บทที่ 683 ศักดิ์ศรีของหานเจวี๋ย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 683 ศักดิ์ศรีของหานเจวี๋ย

ตูม!

สองเท้าของหานทั่วกระทืบชายคาเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ขึ้นไปทีละชั้นๆ ราวกับกระสุนปืนใหญ่ พลังอันน่าหวาดหวั่นสะเทือนเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่จนสั่นไหวรุนแรง

วิหคปีศาจหลายสิบตัวโผเข้าใส่เขา เขาตวัดหอกคราหนึ่ง พลังเวทกลายเป็นสายลมสีทองหอบแล้วหอบเล่า พัดกวาดไปทั่วสารทิศ ล้างสังหารวิหคปีศาจทั้งหมดที่เข้ามาโจมตี

ในเวลานี้เอง!

แรงกดดันอันน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้น หานทั่วตกใจเงยหน้ามองขึ้นไป มองเห็นหน้าต่างบานหนึ่งของชั้นบนเปิดออกในทันใด สัตว์ประหลาดดำขลับมีปีกยาวสองคู่ปีนออกมา ร่างกายบึกบึน ใบหน้าดุจอสรพิษ ดูชั่วร้ายเย็นชา

หานทั่วเสมือนพบศัตรูตัวฉกาจ มือซ้ายขยับร่ายเวทวิชา อักษรคำว่า ‘สู้’ สีทองตัวหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศถูกดูดเข้าสู่ร่าง กลายเป็นเกราะสีทองที่ห่อหุ้มร่างเขาไว้ชั้นหนึ่ง

ปีศาจสี่ปีกกลายเป็นพายุหมุนสีดำลูกหนึ่งกวาดม้วนเข้าใส่อย่างรวดเร็วยิ่ง กดทับหานทั่วให้ร่วงลงไปทันที

อีกด้านหนึ่ง อี๋เทียนก็ต่อสู้ติดพันอยู่เช่นกัน

ภายในเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่มีมารปีศาจระดับครึ่งอริยะและเซียนทองต้าหลัวอยู่ไม่น้อย ส่วนมารปีศาจธรรมดาก็มีจำนวนมากกว่าจำนวนทหารสวรรค์ ทำให้สถานการณ์ฝั่งวังสวรรค์ไม่สู้ดีเอาเสียเลย

ครืน…ครืน….

ประตูใหญ่ของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่พลันเปิดออก โจวฝานที่สวมชุดสีดำค่อยๆ เดินออกมา บุคลิกเขาองอาจร้อนแรง แววตาเยียบเย็น เดินออกมาจากความมืดมิดราวกับเทพมารที่ออกมาจากนรกอเวจี

อำนาจแห่งอริยะเข้าปกคลุม!

หานทั่ว อี๋เทียนรวมถึงทหารสวรรค์หลายล้านนายต่างหัวใจเต้นแรง

อริยะ!

โจวฝานก้มมองเหล่าแม่ทัพ ทหารสวรรค์หลายล้านนาย ตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว “มดปลวกอย่างพวกเจ้าก็หาญกล้ามาตีชิงเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่จากข้าเช่นนั้นหรือ รนหาที่ตาย!”

สายตาเขาเคลื่อนไปหยุดที่ร่างหานทั่วอย่างรวดเร็ว เขารับรู้ได้ว่ากลิ่นอายของหานทั่วแข็งแกร่งที่สุด น่าจะเป็นแม่ทัพใหญ่

ทันใดนั้น ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

หานทั่วสบตากับเขา คนหนึ่งมีสีหน้าตึงเครียด คนหนึ่งมีสีหน้าตื่นตะลึงเล็กน้อย

….

ห้าพันปีผ่านไป

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สัมผัสได้ว่าตบะก้าวหน้า เขาก็ยิ้มอย่างพอใจ

ฝึกบำเพ็ญต่อไปอีกไม่กี่ครั้ง เขาก็คงทะลวงระดับได้อีกรอบ

สำหรับมนุษย์ปุถุชน เวลาห้าพันปียาวนานพอจะก่อเกิดอารยธรรมได้ แต่สำหรับหานเจวี๋ย ห้าพันปีก็เหมือนนอนหลับงีบหนึ่ง ผ่านไปว่องไวนัก

หานเจวี๋ยสอดส่องสิงหงเสวียนก่อน

อืม บุตรชายยังไม่ถือกำเนิด มองจากสถานการณ์แล้ว อาจจะตั้งครรภ์ยาวนานหลายหมื่นปี อาจถึงขั้นหลายแสนปีด้วยซ้ำ

หานเจวี๋ยจดจำตำนานยุคโบราณได้ ช่วงบุกเบิกฟ้าดิน ยิ่งสิ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงผดุงครรภ์นานเท่าไรคุณสมบัติก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น

เหล่าผู้ทรงพลังอย่างสิบสองบรรพชนเผ่าจอมเวท สามบรรพจารย์ ตี้จวิน ตงหวงไท่อีและหนี่ว์วาล้วนอยู่ในครรภ์นานนับอสงไขย จนกระทั่งมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งแรกสิ้นสุดลงพวกเขาถึงสิ้นสุดช่วงผดุงครรภ์ กลายเป็นตัวตนชั้นแนวหน้าของฟ้าดิน

หานเจวี๋ยสอดส่องแดนเซียนต่อ

ในช่วงที่ผ่านมานี้ แดนเซียนมีครึ่งอริยะปรากฏตัวขึ้นเกินสิบตน เซียนทองต้าหลัวอีกนับร้อย สิ่งมีชีวิตที่มีระดับต่ำไปกว่านั้นก็เพิ่มขึ้นนับไม่ถ้วน จำนวนสรรพสิ่งบรรลุถึงจุดที่เกินคาดหมายไปมากมายยิ่ง

หานเจวี๋ยพบว่าแดนเซียนก็ขยายตัวขึ้นไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นแดนเซียน หรือว่าปวงสวรรค์หมื่นโลกาล้วนมีบรรยากาศรุ่งโรจน์โชติช่วง

เหล่าอริยะจัดการได้ดียิ่ง

หานเจวี๋ยพยักหน้าด้วยความพอใจ

มรรคาสวรรค์พัฒนาไปได้ดียิ่ง สำนักซ่อนเร้นเองก็เช่นกัน เหล่าศิษย์สืบทอดทยอยสำเร็จเป็นเซียนทองต้าหลัว ทว่าจ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้กลับค้างอยู่ที่ระดับเซียนทองต้าหลัวระยะสมบูรณ์ ไม่สามารถข้ามไปสู่ระดับครึ่งอริยะได้

หานเจวี๋ยตัดสินใจว่าจะชี้แนะพวกเขาเล็กน้อย จึงถ่ายทอดเสียงเรียกทั้งสองคนมา

ทั้งสองมาเข้าพบอย่างรวดเร็ว

ว่ากันตามจริง พวกเขาอยากมาขอเข้าพบหานเจวี๋ยนานแล้ว แต่กลัวจะรบกวนการบำเพ็ญของหานเจวี๋ย ขณะเดียวกันก็รู้สึกขายหน้าด้วย

หลังจากเข้าสู่อารามเต๋า ทั้งสองคุกเข่าคารวะ

หานเจวี๋ยก็ไม่เสียเวลาพูดไร้สาระ กระตุ้นมหามรรคต้นกำเนิด ถ่ายทอดเข้าสู่ส่วนลึกของวิญญาณทั้งสองโดยตรง ชักนำให้จิตรับรู้ของพวกเขาเข้าสู่สภาวะตระหนักมรรค

ดีร้ายอย่างไรเขาก็มีตบะระดับเบิกฟ้าเสรีระยะปลายแล้ว การผลักดันครึ่งอริยะมิใช่เรื่องยากเลย

แต่ที่ผ่านมาเพียงรังเกียจความยุ่งยากเท่านั้น ตอนนี้มรรคาสวรรค์สงบสุขดี ไม่มีสงคราม จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้ไม่สามารถเจริญรอยตามเต้าจื้อจุนได้

ทั้งสองเริ่มนั่งขัดสมาธิ ทำสมาธิอย่างไม่อาจควบคุมร่างกายได้

หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู

[จอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพมารต้องสาปศัตรูคู่อาฆาตของท่าน]

[จักรพรรดินีผืนพิภพสหายของท่านก่อตั้งเผ่าจอมเวท ดวงชะตาเพิ่มพูน]

[หวงจุนเทียนสหายของท่านเข้าสู่แดนต้องห้ามอันธการ]

[โจวฝานศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหานทั่วบุตรชายของท่าน]

[โจวฝานศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารมรรคาลึกลับ] x3902247

[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านทำความเข้าใจแผ่นหยกนำโชค พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[จักรพรรดิเซียนวัฏจักรสหายของท่านได้รับตำราพิภพ ดวงชะตาเพิ่มพูน]

….

จอมเทพข่งเซวี่ยหาเทพมารต้องสาปพบเร็วขนาดนี้เชียวหรือ!

มีประสิทธิภาพใช้ได้เลย!

น่าเสียดายที่ยังสังหารเทพมารต้องสาปไม่ได้

หานเจวี๋ยนึกเงียบๆ ไล่อ่านลงไปด้านล่าง เขามองเห็นจดหมายแจ้งเตือนการต่อสู้ระหว่างจอมเทพข่งเซวี่ยและเทพมารต้องสาปอีกครั้ง

จอมเทพข่งเซวี่ยมีความสามารถอยู่บ้าง หานเจวี๋ยเห็นว่ามีเพียงเทพมารต้องสาปที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่เห็นจอมเทพข่งเซวี่ยบาดเจ็บเลย

หานเจวี๋ยพบว่าจักรพรรดินีผืนพิภพก่อตั้งเผ่าจอมเวทขึ้น เขาไม่รู้สึกแปลกใจ ถึงอย่างไรจักรพรรดินีผืนพิภพก็มีความตั้งใจเช่นนี้มาโดยตลอด คาดว่าตี้เจียงคงให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

ยามนี้หานเจวี๋ยมองตัวตนในเทวตำนานบรรพกาลอย่างมีศักดิ์เสมอกันแล้ว เขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจ

เขาไล่อ่านลงไปเรื่อยๆ

เหตุใดโจวฝานถึงสู้กับหานทั่วเล่า

โชคดีที่หานทั่วไม่ได้รับบาดเจ็บ โจวฝานยังคงรู้ความยิ่งนัก

ถึงอย่างไรหานทั่วก็เป็นบุตรชายของหานเจวี๋ย หากว่าศิษย์ของเขาทำร้ายบุตรชายของเขา เช่นนั้นก็เท่ากับตบหน้าเขาไปด้วย!

หลังจากอ่านจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ

สิบปีต่อมา

เจียงอี้และจ้าวเซวียนหยวนออกจากอารามเต๋า ต่างกลับไปฝึกบำเพ็ญต่อ หานเจวี๋ยเองก็เริ่มปิดด่านฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง

ผ่านไปไม่ถึงร้อยปี จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้สำเร็จเป็นครึ่งอริยะไปตามๆ กัน สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วเขตเซียนร้อยคีรี

บนยอดเขาลูกหนึ่งในเขตเซียนร้อยคีรี มีศิษย์เจ็ดคนชุมนุมกันอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง

ชายชุดแดงคนหนึ่งเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “สำนักซ่อนเร้นน่ากลัวจริงๆ มีครึ่งอริยะถือกำเนิดขึ้นติดๆ กันถึงสองตน”

คนที่เหลือก็ทอดถอนใจเช่นกัน

“นั่นสิ จำนวนผู้แข็งแกร่งระดับเทพก็ทะลุหลักแสนแล้ว นี่แค่จำนวนในเขตเซียนร้อยคีรีเท่านั้น”

“ได้ยินว่าศิษย์สืบทอดเหล่านั้นวันหน้าล้วนจะพิสูจน์ครึ่งอริยะได้”

“มิใช่แค่ศิษย์สืบทอดเท่านั้นนะ ในหมู่บุตรแห่งสวรรค์ที่ผู้พิทักษ์รองส่งเข้ามาอย่างน้อยๆ ก็มีคุณสมบัติพอจะบรรลุครึ่งอริยะได้หลายสิบคน”

“สำนักซ่อนเร้นน่าจะเป็นกลุ่มอิทธิพลอันดับหนึ่งของแดนเซียนในยามนี้แล้วกระมัง”

“เฮ้อ เช่นนั้นพวกเราก็เลือกติดตามสำนักซ่อนเร้นจากใจจริงกันเถิด”

ภายในถ้ำมีผนึกอยู่ ป้องกันการตรวจสอบทางกระแสจิตได้ ดังนั้นพวกเขาจึงพูดคุยกันโดยไม่ต้องพะวงมากนัก

เดิมพวกเขามีฐานะเป็นสายข่าวที่เข้ามาสืบข่าวในสำนักซ่อนเร้น มิได้มีเจตนาร้ายต่อสำนักซ่อนเร้น แรงกดดันจึงไม่สูง

ใช่แล้ว พวกเขาก็คือสายลับที่จิ้นเสินจัดหามา

แต่หลังจากได้รับรู้ถึงรากฐานของสำนักซ่อนเร้น พวกเขาก็ไขว้เขว

จิ้นเสินเป็นอริยะแล้วอย่างไร ในเมื่อสำนักซ่อนเร้นมีอริยะสองตน!

ชายชุดแดงกัดฟันเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรพวกเราก็ยังไม่ได้ส่งข่าวให้จิ้นเสิน ถือเสียว่าไม่มีเรื่องนี้ก็แล้วกัน พวกเรายังคงเป็นศิษย์ของสำนักซ่อนเร้นอยู่!”

พวกเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ อีกหกคนที่เหลือต่างโล่งอก

จิ้นเสินรับปากพวกเขาไว้ หลังเสร็จภารกิจจะเทศนาธรรมให้พวกเขาด้วยตัวเอง ถึงขั้นที่จะสนับสนุนให้พวกเขาก่อตั้งสำนักดวงชะตาขึ้นอีกด้วย

ก่อนมาที่นี่ พวกเขาล้วนรู้สึกหวั่นไหวจริงๆ

แต่หลังจากมาถึงแล้ว…

พวกเขาพบว่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นล้วนฝึกบำเพ็ญเพื่อมุ่งสู่อริยะ พวกเขาเคยสอบถามดู ตำแหน่งอริยะมีจำกัดมิใช่หรือ สุดท้ายก็ได้คำตอบกลับมาว่าขอเพียงมีเจ้าสำนักอยู่ ตำแหน่งอริยะย่อมไร้ขีดจำกัด

พวกเขาเงียบไปเลย

จิ้นเสินและสำนักซ่อนเร้นไม่ได้อยู่ในบรรทัดฐานเดียวกันอย่างสิ้นเชิง ขอเพียงเคยรู้จักพบพาน ล้วนสามารถรับรู้ได้ถึงความแตกต่างระหว่างสองฝ่าย

สิ่งสำคัญที่สุดคือ พลังวิญญาณในเขตเซียนร้อยคีรีหนาแน่นกว่าอาณาเขตเต๋าของอริยะ!

เมื่อพวกเขาได้เข้ามาแล้วก็ไม่อยากออกไปอีก!

………………………………………………………………