บทที่ 682 ห้าพันปี เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 682 ห้าพันปี เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่

หานเจวี๋ยไม่คิดจะสละอายุขัยเพื่อทำนายว่าเหตุใดจักรพรรดินีผืนพิภพถึงพิสูจน์มรรค เพราะไม่มีความจำเป็นเลย ถึงอย่างไรแต่ละคนก็มีวาสนาเป็นของตัวเอง ขอเพียงไม่คุกคามเขาก็พอ

เขาไล่อ่านจดหมายลงไปเรื่อยๆ

พบว่ามีสหายที่ได้รับโชควาสนามากมาย ในที่สุดบรรยากาศเก่าๆ ก็หวนกลับมาอีกครั้ง

ยังนับว่าสงบสุขดี

หานเจวี๋ยกระตุ้นความกระฉับกระเฉง ฝึกบำเพ็ญต่อ

….

ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

ตำหนักผานกู่

ผานซิน มหาจักรพรรดิเซียวและจิ้นเสินรวมตัวกันอยู่ในตำหนัก

มหาจักรพรรดิเซียวถาม “ชักจูงหวงจุนเทียนมาเข้าพวกไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ”

ผานซินส่ายหน้า “เด็กคนนี้ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะติดตามเจ้านิกายเทียนเจวี๋ย ขี้ขลาดเกินไป”

จิ้นเสินมิได้สอดปากขึ้นเลย

“ระยะนี้ ข้าเตรียมจะบุกเบิกเส้นทางเข้าสู่ส่วนลึกของฟ้าบุพกาล ในเส้นทางนี้ สรรพสิ่งจะได้รับการคุ้มครองจากมรรคาสวรรค์ ไม่ถูกสิ่งอัปมงคลในฟ้าบุพกาลโจมตี ข้าต้องการคนเดินทางไปกำหนดขอบเขต ดูว่าเส้นทางสายนี้จะทะลุไปสู่ที่ใดกันแน่”

ผานซินเอ่ยขึ้นมา น้ำเสียงเขาฟังดูตื่นเต้นอยู่บ้าง

หากทำสำเร็จ เขาเปิดเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างมรรคาสวรรค์และฟ้าบุพกาลได้ จะทำให้สรรพสิ่งมรรคาสวรรค์สำรวจฟ้าบุพกาลได้สะดวกขึ้น และเขาก็จะได้รับแรงกุศลมรรคาสวรรค์มหาศาลจากเรื่องนี้

มหาจักรพรรดิเซียวกล่าวว่า “ให้ข้าไปเถอะ”

เขาทราบดีว่าเรื่องนี้มีผลกุศล ดังนั้นจึงเสนอตัวไป

ผานซินเอ่ยว่า “เรื่องนี้ต้องปิดบังไว้ก่อน มีโลกอันยิ่งใหญ่มากมายซ่อนเร้นอยู่ในฟ้าบุพกาล ถึงจะไม่กว้างใหญ่เท่าแดนเทพหวนปัจฉิมและไม่มีกฎระเบียบครอบคลุมเช่นมรรคาสวรรค์ แต่ก็นับเป็นดินแดนแห่งโชควาสนาจำแลงมาจากร่างของเทพมารฟ้าบุพกาล แรกเริ่มที่เทพยักษาผานกู่บุกเบิกฟ้าดินได้ชี้ช่องไว้ให้เหล่าเทพมารมากมาย เจ้าไปครั้งนี้ต้องเลือกเฟ้นอย่างระมัดระวัง”

มหาจักรพรรดิเซียวพยักหน้ารับ

ผานซินเอ่ยกำชับอีกสองสามประโยค จากนั้นมหาจักรพรรดิเซียวก็จากไป

ผานซินเหลือบมองจิ้นเสิน เอ่ยถามเขา “ช่วงนี้จอมอริยะเสวียนตูไปมาหาสู่กับเจ้าบ่อยๆ เรื่องราวเป็นเช่นไร”

จิ้นเสินตอบ “อริยท่านต้องการให้ข้าร่วมปกครองมรรคาสวรรค์น้อยแห่งหนึ่งกับเขาขอรับ คัดเลือกสถานที่ไว้เรียบร้อยแล้ว หากข้าได้ครอบครองมรรคาสวรรค์น้อยแห่งนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อท่านด้วย”

ผานซินได้ฟังก็แค่นเสียงคราหนึ่ง กล่าวไปว่า “จอมอริยะเสวียนตูช่างคิดนักปกติแสร้งทำเป็นเฉยเมยไร้เยื่อใย ที่แท้กลับคิดวางแผนมากกว่าใครเพื่อน”

จิ้นเสินเงียบงัน

“เจ้าไปคัดเลือกบุตรแห่งสวรรค์จำนวนหนึ่งมา คิดหาทางส่งตัวพวกเขาเข้าไปในสำนักซ่อนเร้น ข้าอยากรู้ว่าสรุปแล้วสำนักซ่อนเร้นในการควบคุมของหานเจวี๋ยเป็นกลุ่มอิทธิพลเช่นใดกันแน่” ผานซินสั่งการ

จิ้นเสินตอบรับ

แดนเซียนในปัจจุบันนี้กลุ่มอิทธิพลใดแข็งแกร่งที่สุดน่ะหรือ ย่อมเป็นสำนักซ่อนเร้น สรรพสิ่งอาจจะไม่คิดเช่นนี้ แต่พวกเขาเหล่าอริยะต่างมองเห็นทะลุปรุโปร่งยิ่ง

หานเจวี๋ยดูเหมือนจะเก็บตัว ทว่าขยายอำนาจเส้นสายของสำนักซ่อนเร้นอย่างลับๆ อยู่ตลอด ลึกล้ำเกินหยั่ง

….

เวลาล่วงเลยไป

ผ่านไปห้าพันปี

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจคราหนึ่ง

สดใสเหลือเกิน!

ปิดด่านห้าพันปี สดใสกว่าปิดด่านหนึ่งพันปีจริงๆ!

เสมือนเขาหลับฝันไป หลังตื่นจากฝัน ตบะเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยเลย

ต่อไปก็เอาเช่นนี้อีกแล้วกัน!

หานเจวี๋ยเปิดดูจอค่าความสัมพันธ์ พบว่าลูกศิษย์และเหล่าสหายที่ตนใส่ใจล้วนยังอยู่ ไม่มีใครล่วงลับดับสูญ

อันที่จริง ถึงขาดผู้ใดไปโลกก็ยังดำเนินต่อไปอยู่ดี

ภาระในจิตใจของหานเจวี๋นพลันลดน้อยลงไปมาก วันหน้าสามารถสงบใจฝึกบำเพ็ญได้แล้ว

เขาพบว่าหลี่เสวียนเอ้ารอคอยอยู่นอกอารามเต๋า จึงเคลื่อนย้ายหลี่เสวียนเอ้าเข้ามาด้านใน

หลี่เสวียนเอ้าตะลึงงัน มองหานเจวี๋ยด้วยสายตาตัดพ้อยิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก ข้ามาห้าครั้งแล้วขอรับ ในที่สุดท่านก็ยอมพบข้าแล้ว!”

เขาเกือบนึกว่าตนทำอะไรผิดไป จนล่วงเกินหานเจวี๋ยเข้า

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “นับจากนี้ไป ข้าจะปิดด่านเป็นเวลาห้าพันปี เจ้าแจ้งต่อศิษย์คนอื่นๆ ได้”

หลี่เสวียนเอ้าโล่งอก แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านวางใจเถิดขอรับ ตอนนี้สำนักซ่อนเร้นเป็นกลุ่มอิทธิพลยักษ์ใหญ่ ในแดนเซียนไม่มีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องพวกเราเลยจริงๆ ก็เหมือนกับสำนักนิกายของอริยะแห่งอื่นๆ อริยะสอดมือเข้ามายุ่งน้อยยิ่ง ล้วนยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ”

หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่ามีเหตุผล

หลี่เสวียนเอ้าเอ่ยต่อว่า “เจ้าสำนักขอรับ ข้าอยากส่งบุตรแห่งสวรรค์เข้ามาอีกหนึ่งร้อยคน ได้หรือไม่ขอรับ”

สำนักซ่อนเร้นชื่อเสียงเลื่องลือ หนึ่งสำนักมีถึงสามอริยะ สั่นสะเทือนได้ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน

มิใช่เพียงเท่านี้ สำนักนิกายแห่งอริยะทุกแห่งล้วนไว้หน้าสำนักซ่อนเร้น นับเป็นหนึ่งเดียวในแดนเซียน กลุ่มอิทธิพลที่ทรงอำนาจปานนี้ย่อมมีแรงดึงดูดมหาศาล มีบุตรแห่งสวรรค์ปรากฏขึ้นเป็นจำนวนมากก็เป็นเรื่องปกติ

หานเจวี๋ยพยักหน้าตอบรับ “ได้ เจ้าไปจัดการได้เลย”

หลี่เสวียนเอ้าตอบรับ เขามาเพื่อเรื่องนี้เท่านั้น

หานเจวี๋ยโบกมือส่งเขาออกไป จากนั้นก็ตรวจดูจดหมาย

วันต่อมา หลี่เสวียนเอ้าพาบุตรแห่งสวรรค์หนึ่งร้อยคนมาที่เขตเซียนร้อยคีรี จากนั้นหานเจวี๋ยก็ดึงตัวเข้าสู่อาณาเขตเต๋า

การมาถึงของพวกเขาดึงดูดความสนใจของเหล่าสิ่งมีชีวิตภายในเขตเซียนร้อยคีรี

คุณสมบัติของเหล่าบุตรแห่งสวรรค์ที่เข้ามาก่อนหน้านี้เหนือชั้น มีศิษย์แปดส่วนจากในบรรดานั้นถูกศิษย์สืบทอดรับเข้าสู่สังกัด สร้างแรงกระตุ้นต่อศิษย์ในนามอย่างพวกเขามากยิ่งขึ้น

หานเจวี๋ยไม่สนใจความเคลื่อนไหวภายในเขตเซียนร้อยคีรี เข้าสู่สภาวะบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว

ยิ่งตบะสูงขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งกระตือรือร้นมุ่งหวังที่จะแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

….

ณ แดนต้องห้ามอันธการ หานทั่วและอี๋เทียนนำกำลังทหารสวรรค์เรียงแถวดาหน้าเข้ามา

พวกเขามุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง นั่นคือเจดีย์สูงใหญ่โตมโหฬารหลังหนึ่งที่เห็นไม่ชัดว่ามีกี่ชั้น เจดีย์นี้ตั้งตระหง่านสงบนิ่ง มีวิหคปีศาจนับไม่ถ้วนบินวนห้อมล้อม มากมายกว่ายิ่งกว่าจำนวนทหารสวรรค์ที่พวกหานทั่วพามาเสียอีก

อี๋เทียนกลืนน้ำลาย เอ่ยว่า “พวกเราต้องขึ้นไปจริงๆ น่ะหรือ”

หานทั่วขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเข้ม “อยากถอยหรือ เช่นนั้นก็น่าอับอายยิ่ง!”

“เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ชั่วร้ายเหลือเกิน แค่ข้ามองดูก็รู้สึกเหมือนวิญญาณจะถูกดูดดึงออกไปแล้ว ขนาดพวกเรายังเป็นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับชั้นผู้น้อยเล่า”

อี๋เทียนกระซิบบ่น น้ำเสียงประหม่ากังวล

หานทั่วเริ่มคิดหาทางรับมือ

เวลานี้เอง เสียงหนึ่งแว่วเข้ามาในหูเขา

“สู้ให้เต็มที่ เราก็จะออกโรงเหมือนกัน!”

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย!

เมื่อหานทั่วได้ยินเสียงนั้นก็เบาใจลงทันที พลันคว้าหอกวิเศษเล่มหนึ่งขึ้นมา หอกเล่มนี้ยาวหนึ่งจั้ง มีมังกรแดงและมังกรทองอย่างละตัวเลื้อยพันอยู่ ทรงพลังข่มขวัญคน

“แม่ทัพและทหารสวรรค์รับคำสั่ง! ติดตามข้ามุ่งหน้าสังหาร! ยึดครองเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ให้ได้!”

หานทั่วเชิดหอกวิเศษขึ้นสูง ตะโกนกร้าวเสียงดังกัมปนาทกึกก้องไปทั่วท่ามกลางความเวิ้งว้าง เขากลายเป็นแสงรุ้งสายหนึ่งพุ่งนำไปก่อน

หานทั่วในตอนนี้ไม่ใช่หนุ่มน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคนนั้นอีกแล้ว ความกล้าหาญของแม่ทัพเทพสั่นสะเทือนไปถึงจิตใจของผู้คน

อี๋เทียนพุ่งตามเขาไปติดๆ ทัพทหารสวรรค์ก็พุ่งเข้าไปปานน้ำหลาก เสียงดังสนั่นกังวาน

ในเวลานี้เอง

ภายในเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ โจวฝานนั่งสมาธิอยู่ในโถงใหญ่ชั้นแรก เบื้องหน้ามีเสาลำแสงเส้นหนึ่ง ภายในเสาลำแสงมีละอองแสงหลากสีล่องลอย ราวกับทะเลดวงดาวก็มิปาน งดงามดังภาพมายา

น้ำเสียงซับซ้อนเสียงหนึ่งแว่วออกมาจากเสาลำแสง “เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการก้าวเดินไปในวิถีทางนี้ อริยะเจ็ดวิถีใช้เวลาหลายหมื่นล้านปี ก็ยังทำไม่สำเร็จ”

โจวฝานลืมตาขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังตั้งใจ “ข้าจะแข็งแกร่งกว่าเขา! ข้าต้องทำให้ได้!”

“น่าแปลก เจ้าก็เหยียบย่างอยู่บนมหามรรคแล้วแท้ๆ แต่มหามรรคนี้กลับไม่ขัดแย้งกับวิถีแห่งข้าเลย”

“ไร้สาระ มิเช่นนั้นข้าจะมีความมั่นใจได้อย่างไรเล่า”

โจวฝานแค่นเสียง ในใจยิ่งเคารพเลื่อมใสหานเจวี๋ยมากขึ้น

ธรรมมะที่หานเจวี๋ยเทศนาให้เขาฟังร้ายกาจถึงเพียงนี้!

เสียงซับซ้อนเอ่ยขึ้นว่า “เอาเถิด ในเมื่อเจ้าได้รับเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่แล้ว เช่นนั้นก็ต้องปล่อยให้เจ้าสืบทอดมหามรรคนี้ นี่คือเส้นทางที่ไม่อาจหันหลังกลับไปได้ เจ้าจะต้องสังหารฆ่าฟันไม่หยุดยั้ง ต่อสู้กรำศึกอย่างต่อเนื่อง”

โจวฝานเอ่ยด้วยความผยอง “ข้าไม่เคยกลัวการต่อสู้ ข้าเกิดมาเพื่อสู้!”

ตูม!

เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่สั่นไหว เห็นได้ชัดว่าเผชิญกับการโจมตีบางอย่างที่ทรงพลังยิ่ง

โจวฝานลุกขึ้นมา ตะโกนว่า “มาอีกแล้ว! คิดว่าข้าโจวฝานรังแกง่ายจริงๆ น่ะหรือ คิดว่าแย่งได้เช่นนั้นหรือ ครั้งนี้ข้าก็อยากเห็นนักว่าเป็นผู้ใดที่ตาไร้แววกล้าบุกมาแย่งชิง!”

………………………………………………………………