องครักษ์คนหนึ่งนำคนทั้งสามเดินเข้ามาช้าๆ องครักษ์อีกคนหนึ่งก้าวเร็วไวเข้ามารายงาน “เรียนใต้เท้า นำตัวผู้ดีดพิณมาแล้วขอรับ”
ชายหนุ่มผู้นั้นก้าวเข้ามาค้อมกายอย่างไว้ตัว “ผู้น้อยเกาเหยียนคารวะใต้เท้า มิทราบเรียกผู้น้อยมามีสิ่งใดต้องการบัญชา”
ข้ามองชายหนุ่มผู้นี้อย่างชื่นชมอยู่พักใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา ร่างกายสูงโปร่งแข็งแรง กิริยาแลดูสูงส่งสง่างาม มารยาทมิขาดตกบกพร่อง อีกทั้งยังมีท่าทางสำรวม ชายหนุ่มผู้นี้ต้องมีชาติกำเนิดเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางแน่
ข้ามิต้องการเสียมารยาท จึงยิ้มละไมเอ่ยว่า “ข้าเจียงเจ๋อ ได้ยินเสียงพิณของคุณชายเกาลอยมาจากทุ่งกว้าง รู้สึกว่าเสียงพิณดั่งสำเนียงสวรรค์ทำให้จิตใจข้ารื่นรมย์นัก จึงเชิญคุณชายมาพบ องครักษ์บุ่มบ่ามอาจทำให้คุณชายตกใจ เจียงเจ๋อขออภัยคุณชายแทนพวกเขาทั้งสองคนด้วย มิทราบเหตุใดคุณชายจึงเดินทางมาเจ๋อโจว หากมีเรื่องใดลำบาก เจียงเจ๋อในฐานะผู้ตรวจการกองทัพแห่งค่ายใหญ่เจ๋อโจวอาจช่วยได้”
ดวงตาของชายหนุ่มผู้นั้นทอประกายวูบหนึ่งอย่างยากจะสังเกตเห็น แล้วตอบว่า “ผู้น้อยละอายใจนัก มิทราบมาก่อนว่าฉู่เซียงโหว พระราชบุตรเขยในองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่ออยู่ที่นี่ เจียงโหวชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้า ผู้น้อยเป็นลูกหลานชาวเกาลี่ เพราะมีวาสนาจึงได้มาเยือนแผ่นดินใหญ่จงหยวน ผู้น้อยเคยอ่านบทกวีของท่านโหวตอนอยู่ในแคว้น งามวิจิตรบรรจงหาใดเปรียบ ผู้น้อยนับถือยิ่งนัก คิดไม่ถึงวันนี้จะมีวาสนาได้พานพบ ผู้แซ่เกาช่างโชคดีนัก”
ข้าถอนหายใจกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ แม้เกาลี่เป็นแคว้นต่างแดน แต่กลับมิเคยหมางเมินความสัมพันธ์กับจงหยวน หลายปีนี้แม้จงหยวนมีสงครามมิว่างเว้นก็ยังส่งราชทูตมาเยือนราชสำนัก ยามเจียงเจ๋อเป็นบัณฑิตฮั่นหลินแห่งหนานฉู่ เคยจัดการเอกสารในอดีตให้ตำหนักฉงเหวินจึงทราบเรื่องราวในวันวานมาบ้าง
รัชศกถงหยวนปีที่สาม หรือรัชศกเจินยวนปีที่สิบ ราชทูตจากเกาลี่หมายจะเดินทางมาเยือนราชสำนัก น่าเสียดายพบพายุใหญ่จึงจำต้องขึ้นฝั่งที่หังโจว หลังจากนั้นถูกจ้าวเซ่อ หรืออู่ตี้ เจ้าแคว้นหนานฉู่รั้งตัวไว้
รัชศกอู่เวยปีที่หกของต้ายง แคว้นของท่านก็เคยส่งราชทูตมาถึงฉางอัน น่าเสียดายยามนั้นจงหยวนกำลังมีสงครามโกลาหล ท่านราชทูตจินกุ้ยหมินถูกเจ้าแคว้นของแคว้นที่เป็นทางผ่านระหว่างเดินทางกลับทำร้าย ด้วยเหตุนี้ราชสำนักจึงส่งกองทัพออกปราบปรามจนเลือดนองเป็นสายเพื่อชำระแค้นครั้งนี้ น่าเสียดาย นับจากนั้นเป็นต้นมา แคว้นท่านก็มิส่งราชทูตมาเยือนราชสำนักอีก น่าเสียดายยิ่งนัก”
ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววประหลาดใจ เอ่ยว่า “ท่านโหวรู้เกี่ยวกับแคว้นเราลึกซึ้งนัก ท่านจินกงคือท่านตาของผู้น้อยเอง เมื่อข่าวเขาสิ้นใจในหน้าที่ส่งกลับมาถึงแคว้นเรา ท่านพ่อ ท่านเจ้าแคว้นล้วนเซ่นไหว้เขาด้วยตนเอง ไว้อาลัยให้อย่างสมเกียรติ
นับแต่นั้นโจรสลัดตงไห่อาละวาด เส้นทางน้ำระหว่างแคว้นเรากับจงหยวนแทบจะถูกตัดขาดจึงมิอาจมาเยือนราชสำนักแคว้นท่านได้ จนกระทั่งหลายปีก่อนเส้นทางทะเลไร้อุปสรรค แคว้นเราจึงเริ่มเปิดการค้าขายกับจงหยวนใหม่อีกหน
ผู้น้อยชื่นชมวัตนธรรมของจงหยวนมานาน ด้วยเหตุนี้จึงติดเรือเดินทางมาถึงปินโจว เดิมทีตั้งใจจะเดินทางตามรอยท่านตา ท่องเที่ยวชมทิวทัศน์อันลือชื่อของจงหยวน แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่รู้จากหนังสือจะใช้การจริงมิได้ ผู้น้อยหลงทางจนพลัดเข้ามาในชิ่นโจว
เพราะสองแคว้นทำศึกกันอยู่จึงจำต้องติดอยู่ที่แห่งนี้มาปีกว่า โชคดีเมื่อเดือนก่อนแคว้นท่านได้ชัย ชิ่นโจวพ่ายแพ้ย่อยยยับต้องเร่งรีบตระเตรียมกำลังพลใหม่ ผู้น้อยจึงฉวยช่องว่างลอบออกจากชิ่นโจวสำเร็จ เดินทางข้ามเขาข้ามภู เหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน ในที่สุดจึงเข้ามาในเจ๋อโจว
แต่เพราะที่แห่งนี้เป็นเขตที่ทหารปกครอง อีกทั้งผู้น้อยมาจากชิ่นโจวย่อมถูกคนสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงซื้อรถม้าเตรียมตัวจะเข้าไปยังแผ่นดินด้านในของจงหยวน คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านโหวที่นี่ แม้เรื่องนี้จะอธิบายลำบากอยู่สักหน่อย แต่ผู้น้อยก็มิกล้าปิดบัง ขอท่านโหวพิจารณาด้วย”
ข้ายากจะอดกลั้นความประหลาดใจ พิจารณาคนผู้นี้อย่างละเอียด จากหน้าตาดูไม่ออกว่ามีสายเลือดเกาลี่ แต่ชนชั้นสูงของเกาลี่กลมกลืนกับชาวฮั่นมาก นี่จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติได้เช่นกัน สายตาของข้าเลื่อนไปจับบนตัวบ่าวเฒ่ากับหญิงรับใช้ด้านหลังเขา หากเขาเป็นชาวเกาลี่จริง ถ้าเช่นนั้นก็คงดูว่าจริงหรือลวงจากผู้ติดตามของเขาได้ ข้ายกมือกวักเรียกบ่าวชรากับหญิงรับใช้คู่นั้นให้เข้ามาใกล้ แล้วถามหญิงสาวผู้นั้นด้วยภาษาเกาลี่ “สิ่งที่นายท่านของเจ้ากล่าวเป็นความจริงหรือไม่”
ยามข้าอยู่ปินโจว ข้าเคยปกปิดโฉมหน้าเจรจาการค้ากับพ่อค้าใหญ่ชาวเกาลี่ ด้วยเหตุนี้จึงพูดภาษาเกาลี่ได้อยู่บ้าง ยามเอ่ยวาจาก็นับว่าพูดได้ชัดถ้อยชัดคำอยู่ หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้นั้นดวงตาฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่งแล้วหลุดปากตอบว่า “เป็นความจริง” ด้วยภาษาเกาลี่
ทว่าพูดจบ หญิงสาวก็ได้สติเปลี่ยนมาพูดด้วยภาษาของจงหยวน “นายท่านของบ่าวติดอยู่ในชิ่นโจวเพราะไร้ทางเลือก ขอท่านโหวโปรดอภัย” นับว่ากล่าววาจาได้คล่อง แต่สำเนียงแปลกพิกลอยู่เล็กน้อย โชคดีที่เสียงของนางหวานใสรื่นหู ฟังแล้วไม่นับว่าเสียดแทงหูนัก
ข้ายิ้มละไมกล่าวว่า “ภาษาฮั่นของแม่นางดียิ่งนัก มิทราบมีนามว่าอันใด” หญิงสาวหน้าแดง ตอบว่า “บ่าวนามว่าจินจือ เพราะคุณชายชื่นชอบตำราและวัฒนธรรมจงหยวน จึงให้บ่าวเปลี่ยนมาพูดภาษาฮั่นได้หลายปีแล้ว แต่บ่าวโง่เขลาจึงยากจะเปลี่ยนสำเนียง ขายหน้าท่านโหวแล้ว”
สายตาข้าเลื่อนมาจับบนร่างบ่าวชรา แม้บ่าวชราผู้นั้นมีฐานะเป็นบ่าวรับใช้ แต่ท่าทางกลับแลดูมิธรรมดา เขาค้อมกายคำนับแล้วตอบว่า “บ่าวนามว่าชุยจิ่วเฉิง ฟังภาษาฮั่นออกแต่พูดมิได้ ขอท่านโหวโปรดอภัย” เขากลับตอบเป็นภาษาเกาลี่ เอ่ยตอบคล่องแคล่วไม่ติดขัด
ข้าคิดในใจ แม้ผู้ติดตามที่ชำนาญภาษาเกาลี่สองคนจะหาไม่ยาก แต่เห็นชัดมากว่าสองคนนี้มิใช่คนจงหยวน เมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวตนของเกาเหยียนผู้นี้ก็ไม่น่าสงสัยนัก ทว่าถึงแม้เป็นเช่นนี้ก็มิอาจปล่อยให้พวกเขาออกไปจากเจ๋อโจวเช่นนี้ได้ มิสู้รั้งพวกเขาอยู่ที่เจ๋อโจวสักช่วงหนึ่ง รอจนแน่ใจแล้วว่าพวกเขาไม่มีปัญหาค่อยว่ากัน
ยิ่งไปกว่านั้น เกาเหยียนผู้นี้ท่าทางมิธรรมดา บุคคลเช่นนี้หากคลาดกันเสียเฉยๆ มิได้ผูกมิตร ไฉนมิใช่น่าเสียดายยิ่งนัก เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ข้าจึงเอ่ยอย่างขออภัย “ผู้แซ่เจียงช่วยเหลือฉีอ๋องดูแลเจ๋อโจวอยู่ กระทำสิ่งใดมิอาจไม่รอบคอบ แม้นคุณชายเกาเป็นแขกสูงศักดิ์จากเกาลี่ ทว่าวันนี้เจ๋อโจวอยู่ในยามสงคราม ผู้แซ่เจียงมิสะดวกปล่อยให้คุณชายเดินทางไปมาโดยอิสระ กลัวว่าจะเกิดเรื่องมิคาดฝันเป็นเหตุให้ฉีอ๋องเสียหน้า
หากคุณชายเกามิรังเกียจ มิสู้อยู่ในเจ๋อโจวสักช่วงหนึ่ง รอวสันต์อากาศอุ่นบุปผาผลิบาน เดินทางสะดวก ค่อยเดินทางไปจงหยวนก็ไม่สาย ข้าเห็นคุณชายบุคลิกโดดเด่น หากองค์ชายชื่นชอบ คุณชายย่อมเดินทางไปมาในอาณาเขตต้ายงได้อย่างอิสระ ไยไม่ดีกว่าลำบากเสียทุกอย่างเช่นนี้”
ดวงตาของเกาเหยียนปรากฏแววตาพิกลวูบหนึ่ง แต่เขาก้มหน้าอย่างระแวดระวังจึงหลบพ้นสายตาของเจียงเจ๋อ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เจตนาดีของท่านโหว เกาเหยียนมิกล้าปฏิเสธ”
ข้าเอ่ยอย่างปลาบปลื้ม “เดิมสมควรเชิญคุณชายเกาไปพักผ่อนในค่ายทัพ แต่ผู้แซ่เจียงตั้งใจจะเดินทางไปเซ่นไหว้บิดาที่วัดวั่นฝัว หากคุณชายเกายินดี จะร่วมทางไปกับข้าหรือไม่ หากคุณชายต้องการรีบพักผ่อน ข้าจะให้ลูกน้องไปส่งคุณชายที่ค่ายทัพ”
เกาเหยียนตอบว่า “ผู้น้อยไม่มีกิจธุระ ในเมื่อวัดวั่นฝัวได้นามเช่นนี้ คงมีพระพุทธรูปมากมาย ต้องมีค่าให้ชื่นชมเป็นแน่ ผู้น้อยชมชอบชมทิวทัศน์และวัฒนธรรม หากท่านโหวมิรู้สึกลำบาก เกาเหยียนยินดีติดตามท่านโหวเดินทางไปวัดวั่นฝัวด้วย”
ข้าคลี่ยิ้ม “เป็นเช่นนี้ดียิ่ง เจียงเจ๋อเห็นรถม้าของคุณชายสภาพไม่ดีนัก รถม้าที่เจียงเจ๋อนั่งมากว้างขวางสะดวกสบาย เชิญคุณชายมานั่งด้วยกันกับข้าเถิด”
เกาเหยียนคล้ายประหลาดใจเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ขอบคุณเจตนาดีของท่านโหว เกาเหยียนรับบัญชา”
เวลานี้ ราชองครักษ์หู่จีก็เตรียมรถม้าพร้อมแล้ว ข้าเชิญเกาเหยียนขึ้นไปบนรถม้าของข้า เกาเหยียนเข้าใจสถานการณ์ดียิ่ง มิต้องรอให้ฝั่งข้าบอกกล่าวมากก็ปลดกระบี่พกส่งให้หญิงรับใช้นำกลับไปยังรถม้าของตน ข้าขึ้นไปนั่งตาม แต่ครั้งนี้เสี่ยวซุ่นจื่อมิได้ขับรถม้า เขาตามเข้ามาด้วย คนแปลกหน้าผู้หนึ่งนั่งอยู่ร่วมกับข้า เขาย่อมไม่วางใจ ฮูเหยียนโซ่วมาคุมบังเหียนด้วยตนเอง หญิงรับใช้นามจินจือเดินถือถุงพิณมาจากบนรถม้าของพวกเขา ข้าจึงทำท่าบอกให้เข้ามานั่งในรถม้าด้วยกัน
รถม้าที่ข้านำมาจากปินโจวถูกไฟสงครามทำลายไปนานแล้ว รถม้าคันนี้เป็นคันใหม่ที่เพิ่งส่งมา เมื่อเทียบกับคันนั้น มันกว้างขวางยิ่งกว่า สี่คนนั่งอยู่ในตัวรถก็ยังรู้สึกว่ากว้างและสะดวกสบายอย่างยิ่ง
ภายในรถม้าแบ่งเป็นสองส่วนคือด้านหน้ากับด้านหลัง ด้านหลังเป็นตั่งนุ่มตัวหนึ่ง ใต้ตั่งมีตู้วางสิ่งของได้ ส่วนด้านหน้าสองฝั่งมีม้านั่งปักลายยึดติดกับตัวรถสองฝั่ง ตรงกลางมีโต๊ะตัวหนึ่งทำจากเหล็ก ด้านบนปูผ้าสีขาวพิสุทธิ์เอาไว้ ก้นของถ้วยจานบนโต๊ะล้วนทำจากแม่เหล็ก เมื่อวางบนโต๊ะจึงไม่ลื่นไหล เวลานี้นอกจากชุดถ้วยชาแล้ว บนโต๊ะก็ยังวางหนังสือไว้จำนวนหนึ่ง
เพื่อป้องกันลมหนาว ภายในรถม้าจึงบุพรมไว้ทุกหนแห่ง รอบด้านล้วนใช้ขนสัตว์ปิดไว้มิดชิด นอกจากหน้าต่างสองฝั่งที่ต้องเปิดรับแสงจึงมิได้ปิดไว้ ไม่ว่าลูบมือไปที่ใดล้วนพบกับขนนุ่มนิ่ม ตัวหน้าต่างใช้กระจกโปร่งแสงกรุจึงมิมีลมหนาวรุกรานเข้ามา เมื่อรวมกับเตาผิงทองเหลืองใต้โต๊ะ ภายในรถม้าจึงอบอุ่น ไม่มีความหนาวเย็นแม้แต่นิด แต่เกาเหยียนเหมือนจะไม่มีท่าทางประหลาดใจกับสิ่งเหล่านี้ ดูท่าฐานะของเขาคงไม่ธรรมดา