ภาค-4-ดรุณีสีเพลิง ตอนที่ 73 จิตสังหารกลางเงาหิมะ (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ในหมู่แม่ทัพใต้บัญชาของหลงถิงเฟย ซูติ้งหลวนและถานจี้ตายแล้ว เหลือเพียงสืออิงกับต้วนอู๋ตี๋ ข้าตัดสินใจเล็งเป้าไปที่สืออิง เพราะต้วนอู๋ตี๋เชี่ยวชาญการป้องกัน กระทำการใดรอบคอบ ย่อมเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง ลูกน้องที่เฉลียวฉลาด เจ้านายมักไว้วางใจแต่ยากจะเชื่อใจ

ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวกรองที่พวกเราได้รับมารายงานว่าสืออิงต่างหากที่เป็นแม่ทัพคนโปรดของหลงถิงเฟย เมื่อเป็นเช่นนี้ จัดการสืออิงจึงไม่เพียงยุแยงให้หลงถิงเฟยแตกกับคนสนิท แต่การถูกคนสนิทหักหลังยังจะทำลายความเชื่อมั่นของหลงถิงเฟยมากขึ้นอีกด้วย เพื่อการนี้ ข้ามิอาจคิดถึงจิตใจของหลิงตวน

ข้ามองดูหลิงตวน ในใจพลันนึกถึงถานจี้ ฉีอ๋องเคยบันทึกเนื้อเพลงที่ถานจี้ร้องก่อนวายชีวามาให้ ข้าทบทวนบทเพลงซ้ำไปมาพลางย้อนนึกถึงชีวิตของถานจี้ สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างมิอาจห้าม เนื้อเพลงนี้แม้หดหู่เศร้าหมองแต่กลับแต่งขึ้นจากความรู้สึกอันแท้จริง ข้านึกเนื้อเพลงในใจจบรอบหนึ่งก็พลันลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปด้านนอกร้าน

ฮูเหยียนโซ่วองครักษ์ผู้รับผิดชอบคุ้มครองเจียงเจ๋อผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ ขณะที่กำลังจะเอ่ยถาม เสี่ยวซุ่นจื่อที่ตามมาด้านหลังก็โบกมือบอกว่า “คุณชายเพียงออกไปสูดอากาศเท่านั้น พวกท่านมิต้องตามมา”

แม้เขากล่าวเช่นนี้ ฮูเหยียนโซ่วก็ยังเรียกองครักษ์อีกคนหนึ่งให้ตามออกไป หลิงตวนคิดอันใดสักอย่างจึงลุกตามออกมาด้วย เขารู้ดีว่าเจียงเจ๋อปฏิบัติต่อตนค่อนข้างดี แต่องครักษ์เหล่านั้นระแวงตนยิ่งนัก ดังนั้นจึงยืนอยู่ห่างๆ มองดูเจียงเจ๋อยืนอยู่ท่ามกลางผืนหิมะ มือยกขึ้นไพล่หลังทอดสายตามองท้องนภา มิทราบขบคิดสิ่งใดอยู่บ้าง หลิงตวนลูบขวานปากไก่ข้างเอว ความแค้นล้ำลึกยิ่งกว่ากาลก่อน ทว่าทำได้เพียงซุกซ่อนแล้วรอคอย

ตอนนี้เอง จู่ๆ เจียงเจ๋อก็เปล่งเสียงครวญเพลง

“สวรรค์เอยไร้ใจ บันดาลเภทภัยพลัดพราก ดินเอยไร้เมตตา ให้ข้าเผชิญกลียุค สงครามเอยมิว่างเว้น ถนนหนทางอันตราย เหล่าประชาเอย จากจรถิ่นฐานทุกข์ระทม ทุ่งหวงเฮา[1]เอย กิ่งใบเหี่ยวแห้ง กองกระดูกเอย เหลือรอยดาบแผลเกาทัณฑ์ หิมะเอยโปรยทั่วนภาให้ใจเหน็บหนาว โลหิตทหารกล้าเอย เจิ่งนองเป็นท้องนที ตะวันหมองวายุโศกยินเสียงสมรภูมิทุกหน เมฆายอดเขาไกลลิบทอดมองมิเห็นบ้านเกิด ระเหระหนหมื่นลี้ชีวิตเอยมิใช่ของตน มิมีวันคืนใดไม่คิดถึงมาตุภูมิ สี่สมุทรมิสงบปวงประชายิ่งคับแค้น แม้นตัวข้าอยู่สุขสงบยินข่าวยังสะอื้น จึงน้อมรับบัญชานาย กระทำไร้คุณธรรมมากมาย ทำลายแว่นแคว้นผู้อื่น คนคิดแค้นข้าเหลือคณานับ ยามเป็นมิหวังหวนคืนบ้านเกิดเมืองนอน เพียงยามตายฝังร่างข้าริมลำน้ำฉู่”

หลิงตวนฟังจนตกอยู่ในภวังค์ แม้บางประโยคฟังไม่เข้าใจนัก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความทุกข์โศกเจ็บปวดที่ถ่ายทอดผ่านเสียงเพลง เมื่อฟังถึงสองประโยคที่ว่า ‘จึงน้อมรับบัญชานาย กระทำไร้คุณธรรมมากมาย ทำลายแว่นแคว้นผู้อื่น คนคิดแค้นข้าเหลือคณานับ’ หลิงตวนก็หลั่งน้ำตาอย่างมิอาจห้าม

หวนคิดถึงท่านแม่ทัพและสหายร่วมรบในวันวาน นึกถึงหลี่หู่ผู้โง่เขลาตรงไปตรงมา ในใจเคียดแค้นยากจะทนจนเขาแทบทนมองเงาแผ่นหลังผอมบางร่างนั้นที่ยืนอยู่ตรงหน้ามิได้อีกต่อไป เขาเอื้อมมือคว้าขวานปากไก่ จิตสังหารโชนฉายจากดวงตา ในใจคิดว่า หรือจะตัดใจแลกชีวิตเสียเถิด ต่อให้ตายอยู่ที่นี่ก็ดีกว่าทุกข์ทรมานเช่นนี้

ขณะที่ความคิดของหลิงตวนกำลังสับสน จู่ๆ เสียงพิณเลือนรางพลันลอยมาจากทุ่งกว้าง เหมือนมีอยู่แต่ก็เหมือนไม่มี เสียงพิณบรรเลงล้ำเลิศเป็นเอกในใต้หล้า เสียงใสเร่งเร้าแต่กลับแฝงความหม่นหมองโศกเศร้าและความคับแค้นหนักหน่วง แม้เสียงพิณแผ่วเบา ทว่ากลับต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทุกคนล้วนได้ยินกระจ่างชัดเจน มิรู้ตั้งแต่เมื่อใด เกล็ดหิมะเริ่มโปรยปรายจากท้องนภาอีกหน เสียงพิณค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้ ท่วงทำนองยิ่งโศกศัลย์เสมือนหนึ่งทั่วทั้งฟ้าดินอัดแน่นด้วยกลิ่นอายเงียบเหงาวังเวง

เสียงพิณนี้ราวกับเต็มไปด้วยแรงล่อลวง ชวนให้จิตใจผู้คนเกิดความเคียดแค้นและจิตสังหารอันบ้าคลั่งจากความว่างเปล่า เวลานี้องครักษ์คนอื่นก็ก้าวออกมาจากร้านด้วย พวกเขามองไปยังทิศทางที่เสียงพิณลอยมาอย่างระแวดระวัง ทว่าทุกคนล้วนเป็นนักรบผู้กล้าแห่งสมรภูมิผู้มีหัวใจดั่งศิลา ย่อมมิหวั่นไหวต่อเสียงพิณ ตรงกันข้าม ดวงตากลับเผยแววตาระแวง

เสี่ยวซุ่นจื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาฟังออกว่าเสียงพิณนี้แฝงกำลังภายในอันล้ำลึกเอาไว้ ผู้ที่ดีดพิณไม่เพียงแตกฉานด้านดนตรี แต่ยังเป็นยอดฝีมือด้านกำลังภายในคนหนึ่งด้วย เขาย่อมมิถูกเสียงพิณทำให้หวั่นไหว แต่มองเจียงเจ๋ออย่างกังวลใจ เพราะเจียงเจ๋อมิเป็นวรยุทธ์ ทว่ามองเพียงปราดเดียว เสี่ยวซุ่นจื่อก็โล่งอก แม้เจียงเจ๋อมิรู้วรยุทธ์ แต่ชื่นชมเสียงพิณด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ใจจึงมิถูกเพลงพิณชักจูงแต่อย่างใด

ข้าเพ่งสมาธิฟังเสียงพิณแล้วอดมิได้ทอดถอนใจกับท่วงทำนอง ข้าเองก็ดีดพิณเป็น ทว่าทำได้เพียงตื้นเขินมิแตกฉาน บทเพลงนี้หากให้ข้าดีด คงมีหลายช่วงยากจะดีดออกมาได้ คนผู้นี้คงมีนิ้วที่ล้ำเลิศนักจึงถ่ายทอดบทเพลงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

แม้ข้ามิใช่ปรมาจารย์แห่งศาสตร์ดนตรี อีกทั้งความสามารถทางดนตรีของข้าแทบจะให้นิยามได้ว่าหัวสูงแต่มือไม่ถึง แต่ข้าก็ฟังออกว่าผู้ที่กำลังบรรเลงพิณคนนี้เป็นผู้มีฝีมือล้ำเลิศแห่งยุค

ทว่าเพลงพิณนั้นหลักสำคัญคือรื่นเริงแต่มิลุ่มหลง เศร้าโศกแต่มิทำร้าย เสียงพิณของคนผู้นี้ทุกข์ระทมหนักหน่วงยิ่งนัก ความคิดชั่วร้ายอาจบังเกิดเพราะเสียงพิณ นี่ย่อมไม่ดีอยู่บ้าง

ทุกคนล้วนมิเป็นอันใด ยกเว้นก็แต่หลิงตวนผู้ตกอยู่ในห้วงความทุกข์โศกอยู่แต่เดิม พี่ชายผู้เป็นครอบครัวใกล้ชิดกับท่านแม่ทัพผู้เคารพที่สุดล้วนตกตายในสนามรบ สหายที่เพิ่งผูกมิตรก็ถูกสังหาร ตนเองต้องก้มหัวคอยรับใช้อยู่ข้างกายศัตรู ในหัวใจเดิมทีก็หดหู่คับแค้น เมื่อครู่ยังเพิ่งถูกกระตุ้นจนเกิดความคิดเลวร้ายในหัวใจ เวลานี้ยังมาถูกเสียงพิณล่อลวงอีก สติสัมปชัญญะจึงค่อยๆ หลุดลอย สองตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ สีหน้าดุร้าย ทันใดนั้นก็เหวี่ยงขวานปากไก่กระโจนเข้าใส่เงาร่างผอมบางสีเขียวนั่น

ท่าทางของเขาตกอยู่ในสายตาของฮูเหยียนโซ่วตั้งแต่แรก ฝั่งนั้นจึงขวางเขาไว้ได้อย่างง่ายดาย หลิงตวนสภาพประหนึ่งพยัคฆ์คลั่ง เขามิสนสิ่งใดทั้งสิ้น บุกเข้ามาเข่นฆ่าสุดชีวิต ทว่าฮูเหยียนโซ่วเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของอันดับหนึ่งในหมู่ราชองครักษ์หู่จี หลิงตวนจะเป็นคู่ต่อกรของเขาได้เช่นไร หากมิใช่ว่าหลิงตวนโจมตีประหนึ่งยอมสละชีวิต เกรงว่าคงพ่ายแพ้นานแล้ว

ข้าได้ยินเสียงคมอาวุธปะทะกันจึงไม่มีจิตใจฟังพิณต่อ ข้าหันกลับไปมอง เพียงกวาดสายตามองปราดเดียวก็มองออกว่าจิตใจของหลิงตวนถูกเสียงพิณชักจูงอยู่ นี่มิใช่เรื่องที่ข้าคาดการณ์ไว้ ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วออกคำสั่ง “เสี่ยวซุ่นจื่อหยุดหลิงตวน ให้องครักษ์สองนายไปดูว่าผู้ใดดีดพิณก่อปัญหา แล้วพาตัวเขามาที่นี่”

เสี่ยวซุ่นจื่อเคลื่อนกายผ่านระยะหลายจั้งราวห่างเพียงหนึ่งก้าว ร่างกายประหนึ่งภาพลวงตาเข้ามารับการโจมตีของหลิงตวนแทนฮูเหยียนโซ่ว จากนั้นจี้ดัชนีใส่หน้าผากของหลิงตวน ลมปราณเย็นยะเยือกแตกออกเป็นพันหมื่นสายแทรกเข้าไปในร่างหลิงตวน เขาโซเซก้าวถอยหลังแล้วทรุดล้มบนพื้น แววตากลับมากระจ่างใส

เขามองขวานปากไก่ในมือกับฮูเหยียนโซ่วที่ถือดาบมองตนด้วยแววตาเย็นชาอย่างตกตะลึง ในใจเข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แม้ในใจเขาคิดอยากสังหาร แต่เขามิใช่คนเขลาอวดดี เขารู้ตั้งแต่แรกว่าการลอบสังหารเจียงเจ๋อเป็นเพียงความคิดเพ้อฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง สิ่งที่คิดอยู่ทุกห้วงขณะมีเพียงหาโอกาสหลบหนีเท่านั้น เมื่อเห็นสถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้จึงอึ้งงันอย่างช่วยมิได้

หลิงตวนย่อมเข้าใจสถานการณ์ยามนี้ เกรงว่าตนคงถูกประหารเดี๋ยวนั้น แม้ความหัวแข็งกับความหยิ่งทะนงในกมลสันดานจะทำให้เขามิยินยอมวิงวอนขอชีวิต แต่มนุษย์คนใดไม่มีใจโลภอยากมีชีวิตบ้าง ในใจหลิงตวนรู้สึกน่าสมเพชนัก เขาคุกเข่ากับพื้นแล้วเอ่ยเสียงเบา “เชลยต้อยต่ำล่วงเกินใต้เท้า ขอใต้เท้าโปรดอภัยด้วย” หลังจากนั้นก็มิเอ่ยคำใดอีก

ข้าทราบนิสัยของหลิงตวน ประโยคขออภัยนี้สำหรับเขาแล้วเอ่ยออกมายากเย็นยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีข้าก็มิได้เจตนาจะสังหารเขา เพียงแต่ข้าจะปล่อยให้เขาล่วงรู้จุดนี้มิได้ ดังนั้นข้าจึงแสร้งแสดงท่าทีลังเลตัดสินใจมิได้

หลิงตวนเห็นสีหน้าของเจียงเจ๋อแล้ว แต่จะให้พร่ำวิงวอนขอร้องอีก เขาก็มิอาจทำได้ ดังนั้นจึงคุกเข่าก้มศีรษะลงไป รอคอยคนผู้นั้นออกคำสั่งสังหารตน ตอนนี้เอ งเขากลับได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างหนักใจเฮือกหนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนเอ่ยว่า “หลิงตวน เจ้าติดตามแม่ทัพถานมาหลายปี มีจิตคิดร้ายมากเกินไป ข้าทราบว่าในใจเจ้ายังแค้นข้าและถูกเสียงพิณล่อลวง ผู้แซ่เจียงจะมิกล่าวโทษเจ้า แต่จงอย่าได้ทำผิดซ้ำอีก หากกระทำเช่นนี้อีก ข้าคงต้องสังหารเจ้าเสีย”

หลิงตวนโล่งอก ในใจคิดว่า ครั้งนี้อุตส่าห์มีโอกาสออกมาจากค่ายใหญ่ของกองทัพต้ายง หากมีโอกาสข้าต้องหนี จักพลาดอีกมิได้ เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “หลิงตวนรับบัญชา มิกล้าทำผิดอีกแล้ว” แล้วเขาก็ลุกขึ้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นราชองครักษ์หู่จีเหล่านั้นมองตนด้วยสายตาเย็นชายิ่งกว่าเดิม แต่เขามิได้เก็บมาใส่ใจ เพียงถอยไปอยู่ด้านข้าง

เวลานี้เอง รถม้าคันหนึ่งก็แล่นมาจากไกลๆ เสียงพิณที่ลอยวนวียนอยู่เมื่อครู่เงียบหาย สองข้างของรถม้าคันนั้นคือองครักษ์ที่ไปค้นหาผู้บรรเลงพิณเมื่อครู่ พวกเขาขนาบซ้ายขวาคุมรถม้าคันนั้นแล่นมา หลิงตวนนึกสงสัยใคร่รู้เช่นกันจึงเพ่งมอง มิทราบว่าผู้ใดดีดเสียงพิณเช่นนี้ออกมาได้

นั่นเป็นรถม้าธรรมดาคันหนึ่ง ดูเหมือนเป็นเพียงของที่นักเดินทางทั่วไปใช้ ผู้ที่บังคับรถม้าเป็นผู้เฒ่าอายุครึ่งร้อยคนหนึ่ง หน้าตาซูบผอมแต่ดวงตาเปล่งประกายดุจสายฟ้า มองปราดเดียวก็ทราบว่ามีวรยุทธ์มิอ่อนแอ เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงตรงหน้า ผู้เฒ่าคนนั้นก็ลงจากรถมายืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อมแล้วเลิกม่านรถขึ้น

หญิงสาวสวมชุดจอมยุทธ์สีม่วงและห้อยกระบี่ข้างเอวคนหนึ่งกระโดดลงจากรถม้า จากนั้นยื่นมือประคองชายหนุ่มหล่อเหลาผู้ครอบครองคิ้วกระบี่และดวงตาพราวระยับคนหนึ่งลงมา ชายหนุ่มผู้นี้สวมเสื้อคลุมขนเพียงพอนสีดำสนิท ตรงเอวห้อยกระบี่ล้ำค่าดูราคาแพงเอาไว้ ท่วงท่าสุภาพแฝงความสูงศักดิ์ สีหน้าสุขุมนิ่งสงบ มองพริบตาแรกก็ทราบว่ามิใช่นักเดินทางธรรมดา

[1]หวงเฮา สมุนไพรอย่างหนึ่ง ชื่อไทยคือโกฐจุฬาลัมพา

ตอนต่อไป