บทที่ 736 ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์

ข่าวการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อจ้าวจิ่งซวนได้ยินข่าวเขาแทบไม่เชื่อ

“เป็นไปได้อย่างไร? ข้าเพิ่งได้เจอกับเสด็จพ่อในตอนเช้า เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะสิ้นพระชนม์..ข้าอยากเข้าเฝ้า..” จ้าวจิ่งซวนรีบลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว แต่ขาที่ได้รับบาดเจ็บกลับอ่อนแรงลง เขาสูญเสียการทรงตัว ล้มลงกับพื้น

“อาซวน!” พระสนมเหลียงรีบเข้ามาช่วยพยุงเขา

ใบหน้าของนางไม่มีอาการโศกเศร้าแต่อย่างใด นางไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งกับฮ่องเต้มากนัก นับแต่นางเข้าวังมาครั้งแรก นางได้รับความโปรดปราน ถูกละทิ้ง สลับกับโปรดปรานเช่นนี้มาเสมอ เมื่อได้ตระหนักอย่างชัดเจนแล้ว นางจึงคิดได้ว่า ความรักและความโปรดปรานของฮ่องเต้เกิดขึ้นเพราะฮ่องเต้ต้องอาศัยสกุลเหลียงของนางค้ำบัลลังก์ สกุลเหลียงยังไม่ได้เป็นภัยคุกคามกับฮ่องเต้ แต่ถ้าหากวันใดฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าสกุลเหลียงเป็นภัย นางอาจจะต้องลงเอยเหมือนกับอดีตฮองเฮาอย่างแน่นอน

ตั้งแต่โบราณกาลมา ผู้คนในราชวงศ์ล้วนโหดเหี้ยม นางพึ่งพาได้เพียงบุตรชายเพียงคนเดียวเท่านั้น

ในการต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์ในครั้งนี้ นางกับบุตรชายถือได้ว่าเป็นผู้ชนะ เมื่อฮ่องเต้ทรงสิ้นพระชนม์ นางสมควรจะดีใจสิ..มีอะไรให้ต้องเสียใจด้วยเล่า?

พระสนมเหลียงและนางกำนัลพากันช่วยพยุงจ้าวจิ่งซวนไปที่เตียง

“เสด็จแม่ เสด็จพ่อไม่ได้เป็นอะไรใช่หรือไม่? พวกเขาโกหกข้า?” เขาคว้าแขนของมารดาถามด้วยดวงตาสีแดง พระสนมเหลียงเห็นแล้วก็ให้ทุกข์ใจ แต่นางไม่รู้จะเอ่ยปลอบใจเขาได้อย่างไร

“อาซวน เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามเวลาที่เหมาะสม”

เมื่อได้ยินประโยคนี้จ้าวจิ่งซวนจึงรู้ว่าเสด็จพ่อที่เขาได้พบเมื่อเช้าได้จากเขาไปแล้วจริงๆ เขายังจำความรู้สึกอบอุ่นยามที่พระหัตถ์ทรงลูบไล้ที่ศีรษะของเขาได้เป็นอย่างดี จากนี้ไปเขาจะไม่มีวันได้สัมผัสกับความอบอุ่นเช่นนั้นได้อีก

ดวงตาของจ้าวจิ่งซวนแดงมากขึ้น

“เสด็จแม่ ข้าอยากไปพบเสด็จพ่อ…”

ในขณะที่จ้าวจิ่งซวนกำลังจะลุกขึ้นนั่ง พระบรมราชโองการของฮ่องเต้ก็มาถึงพอดี พระสนมเหลียงช่วยพยุงจ้าวจิ่งซวนให้ลุกขึ้นจากเตียง ลงมานั่งคุกเข่ารับพระบรมราชโองการ เนื้อหาในพระบรมราชโองการเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ จ้าวจิ่งซวนผู้เป็นพระโอรสองค์ที่หกของฮ่องเต้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์ชายรัชทายาท เวลานี้ฮ่องเต้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว องค์ชายรัชทายาทสามารถที่จะขึ้นครองบัลลังก์ได้ทันที

จ้าวจิ่งซวนถือพระบรมราชโองการเอาไว้ เขารู้อย่างถ่องแท้ดีว่าในตอนนี้อำนาจอันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์โจวได้ตกลงมาสู่บ่าของเขาแล้ว ภาระที่อยู่บนบ่าหนักหนามากเป็นพิเศษ ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำหรือแม้แต่คำพูดของเขาจะเกี่ยวข้องกับใต้หล้าและประชาราษฎร์ เขาไม่อาจทำอะไรได้ตามใจชอบอีกต่อไป

ดวงตาของจ้าวจิ่งซวนแดงก่ำ เขากลั้นน้ำตา

“เสด็จพ่อ ท่านอย่าได้เป็นกังวล ลูกจะทำงานให้หนักเพื่อเป็นฮ่องเต้ที่ดี สมกับที่ท่านไว้ใจ ไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง” จ้าวจิ่งซวนกอดพระบรมราชโองการเอาไว้ ใบหน้าอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความจริงจัง

ในเวลาเดียวกันที่จวนสกุลอู่ก็ได้รับพระบรมราชโองการเช่นเดียวกัน

เว่ยฉิงคุกเข่าก้มหน้ารับพระบรมราชโองการ ต่อเมื่อได้ยินเนื้อหาในนั้น เขาก็เลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้

พระบรมราชโองการฉบับนี้ได้เผยสถานะและตัวตนของเขาอย่างแท้จริง องค์ชายใหญ่จ้าวฉิง

เมื่อเขาได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ พระองค์ได้ตั้งพระทัยไว้อยู่แล้วว่าจะให้เขาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เขาจึงไม่ค่อยแปลกใจในเนื้อหามากนัก แต่หลังจากที่เขากลับไปแล้ว ฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนแปลงเนื้อหาอย่างเห็นได้ชัด เว่ยฉิงคิดว่าพระองค์มีความตั้งใจอยู่สองประการ

ประการแรก ตั้งแต่สมัยโบราณมานั้น ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเชื้อพระวงศ์แทบทั้งสิ้น ฮ่องเต้ทรงชี้ให้เห็นตัวตนของเขาในสถานะเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังระบุถึงสถานะองค์ชายของเขาว่าสืบทอดสายพระโลหิตมาจากฮ่องเต้ ทำให้ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของเขาถูกต้องตามกฎหมายมากยิ่งขึ้น

หากความทะเยอทะยานของเขาไม่หยุดอยู่แค่ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือแม้แต่ต้องการที่จะเป็นฮ่องเต้เสียเองก็ไม่ใช่ความผิดอะไร

ประการที่สอง เท่ากับฮ่องเต้ยอมจำนนต่อพระองค์เองอีกด้วย เพราะพระองค์เป็นผู้ตราหน้าว่าสกุลเซียวเป็นกบฏ ทรงสั่งปลดฮองเฮาและองค์รัชทายาทออกจากตำแหน่ง สั่งลงโทษประหารสกุลเซียวทั้งหมด ในเวลานี้เท่ากับพระองค์ทรงยอมรับในความผิดของตนและเป็นการเปิดหน้าให้ทวงคืนความยุติธรรมแก่สกุลเซียวอีกด้วย ฮ่องเต้ไม่สนพระทัยว่าเรื่องนี้จะเท่ากับเป็นการตบหน้าพระองค์เอง เพราะพระองค์ไม่สนพระทัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากสิ้นพระชนม์ไปแล้ว

หากเป็นคนทั่วไปย่อมยินดีในการได้รับพระบรมราชโองการจากฮ่องเต้ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หากสำหรับเว่ยฉิงแล้ว สีหน้าของเขาไร้ร่องรอยทุกข์โศก ไม่มีแม้แต่ความยินดี เขาเดินเข้าไปในห้อง โยนพระบรมราชโองการทิ้งไปอย่างไม่แยแส สีหน้าเขาเยาะหยัน

“เขาคิดว่าถ้าเขาทำเช่นนี้ ข้าจะยกโทษให้เขาหรือ? เขาฆ่าคนตายไปมากมายด้วยความคิดชั่ววูบเท่านั้น ทั้งคนตายและคนเป็นย่อมไม่ให้อภัยเขา” เว่ยฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขารู้สึกโกรธมาก ฮ่องเต้สังหารผู้คนในสกุลเซียวไปมากมายถึงเพียงนั้น เขาไม่สมควรจะตายอย่างมีความสุข โทสะในใจเว่ยฉิงยังไม่จางหายไปง่ายๆ เขาอยากวิ่งไปที่วังหลวงทุบตีฮ่องเต้ไม่ให้ตายดี!

ใบหน้าของเว่ยฉิงมืดมน เต็มไปด้วยความเกลียดชังคั่งแค้น หากเป็นคนอื่นได้มาเห็นเข้าคงพากันถอยกรูดหนีไปเป็นแน่

แต่ถังหลี่กลับรู้สึกแตกต่าง นางเห็นว่าสามีของตนช่างน่าสงสาร นางเดินเข้าไปกอดเอวเขาไว้ ความเกลียดชังและโทสะที่คุกรุ่นค่อยๆ หายไป เขาโอบเอวหญิงสาวกระชับแน่นขึ้น

“ภรรยา ข้าโกรธมาก” เขาพึมพำ

“อย่าโกรธเลย..เขาไม่คู่ควร” “เขาตายไปแล้ว ตอนนี้ท่านเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ท่านย่อมคืนความบริสุทธิ์ให้กับสกุลเซียวได้ ท่านปู่และท่านลุงจะได้คลายความคับข้องใจ ทหารที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศจะได้รับการแก้ไขให้กลายเป็นวีรบุรุษของแคว้นต้าโจว ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้าทนทุกข์กับความอับอายอีกต่อไป วิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตจะได้ไปสู่สุคติ นี่เป็นเรื่องดียิ่งนัก ท่านสมควรจะมีความสุข”

น้ำเสียงของภรรยาเขาอ่อนโยนมาก สลายความเกลียดชังในหัวใจของเว่ยฉิงไปอย่างสิ้นเชิง

ใช่! พวกเขาเดินทีละก้าวประหนึ่งเดินอยู่บนน้ำแข็งบางๆ มาตลอดก็ไม่ใช่เพราะต้องการให้ถึงวันนี้หรอกหรือ?

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวันนี้จนได้ พวกเขาควรจะมีความสุข หลังจากทวงคืนความยุติธรรมให้สกุลเซียว ก็จะได้เวลาที่เขากับภรรยาจะได้เกษียณแล้วกลับไปอยู่ที่ชนบท มีชีวิตร่วมกันอย่างผาสุก ริมฝีปากของเว่ยฉิงขดเป็นรอยยิ้มขึ้นมา

พระบรมราชโองการฉบับที่สามถูกส่งไปยังหมอเทวดา เมื่อเขาได้รับ ใบหน้าเขาซีดลง เมื่อครั้งสุดท้ายที่ฮ่องเต้ได้เรียกเขาเข้าเฝ้า สีพระพักตร์เจตนาฆ่าเขาอยู่แล้ว เขาเดาได้ว่าที่ฮ่องเต้ให้เขายังมีชีวิตอยู่เป็นเพราะยังต้องการใช้ยานั่นเอง วันใดที่พระองค์สิ้นพระชนม์ลงวันนั้นเป็นวันตายของเขาเช่นกัน

ก่อนหน้าที่จ้าวชูจะหนีไป เขาก็รู้แล้วว่าตนเองย่อมมีวันนี้ แต่กระนั้นก็ยังยากที่จะยอมรับความตายของตน

หลังจากประกาศพระบรมราชโองการ หมอเทวดาจึงได้รู้ว่าเขาจะต้องโดนประหารด้วยการแล่เนื้อเถือหนังเป็นชิ้นๆ ถึง 3600 ชิ้น เขาไม่อาจจะตายได้จนกว่าจะแล่ครบชิ้นสุดท้าย ช่างเป็นการลงโทษที่ทรมานเหลือเกิน เขาเข่าอ่อนทรุดตัวลงกับพื้นไปทันที

องค์หญิงจิ้งชูทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้ นางหลั่งน้ำตาออกมา กู้หวนจิ่นกอดนางไว้แน่นในอ้อมแขนของเขา

“กู้หวนจิ่น เสด็จพ่อข้าสิ้นแล้ว ข้าไม่มีเสด็จพ่อแล้ว…” นางร่ำไห้จนน้ำตาเปียกโชก

“อาจื่อ เจ้ายังมีข้า มีท่านพ่อท่านแม่ของข้า พวกเขาเป็นบิดามารดาของเจ้าเช่นกัน” น้ำเสียงกู้หวนจิ่นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและปลอบประโลม

องค์หญิงจิ้งชูรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังเมื่อหวนคิดถึงความฝันในยามค่ำคืนที่คิดว่าเสด็จพ่อยังอยู่กับนาง หากยามตื่นกลับต้องยอมรับความจริงว่าผู้ที่นางรักได้จากโลกนี้ไปเสียแล้ว

โชคดีเหลือเกินที่ในเวลานี้มีกู้หวนจิ่นอยู่ข้างกาย หากไม่มีเขานางก็ไม่รู้จะผ่านเวลาแห่งความทุกข์เช่นนี้ไปได้อย่างไร