่งเอนหลังงีบหลับอยู่ข้างโต๊ะอย่างเฉื่อยชา ช่วงวันตรุษปีนี้ผ่านไปอย่างสงบสุขยิ่งนัก นับตั้งแต่ฉีอ๋องคว้าชัยชนะครั้งใหญ่ที่เจ๋อโจว เจ๋อโจวก็ไม่มีเภทภัยหนักหนาจากภายนอกมากล้ำกรายอีก ผู้คนทยอยเดินทางจากหลากหลายสถานที่กลับคืนภูมิลำเนาไม่ขาดสาย กิจการของเขาจึงค้าขายดียิ่งนัก
เดิมคิดว่ารอถึงวสันต์ปีหน้าจะซ่อมแซมร้านพังๆ แห่งนี้สักหน่อย ผู้ใดจะคิดว่าวันขึ้นปีใหม่ไปเล่นที่ลานพนันครั้งเดียว เทพแห่งการพนันกลับมิยอมคุ้มครองจนเขาแพ้เสียเงินที่มีไปกว่าครึ่ง ภรรยาโกรธจนหนีกลับบ้านมารดา หูซานนึกเสียใจก็สายเสียแล้ว แต่เขามิกล้าบากหน้าไปรับภรรยากลับมา จึงได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวดเปิดกิจการก่อนเวลา หวังว่าจะได้พบลูกค้าเงินหนาสักสองสามคน หาเงินได้สักสองสามตำลึง นำไปเอาใจภรรยาให้เบิกบาน
ขณะที่กำลังผิงไฟอย่างง่วงงุน ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังกังวาน หูซานตื่นตัวขึ้นมาทันใด เขามิสนใจลมหนาวที่เสียดแทงไปถึงกระดูก เปิดประตูร้านออกไปดูด้านนอก ก็เห็นรถม้าคันหนึ่งที่มีทหารม้าสิบสองนายคอยคุ้มกันแล่นมาจากทุ่งหิมะทางทิศเหนือ หูซานพยายามมองสุดชีวิต ไม่นานคนเหล่านั้นก็เข้ามาใกล้ในระยะสองสามลี้ ทหารม้านายหนึ่งในนั้นโดดเด่นออกมาจากผู้อื่น เขาหวดแส้เร่งความเร็วอาชา เพียงพริบตาเดียวอาชาก็ทะยานมาถึงหน้าร้าน ทหารม้าบนหลังอาชาใช้แส้ม้าชี้หูซานแล้วถามว่า “มีสุราดีๆ หรือไม่ ในร้านมีคนอยู่หรือไม่”
หูซานสอพลอทันที “ท่านลูกค้าโปรดวางใจ สุราของร้านเราชื่อเสียงเลื่องลือ รสเข้มหอมอบอวล ภายในร้านไม่มีลูกค้าท่านอื่น แม้แต่ลูกจ้างก็กลับไปฉลองปีใหม่ ร้านของเราทั้งสะอาดและอบอุ่น นายท่านเดินทางไกลในช่วงหนาวที่สุดเช่นนี้ มิสู้เข้ามาดื่มสักสองสามจอก รับรองว่าท่านจะรู้สึกสบาย”
ทหารม้าที่สวมผ้าคลุมสีดำผู้นั้นปลดหมวกกันลมออกเผยให้เห็นใบหน้ากร้าวแกร่งห้าวหาญ เขาพลิกกายลงจากหลังม้า แล้วเดินเข้าไปด้านในร้านโดยไม่สนใจหูซาน เขาหยุดยืนมองอยู่ตรงประตู เห็นว่าด้านในกว้างขวางอย่างยิ่ง แม้โต๊ะกับเก้าอี้จะหยาบไปบ้างแต่ก็ค่อนข้างสะอาด จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าของข้าต้องการพักที่นี่ เจ้าจงปรนนิบัติให้ดี”
หูซานเป็นผู้สายตาแหลมคมยิ่งนัก ตั้งแต่ตอนที่ทหารม้าพลิกกายลงจากอาชา เขาก็เห็นชัดเจนว่าใต้ผ้าคลุมผืนใหญ่นั่นคือชุดทหารม้าสีดำทำจากผ้าชั้นดี ร่างกายท่อนบนสวมเกราะอ่อนสีดำอันประณีตงดงาม ตรงเอวยังพกดาบ เพียงเห็นฝักดาบก็ทราบแล้วว่ามิใช่ของธรรมดา เมื่อรวมกับรองเท้าทหารที่เท้า มิต้องถามก็ทราบว่าคนผู้นี้ต้องเป็นแม่ทัพในกองทัพ
พอได้ยินว่าเขามีใต้เท้าคนหนึ่งต้องปรนนิบัติให้ดี หูซานก็ยินดีปรีดายิ่งนัก ผู้ที่มาเยือนคงเป็นขุนนางใหญ่สูงศักดิ์เป็นแน่ ถ้าเช่นนั้นขอเพียงตนปรนนิบัติให้ถ้วนถี่ย่อมได้เงินไม่น้อย เขาเอ่ยอย่างฉับไวยิ่งนัก “ท่านแม่ทัพ คอกม้าด้านหลังร้านกว้างขวาง หญ้าก็ตระเตรียมไว้พร้อม ผู้น้อยจะไปจุดเตาไฟ รับรองว่าม้าของท่านแม่ทัพจะไม่ต้องทนหนาว”
ทหารม้าผู้นั้นโบกมือ “รีบไปเสีย ประเดี๋ยวยกสุราชั้นดีกับเนื้อชั้นดีออกมาด้วย”
เวลานี้คนอื่นๆ ตามมาถึงแล้ว ทหารม้าผู้นี้ก้าวเร็วไวไปหน้ารถม้าแล้วเอ่ยรายงาน “ใต้เท้า ด้านในพักเอาแรงได้ เชิญใต้เท้าบัญชา”
เสียงกังวานดังออกมาจากด้านในรถม้า “เดินทางเหน็ดเหนื่อยแล้ว พวกเราพักกันสักหนึ่งชั่วยาม แต่อย่าดื่มสุรามาก”
ทหารม้าเหล่านั้นขานรับเสียงดังแล้วทยอยกันพลิกกายลงจากหลังม้า ทหารม้านายหนึ่งลากซากสัตว์ป่าโชกเลือดลงจากหลังอาชา กล่าวว่า “ผู้ดูแลร้าน พวกเราจะดูแลม้าเอง เจ้านำไก่กับกระต่ายป่าเหล่านี้ไปปรุงอาหารอย่างพิถีพิถันมาสักหลายอย่าง แล้วยกมาให้ใต้เท้าของข้า”
หูซานรับคำย้ำๆ
ในตอนนี้ ชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้บังคับรถม้าก็กระโดดลงมาจากรถ จากนั้นเลิกม่านรถขึ้นประคองบัณฑิตอาภรณ์สีเขียวคนหนึ่งออกมา ทั้งสองคนเดินตามหูซานที่คอยนำทางอย่างขันแข็งเข้ามาในห้องโถงของร้าน แล้วเลือกนั่งตรงโต๊ะที่หลบลมและอบอุ่นตัวหนึ่ง
ส่วนทหารม้าเหล่านั้นจูงอาชากำยำที่ลากรถม้าและอาชาของเหล่าทหารม้าไปยังคอกม้าอย่างรวดเร็ว มิปล่อยให้หูซานเข้ามายุ่ง แม้แต่หญ้าพวกเขาก็ใช้ของตนเอง หลังจากนั้นก็ทิ้งทหารม้านายหนึ่งเฝ้าคอกม้า ส่วนทหารม้าที่เหลือเข้ามาในตัวร้าน พวกเขาคารวะบัณฑิตอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นแล้วจึงกระจายกันไปนั่ง
หูซานทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ประเดี๋ยวเดียวก็เตรียมเนื้อรมควัน แป้งทอดกับสุราอุ่นมาวางจนเต็มโต๊ะ หูซานยุ่งวุ่นวายจนเหงื่อท่วมศีรษะ แต่เมื่อเห็นนายท่านองครักษ์เหล่านั้นล้วนมีสีหน้าพออกพอใจก็รู้สึกเปรมปรีดาอย่างห้ามมิได้ ผ่านไปอีกพักหนึ่งหูซานก็ใช้สัตว์ป่าที่ลูกค้านำมาปรุงเป็นอาหารว่างอีกหลายจานแล้วยกไปยังโต๊ะของบัณฑิตอาภรณ์เขียวผู้นั้น
เขาลอบมองก็เห็นบัณฑิตอาภรณ์เขียวผู้นั้นใบหน้าแดงระเรื่อเหมือนดื่มสุราไปแล้วสองสามจอก แต่เนื้อรมควันที่ตนยกมากลับแทบไม่แตะต้อง นอกจากนั้นสุราที่เขาดื่มก็มิใช่สุรารสแรงในร้านของตน มิทราบว่าบนโต๊ะมีไหกระเบื้องสีครามไหหนึ่งเพิ่มมาตั้งแต่เมื่อใด แล้วยังมีจอกสุราโบราณใบหนึ่ง มิรู้ว่าทำจากวัสดุอันใด คล้ายหยกแต่ก็ไม่เหมือน ด้านในรินสุรารสดีสีเขียวใสเอาไว้ นอกเหนือจากนี้ยังมีกล่องอาหารเพิ่มมาหนึ่งกล่อง ด้านในใส่ขนมอันประณีตงดงามไว้จำนวนหนึ่ง ด้านนอกกล่องบุขนสัตว์หนา บนขนมเหมือนจะยังมีไอร้อนลอยออกมาอยู่
หูซานวางอาหารป่าลงบนโต๊ะ ชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวที่นั่งอยู่ด้านข้างคนนั้นหยิบชามกับตะเกียบที่ทำจากเงินออกมาจากกล่องอีกใบหนึ่งด้านข้างแล้ววางลงตรงหน้าบัณฑิตผู้นั้น ก่อนจะชิมอาหารแต่ละจานอย่างละคำแล้วกล่าวว่า “คุณชายเชิญรับประทาน”
บัณฑิตอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นจึงเริ่มลงมือรับประทาน หูซานเห็นแล้วตาโตพูดไม่ออก แม้เขานับว่าเห็นโลกมามากพอตัว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงคนเฝ้าร้านข้างทางเล็กๆ ร้านหนึ่ง ย่อมมิเคยพบเห็นภาพเช่นนี้
ยุ่งวุ่นวายอยู่กว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหูซานก็ว่าง ทหารม้าเหล่านั้นกวาดสุรากับเนื้อจนเกลี้ยงราวกับพายุพัดเมฆ หลังจากนั้นก็ดื่มสุราสนทนาเสียงเบาอย่างผ่อนคลาย ส่วนบัณฑิตอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นรับประทานอาหารเสร็จก็หยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านอย่างเพลิดเพลิน
หูซานทราบว่าคนเหล่านี้น่าจะยังพักผ่อนอยู่อีกเกือบครึ่งชั่วยาม จึงรีบยกสุราออกมาอีกสองไห ทว่าทหารม้าคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลับส่ายหน้า “ไม่ต้อง หากดื่มจนเมามายย่อมมิสะดวกเร่งเดินทาง เจ้าเติมถุงสุราของพวกเขาให้เต็มก็พอ” กล่าวพร้อมกับโยนถุงหนังสำหรับบรรจุสุราถุงหนึ่งไว้บนโต๊ะ ทหารม้าคนอื่นก็ล้วนพากันปลดถุงสุราตรงเอวมาวางไว้บนโต๊ะด้วย
หูซานกรอกสุราไปพลางก็ขบคิดไปด้วย ถุงสุราแต่ละถุงอย่างน้อยก็ใส่สุราได้สองชั่ง คิดเพียงค่าสุราและเนื้อวันนี้ก็ได้เงินก้อนใหญ่แล้ว หลังบรรจุเสร็จ หูซานจึงนับดู กลับพบว่ามีถุงสุราเพียงสิบเอ็ดถุง เขารู้สึกแปลกใจจึงอดแอบลอบมองมิได้ ที่แท้มีทหารม้านายหนึ่งนั่งหลบอยู่ในมุมตั้งแต่เริ่ม มินั่งรวมกับทหารม้าคนอื่น หูซานจึงแทบจะมองข้ามเขาไป
เมื่อสังเกตดูจึงพบว่าคนผู้นั้นเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีผู้หนึ่ง ไหสุราบนโต๊ะอยู่ในสภาพเดิมมิถูกแตะต้อง ไม่แตะสุราแม้แต่หยดเดียว หูซานรู้สึกประหลาดใจ แดนเหนือหนาวจัด ทุกคนล้วนรักสุราร้อนแรง เหตุไฉนทหารม้าหนุ่มผู้นี้กลับไม่ดื่มสุราเล่า เขามองเพิ่มอีกหลายหน ทหารม้าหนุ่มผู้นั้นเหมือนจะสังเกตเห็นสายตาของเขาจึงหันมามองอย่างเย็นชา
หูซานหัวใจสั่นสะท้านรุนแรง เด็กหนุ่มผู้นั้นสีหน้าเย็นยะเยือก แววตาแฝงจิตสังหารข่มขู่คุกคาม แม้หูซานมิใช่ทหาร แต่ก็ดิ้นรนอยู่ท่ามกลางสงครามมานานหลายปี แววตาเช่นนั้น เขารู้จักดียิ่งนัก นั่นคือแววตาบ้าคลั่งเปี่ยมจิตสังหารที่แฝงความแค้นอันสลักลึกถึงกระดูก
ข้าดื่มสุราเลิศรสรสชาติอ่อนช้าๆ สุรารสแรงที่หมักบ่มนานจนรสจัดจ้าน ข้าทนรับไม่ไหว กล่าวไปแล้วก็ละอายใจอยู่บ้าง หลายวันก่อนข้าคิดได้ว่าวันตายของบิดาใกล้มาถึงแล้วจึงอยากไปเซ่นไหว้ที่วัดวั่นฝัว แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ ยังไม่ทันออกเดินทาง ราชสำนักก็ส่งทูตมามอบรางวัลแก่ทหารทั้งกองทัพ ข้าผู้ตรวจการกองทัพผู้นี้ย่อมผละจากมามิได้ หลังผ่านช่วงวันตรุษข้าเพิ่งมีเวลา จึงมิสนใจว่ายังไม่พ้นวันที่สิบห้าก็พาเสี่ยวซุ่นจื่อกับองครักษ์คนสนิทหลายคนเดินทางไปวัดวั่นฝัว ฉีอ๋องอยากไปเป็นเพื่อนข้าด้วย แต่ถูกข้าปฏิเสธอย่างอ้อมๆ
ข้าหลือบสายตามองเงาร่างเดียวดายที่นั่งอยู่ในมุมมืดร่างนั้น หัวใจข้ารู้สึกขมขื่น น่าเสียดายนัก แม้แต่เรื่องธรรมดาสามัญเช่นการเซ่นไหว้บิดาผู้จากไป ข้าก็ยังต้องเอามาใช้เป็นอุบาย ครั้งนี้ที่จงใจพาหลิงตวนมาด้วยก็เพื่อให้โอกาสเขาหลบหนี
เหตุการณ์วุ่นวายหลายวันก่อน หลังจากหลี่หู่ถูกลูกน้องของฉีอ๋องบังคับพาตัวไป หลิงตวนก็กลายเป็นสภาพเช่นนี้ นิ่งเงียบ เย็นชาและเคียดแค้น แต่เรื่องนี้ ข้าก็ทำอันใดมิได้ ข้ามิอาจจงใจปล่อยให้เขาเห็นเอกสารหรือข่าวกรอง ทำเช่นนั้นแม้แต่คนโง่ก็ยังล่วงรู้อย่างง่ายดายว่ามีอุบายซ่อนอยู่ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะทำให้หลิงตวนทราบเรื่องอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของสืออิงถูกสังหารปิดปาก เมื่อเป็นเช่นนี้ยามเขากลับถึงเป่ยฮั่นและประกอบกับเรื่องอื่นๆ ก็จะคิดถึงความเป็นไปได้ที่สืออิง ‘ทรยศ’ นี่เป็นหมากตาสำคัญยิ่งในแผนการของข้า หากต้องการกำจัดสืออิง นี่เป็นหลักฐานที่ขาดมิได้เด็ดขาด
[1]ติงโฉ่ว ปีวัว ปีที่ 14 ในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า
[2]อู้อิ๋น ปีเสือ ปีที่ 15 ในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า
ตอนต่อไป