บทที่ 735 ตัวตนของเว่ยฉิงถูกเปิดเผย

ก่อนหน้านี้เมื่อสกุลหลู่และสกุลอู่เกิดการขัดแย้งระหว่างกันขึ้นมา หลู่เกอได้ส่งคนไปสอบสวนอู่อวี้หวังจะหาจุดอ่อนเขาเผื่อทำการโต้กลับ แต่กลายเป็นว่าอู่อวี้ชิงลงมือก่อน เขาสืบพบว่าสกุลหลู่แอบอ้างผลงานความดีความชอบทางทหารแล้วได้โค่นสกุลหลู่ลง นายท่านหลู่เกอทั้งโกรธและเสียใจจนล้มหมอนนอนเสื่อลุกไม่ขึ้น

เขาเกลียดชังอู่อวี้ผู้นี้ยิ่งนัก แม้เขาจะป่วยหนักแต่ก็ไม่วายที่จะให้คนสืบเรื่องของอู่อวี้ต่อไป คิดว่าสักวันเขาจะแก้แค้นอู่อวี้ให้ได้

ในที่สุดคนที่เขาให้ไปสืบก็พบเบาะแสบางอย่าง เป็นครั้งแรกที่พบว่าอู่อวี้ผู้นี้ไม่ได้ชื่ออู่อวี้มาตั้งแต่แรก เดิมทีเขาคือเว่ยฉิงเป็นชาวนามาจากหมู่บ้านลี่เจียในเมืองชิงเหอ

แค่ชาวนาธรรมดาสามัญผู้หนึ่งจะมีความสามารถเก่งกาจถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?

ไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนจากสกุลอู่เท่านั้น แต่ยังได้รับสถานะและตัวตนของอู่อวี้อีกด้วย เขาเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนัก ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ได้รับการเลื่อนขั้นไปทีละขั้นอย่างมั่นคง

มีบางอย่างที่ดูผิดปกติในเรื่องนี้

เมื่อหลู่เกอได้ทำการสืบสวนลงลึกต่อไปอีก เขาพบความลับบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อ

ที่จริงแล้วเว่ยฉิงคือองค์รัชทายาทที่สมควรจะล่วงลับไปแล้ว!

นายท่านหลู่เกอตกใจมาก พลันเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า เว่ยฉิงได้ปกป้องฮ่องเต้เนื่องจากเกิดเหตุความวุ่นวายในพระราชวัง เขาพลิกสถานการณ์กลับขึ้นมาได้ จนได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้และองค์ชายหกจนทำให้เขามีอำนาจอยู่ในมือ

เมื่อองค์ชายหกขึ้นครองราชย์ เว่ยฉิงจะมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ถึงตอนนั้นเขาจะต้องรื้อฟื้นคดีของสกุลเซียวขึ้นมาใหม่ ในอดีตนั้นสกุลหลู่ของเขาก็มีส่วนป้ายความผิดให้แก่สกุลเซียวเช่นกัน เว่ยฉิงย่อมไม่อาจปล่อยสกุลหลู่อีกต่อไป

นี่ไม่ใช่แค่การแก้แค้นเพียงอย่างเดียวแต่นั่นย่อมหมายถึงสกุลหลู่ทั้งตระกูลอีกด้วย!

หลู่เกอคิดถี่ถ้วนดีแล้ว เขาจึงรีบวิ่งเข้ามาในพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างเร่งด่วน เขาต้องการเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของเว่ยฉิงต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ เขาจะไม่มีวันให้เว่ยฉิงได้ประสบความสำเร็จ ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ทรงพระราชทานอนุญาตให้ข้าราชบริพารคนใดได้เข้าพบ เว้นแต่จะถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าเท่านั้น

นายท่านหลู่เกอจึงไร้ซึ่งทางเลือกได้แต่วิ่งโร่มาร้องตะโกนราวกับคนขายผักในตลาด โชคดีที่องค์ฮ่องเต้ทรงพระราชทานอนุญาตให้เขาเข้าเฝ้า

นายท่านหลู่เกอถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อได้กระชากหน้ากากที่แท้จริงของเว่ยฉิงให้ฝ่าบาทได้รับรู้ถึงตัวตนของเขา หากฝ่าบาททรงทราบแล้วย่อมจะไม่ใช้งานคนผู้นี้อีกเป็นแน่ ต้วนโส่วฝูจากไปแล้ว แต่ยังมีเขาอยู่ เขาย่อมรับตำแหน่งแทนต้วนโส่วฝู่ได้อย่างแน่นอน

“ฝ่าบาท เขาเป็นอดีตองค์รัชทายาทที่ถูกโค่นล้มไปแล้ว เขาเป็นขุนนางทรยศ เขามีเจตนาชั่วร้าย ฝ่าบาททรงอย่าได้เชื่อใจเขาเป็นอันขาด!”

ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงนิ่งงันไปในทันที

อู่อวี้ไม่ใช่อู่อวี้ แต่เป็นเว่ยฉิง เป็นองค์ชายที่ถูกโค่นล้ม เขาน่าจะตายไปนานแล้ว เขาเป็นใครกัน? ฮ่องเต้สบสายพระเนตรกับเว่ยฉิง อารมณ์ซับซ้อนประดังเข้ามา เขาหายใจเร็วขึ้น

“ฝ่าบาท! พระองค์ทรงเป็นอะไรพะย่ะค่ะ? เร็วเข้าเรียกหมอ!”

บานประตูถูกเปิดออก มหาดเล็กทำท่าจะพุ่งตัวเข้าไป แต่แล้วกลับได้ยินพระสุรเสียงเย็นยะเยือกตรัสขึ้นว่า

“ออกไป! ข้าขอสั่งห้ามให้ผู้ใดเข้ามาเป็นอันขาด!” มหาดเล็กรีบถอนตัวออกไปทันที

ฮ่องเต้ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปคว้ายามาหนึ่งกำมือใส่พระโอษฐ์กลืนลงไป พระวรกายยังคงสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่

เว่ยฉิงยืนมองดูด้วยท่าทีเฉยเมย สีหน้าสงบ ไร้ความตื่นตระหนกอย่างสิ้นเชิง

ไม่นานนักพระวรกายจึงได้หยุดกระตุก สายพระเนตรกลับมาคมชัดมากขึ้น แต่ดูอ่อนล้าไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทอดพระเนตรมองเว่ยฉิงแน่วแน่ ตั้งแต่แรกพระองค์ไม่ได้ทรงรู้สึกอะไร ต่อเมื่อมีคนตะโกนออกมาว่าเขาเป็นองค์รัชทายาทที่โดนโค่นล้มไป ก็เสมือนมีใครเอากุญแจมาไขเปิดประตูในใจของพระองค์ ยิ่งมองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทรงคุ้นเคยมากขึ้นเท่านั้น

เด็กชายคนนั้น..เขายังมีชีวิตอยู่หรือ? เขาโตขึ้นเป็นหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังเว่ยฉิง พระหทัยปั่นป่วน ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่จึงได้ยอมรับกับพระองค์เองว่าขุนนางที่เขาโปรดปรานและตั้งความหวังว่าจะฝากฝังกิจการในราชสำนักให้ดูแล เป็นโอรสองค์โตของเขาจริงๆ

ความรู้สึกของฮ่องเต้ที่มีให้เว่ยฉิงซับซ้อนจนยากที่จะอธิบายได้ ทั้งรู้สึกผิด โล่งใจ และไม่สบายใจคละเคล้ากันไป

….

พระสุรเสียงแหบเครือตรัสว่า

“เจ้าคืออาฉิงจริงหรือ?”

“กระหม่อมไม่ใช่อู่อวี้ ชื่อจริงของกระหม่อมคือเว่ยฉิง” เว่ยฉิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

หลู่เกอได้ยินก็ดีใจ

เขายอมรับ!

“ฝ่าบาท เขาเป็นคนทรยศ เขามีเจตนาชั่วร้ายแอบแฝง เขาสมควรถูกลงโทษอย่างรุนแรงพะย่ะค่ะ!”

“หุบปาก!” ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ตวาดออกมา พระสุรเสียงเย็นชาและอาฆาต หลู่เกอตกตะลึงไป เขาประหลาดใจ แต่อดสังเกตไม่ได้ว่าเรื่องราวดูผิดปกติไม่ตรงกับที่เขาคาดหวัง เหตุใดฮ่องเต้ไม่เกิดโทสะเมื่อพบว่าอู่อวี้คือองค์รัชทายาทผู้นั้น

เขาเริ่มไม่สบายใจ

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ทรงนุ่มนวลมากขึ้น พระองค์โบกพระหัตถ์ “อาฉิงเข้ามาใกล้ๆ ข้า”

เว่ยฉิงเดินขึ้นบันไดไปหาฮ่องเต้ เขายืนห่างจากบัลลังก์มังกรเพียงไม่กี่ก้าว สายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับฮ่องเต้

“อาฉิงเจ้าโตขึ้นมากแล้ว ยามเจ้ายังเล็ก อาจารย์ของเจ้ามักจะยกย่องชื่นชมเจ้าอยู่เสมอ บิดาอย่างข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” ฮ่องเต้ตรัสด้วยพระสุรเสียงยินดี

“จิ่งซวนเป็นน้องชายของเจ้า มีสายเลือดเดียวกัน ข้าคลายกังวลลงไปได้เพราะรู้ว่าเจ้าจะช่วยเหลือจิ่งซวน”

เว่ยฉิงยังมีสีหน้าเฉยเมยไม่แสดงออกเช่นเดิม

ฮ่องเต้ทรงถอนพระทัย

“ข้ารู้ว่าเจ้าตำหนิข้า แต่ในเวลานั้นข้าไม่มีทางเลือกอื่นใด ข้ามีสถานะเป็นทั้งบิดาและเป็นฮ่องเต้ ข้าต้องคำนึงถึงความสงบสุขและมั่นคงของราษฎรแคว้นต้าโจวก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อให้ผู้คนได้มีความเป็นอยู่ที่มั่นคง ข้าจึง…”

“ท่านจึงได้กวาดล้างฆ่าสกุลเซียว รวมถึงฆ่าฮองเฮาและตัวข้า!”

“สกุลเซียวมีความทะเยอะทะยาน เขาต้องการที่จะกบฏเพื่อผลประโยชน์ของผู้คนในแคว้น ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากจะจัดการพวกเขาตามกฎหมายของต้าโจว”

“สกุลเซียววางแผนที่จะกบฏจริงหรือ? หรือว่าแท้จริงแล้วท่านกลัวสกุลเซียวกันแน่!” เว่ยฉิงไม่ได้มองบิดาของเขา หากคำพูดกลับแหลมคมทิ่มแทงหัวใจ

“อาฉิง ข้าไม่รู้ว่าใครพูดอะไรกับเจ้าทำให้เจ้าเข้าใจผิดเช่นนี้ แต่มีหลักฐานการกบฏของสกุลเซียวเป็นที่แน่ชัด” ฮ่องเต้ทรงโต้แย้ง

“หลักฐาน? ท่านหมายถึงหลักฐานที่สกุลหวังปลอมแปลงขึ้นมาน่ะหรือ?” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฎบนใบหน้าของเว่ยฉิง ทว่าน้ำเสียงกลับเด็ดขาด

“ข้าได้ตรวจสอบสกุลเซียวมาอย่างชัดเจนดีแล้ว สกุลเซียวไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับเรื่องนี้ด้วยเลย สกุลเซียวถูกใส่ร้าย!”

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้แปรเปลี่ยนไปจนดูแทบไม่ได้

“ผู้คนหลายแสนในของกองทัพสกุลเซียว แม้กระทั่งคนในสกุลเซียวหลายร้อยคนต่างต้องมาสังเวยชีวิตให้กับความระแวงของท่าน ท่านไม่เคยนอนหลับฝันร้ายบ้างเลยหรือ? ไม่รู้สึกผิดหรือละอายใจเลยหรืออย่างไร?” เว่ยฉิงไม่ให้ฮ่องเต้ได้แก้ต่าง เขาพูดใส่ไม่ยั้งแม้แต่น้อย

“ข้า..ข้าไม่ผิด ข้าทำเพื่อต้าโจว” ฮ่องเต้ตรัสราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมเว่ยฉิง แต่ดูเหมือนทรงกำลังชักจูงให้ตนเองเชื่อตามมากกว่า

เว่ยฉิงยิ้มเยาะ “กองทัพสกุลเซียวไม่ได้พลีชีพในสนามรบ แต่กลับต้องมาตายตกไปเพราะคนของแคว้นต้าโจวเอง ช่างไร้สาระจริงๆ แม้ว่าท่านจะสิ้นชีวิตกลับสู่ปรโลก วิญญาณของทหารนับแสนนายก็คงไม่ให้อภัยท่าน!”

คำพูดของเว่ยฉิงไม่อาจทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่เขาไม่อยากที่จะปล่อยวาง เขาต้องการให้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไปด้วยความรู้สึกผิดบาปของพระองค์ ฮ่องเต้ไม่สมควรตายอย่างสงบสุข!

“ข้า..ข้า..” พระพักตร์แปรเปลี่ยนเป็นหม่นมัว ไม่อาจตรัสออกมาเป็นประโยคได้อย่างสมบูรณ์ ฮ่องเต้หายพระทัยไม่ออก

“ข้า..ในสถานะอู่อวี้..เข้ามาในราชสำนักมีจุดประสงค์เดียวเท่านั้น คืนความเป็นธรรมให้สกุลเซียว” การคืนความเป็นธรรมให้สกุลเซียวเท่ากับเป็นการตบพระพักตร์ของฮ่องเต้อย่างไม่ต้องสงสัย เว่ยฉิงคิดว่าฝ่าบาทอาจจะกระอักพระโลหิตออกมาเสียด้วยซ้ำหลังจากได้ยินคำพูดของเขา แต่ฮ่องเต้กลับแย้มสรวลออกมา

“เจ้าสามารถทวงคืนความยุติธรรมให้สกุลเซียวได้ ตราบใดที่แคว้นต้าโจวยังมีความมั่นคง ผู้คนอยู่สุขสบายข้าไม่สนใจว่านักประวัติศาสตร์จะจารึกเรื่องราวอย่างไร”

“ข้าไม่เสียใจ..ถ้าหากเจ้าอยู่ในสถานะเดียวกับข้า เจ้าก็ต้องตัดสินใจเช่นข้า ไม่มีใครเข้าใจข้าหรอก”

“สิ่งเดียวที่ข้าละอายแก่ใจ นั่นก็คือเจ้ากับมารดาของเจ้า” พระสุรเสียงแผ่วเบาลง ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรอย่างเหม่อลอย พยายามคิดถึงใบหน้าของนาง แต่กลับพบว่าเขาจำนางไม่ได้แล้ว ทันใดนั้นพระพักตร์กลับเย็นชาและเคร่งขรึม

“ทหาร! หลู่อี้เหวินก่ออาชญากรรมดูหมิ่นเหยียดหยาม ลงโทษทุบให้ตายด้วยไม้กระดาน”

หลังจากรับสั่งจบ หลู่เกอโดนลากตัวออกไปจากท้องพระโรง ไม่ว่าจะร้องขอพระเมตตาสักเพียงไหนฮ่องเต้ยังคงสงบนิ่งเฉยเมยอยู่เช่นนั้น

หลู่เกออุทิศทั้งชีวิตเพื่อองค์ฮ่องเต้ ทว่าเขากลับมีความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง ฝ่าบาททรงระแวงและทนการหลอกลวงไม่ได้ก็จริง แต่เมื่อพระองค์ไม่มีเวลาเหลือมากนัก กอปรกับไร้ซึ่งพละกำลัง ในเวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความมั่นคงให้กับแคว้นต้าโจว ไม่ว่าเว่ยฉิงจะปกปิดสถานะของตนและเข้ามายังราชสำนักด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่เขาเป็นสายเลือดของพระองค์ เดิมทีฮ่องเต้ทรงคิดว่าเว่ยฉิงจะมีความทะเยอทะยานมากเกินไป เขาอาจจะคิดกบฏแย่งชิงแคว้นต้าโจวไปในภายหลัง ต่อเมื่อได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว ความกังวลนี้ก็มลายหายไป ต่อให้เว่ยฉิงต้องการเป็นฮ่องเต้แล้วอย่างไร…แคว้นตาโจวก็ยังเป็นของตระกูลโจวเช่นเดิม…

ฮ่องเต้ยังทรงประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร ทอดพระเนตรไปยังเว่ยฉิง

“เจ้าเรียกข้าว่าบิดาสักครั้งได้หรือไม่?” เว่ยฉิงยังคงมองเขาโดยไม่แสดงอารมณ์ เจตจำนงเขาไม่แปรเปลี่ยน

ฮ่องเต้ทรงแย้มสรวลอย่างเหนื่อยล้า

“เอาล่ะ..ออกไปเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว”

เว่ยฉิงหันหลังกลับไปโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเบื้องหลังของเขาที่ลับหายไป ถอนพระทัยอย่างจนใจ

“ข้าเป็นฮ่องเต้ ข้าไม่เสียใจในสิ่งที่ข้าทำลงไป…”

เวลาผ่านไปนาน..เหมือนมีแสงสว่างปรากฏขึ้นต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ ทหารสวมเกราะถือดาบยาวเปื้อนเลือดไปทั้งตัวเดินออกมา

“ฝ่าบาท! กระหม่อมไม่ได้ก่อกบฏ เหตุใดฝ่าบาทจึงสั่งประหารชีวิตกระหม่อม!” ทหารผู้นั้นก้าวย่างเข้าหาฮ่องเต้ด้วยโทสะ ใบหน้าอาฆาตมาดร้าย เบื้องหลังเขาเต็มไปด้วยทหารหลายพันนาย ทุกคนตัวอาบไปด้วยเลือด มองฮ่องเต้ด้วยความโกรธแค้น

“ทำไม? ทำไม?” พวกเขาร้องถามเสียงกึกก้องราวกับฟ้าร้อง ต่างพากันพุ่งเข้ามาหาฮ่องเต้เหมือนสายน้ำที่เชี่ยวกราก พระพักตร์ของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว คำว่า “เซียว” ติดอยู่ในพระศอไม่อาจจะคายหรือกล้ำกลืนลงไปได้ พระพักตร์ที่ซูบผอมเต็มไปด้วยริ้วรอยชะงักแข็งค้าง ดวงเนตรเบิกโพลง

เขาไม่เสียใจจริงหรือ? เขาไม่กลัวหรืออย่างไร?

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายที่ได้มาบรรจบกันเช่นนี้ ฮ่องเต้ไม่อาจซ่อนความหวาดกลัวและความเสียใจของพระองค์ได้

เมื่อมหาดเล็กเปิดประตูพระตำหนักไท่จี่อีกครั้ง เขาก็เห็นฮ่องเต้ทรงเบิกพระเนตรโพลงจ้องไปยังประตู สีพระพักตร์เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดวงเนตรแข็งค้าง

ฮ่องเต้ทรงสิ้นพระชนม์ ทิ้งพระบรมราชโองการไว้สามฉบับ ฉบับสุดท้ายไม่ได้ม้วนปิดไว้ มองเห็นเนื้อหาข้างในได้อย่างชัดเจน

มีรับสั่งให้ประหารชีวิตหมอเทวดาโดยการแล่เนื้อเถือหนังเป็นชิ้นๆ!